เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 410 ยอดเยี่ยมมาก พ่อยอดนักพิษ
บทที่ 410 ยอดเยี่ยมมาก พ่อยอดนักพิษ
บทที่ 410 ยอดเยี่ยมมาก พ่อยอดนักพิษ
ในขณะที่รัชทายาทเป่ยเยว่กำลังสะดุดใจกับประโยค ‘เขามีบุตรชายที่มีความสามารถโดดเด่น’ ไท่ซือก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เพียงแต่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยผู้นี้มิใช่คนแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เขาจึงมิได้เอาผิดตระกูลขุนนางที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง”
รัชทายาทร้องอ๋อพลางครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้าคิดออกแล้ว ยังเหลือตระกูลเซี่ยอย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าตระกูลเซี่ยภักดีต่อฮ่องเต้ต้าเซี่ยมาก หากแม้แต่ตระกูลเซี่ยเขาก็ยังไม่ละเว้น ตระกูลเซี่ยคงไม่อยู่เฉยเป็นแน่ ฉะนั้นแล้วมิใช่ว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยไม่เกรงกลัวผู้ใด เขาเพียงรู้จักพุ่งเข้าหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย!”
ไท่ซือ “…”
โง่มาก โง่จริง ๆ!
แต่ในบรรดาองค์ชายเป่ยเยว่ทั้งหมด ไท่ซือไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดเหมาะสมไปกว่ารัชทายาทเป่ยเยว่ผู้นี้แล้ว
แม้เขาจะโง่ แต่เขาก็ยังเชื่อฟังคำสอนสั่ง
ในขณะที่คนอื่น ๆ เรียกได้ว่าโง่โดยสมบูรณ์ โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกด้วย
“หาได้ละเว้นเพียงตระกูลเซี่ยเท่านั้น ฮ่องเต้ต้าเซี่ยต้องการกำจัดเพียงตระกูลขุนนางทุจริต ละโมบโลภมาก และที่เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลเซี่ย ไม่ใช่เพราะเขากลัว แต่เพราะเขาเป็นคนรู้อภัย ให้โอกาสคน หากจะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงก็อย่าใช้คน ซึ่งเขาก็ทำเช่นนั้นได้จริง ๆ พวกคนโลภที่ไร้ประโยชน์เขาไม่เก็บไว้ ส่วนคนที่มีความสามารถ แต่มีข้อบกพร่องอยู่บ้างนั้น ท่านเห็นเขาทำอันใดคนพวกนั้นหรือไม่ รอดูไปเถิด รอให้เขาจัดการตระกูลขุนนางพวกนั้นแล้ว เขาจะกลับไปใช้งานคนพวกนั้นอีกแน่”
รัชทายาทเป่ยเยว่เริ่มมีสีหน้าสับสน “แต่หากทำเช่นนั้น เขาไม่กลัวหรือว่าหากคนเหล่านั้นกลับเข้าสู่ตำแหน่งแล้วจะแว้งกัดเขา”
ไท่ซือ “…ท่านคิดว่าฝ่าบาททรงจัดการกับตระกูลขุนนางทั้งหลายแล้ว แต่พอถึงยามที่คนพวกนั้นตกอยู่ในความสิ้นหวัง เขาก็จะให้อภัยและลดโทษให้ ทั้งยังให้ตำแหน่งราชการ คนพวกนั้นจะขุ่นเคืองหรือรู้สึกขอบคุณ”
รัชทายาทเป่ยเยว่ในสายตาไท่ซือในตอนนี้ เหมือนคนโง่ที่พยายามทำเป็นเข้าใจ
“แต่ต่อให้พวกเขาไม่พอใจ แล้วพวกเขาจะทำอันใดฮ่องเต้ต้าเซี่ยได้ ท่านคิดว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยกวาดล้างตระกูลขุนนางมากมายขนาดนั้นแล้ว คนที่เหลือยังจะกล้าทำอันใดอีกอยู่หรือ”
รัชทายาทเป่ยเยว่ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณไท่ซือที่ชี้แนะ”
เฮ้อ… พอมาใคร่ครวญให้ดีแล้ว เขาไม่มีอำนาจทางทหารในเป่ยเยว่ ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการพวกตระกูลขุนนาง และไม่มีบุตรชายหญิงที่มีความสามารถโดดเด่น…
สรุปแล้ว… เขาทำสิ่งใดไม่ได้เลย หากเลียนแบบวิธีการของฮ่องเต้ต้าเซี่ยจริง ๆ เกรงว่าคงไม่ใช่ตระกูลขุนนางที่ถูกกวาดล้าง แต่เป็นตัวเขาเอง
รัชทายาทเป่ยเยว่ : แย่แล้วล่ะ ตอนนี้เขาเป็นองค์รัชทายาทก็ต้องต่อสู้กับน้องชายกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ยังต้องต่อสู้กับตระกูลขุนนางอีก ทุกวันนี้เขาก็ยังสู้ไม่ได้เลย
จู่ ๆ ก็รู้สึกท้อแท้ใจ
ในขณะที่ไท่ซือผู้รอบรู้จากเป่ยเยว่อธิบายให้องค์รัชทายาทของตนเข้าใจสถานการณ์ แต่อีกด้านหนึ่ง องค์ชายผู้เย่อหยิ่งและเหล่าขันทีขี้ประจบ ตัวแทนจากอาณาจักรต้าหาน
องค์ชายผู้นั้นเอาแต่กล่าวโอ้อวด ว่าหากเป็นเขาจะต้องทำได้ดีกว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยเป็นแน่
เหล่าขันทีข้างกายนอกจากจะไม่ห้ามปรามแล้ว ยังเห็นดีเห็นชอบ เอาแต่ประจบสอพลอจนองค์ชายผู้นั้นลืมตัว
เมื่อข่าวนี้รู้ถึงหูเสนาบดี พวกเขาก็ได้แต่หัวเราะเยาะ โง่เง่าถึงเพียงนี้ยังคิดจะแข่งขันชิงบัลลังก์กับคนอื่นอยู่อีกหรือ
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยทำ แผนการลับที่พวกเขาวางไว้ยังต้องดำเนินต่อไป
แล้วถ้า… ถ้าเกิดต้าเซี่ยเกิดความขัดแย้งภายใน พวกเขาก็จะยิ่งทำการอันใดได้ง่ายขึ้นมิใช่หรือ
ในขณะที่ราชทูตจากหลายอาณาจักรแอบติดต่อกับตระกูลขุนนางเพื่อร่วมมือกันทำบางสิ่ง ในที่สุดงานเลี้ยงวันเกิดของหนานกงสือเยวียนก็มาถึง
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงกำชับให้ท่านพาองครักษ์ต่อไปด้วย หรือจะพาใต้เท้าเสือทั้งสองไปด้วยก็ได้ แต่ท่านต้องซ่อนใต้เท้าทั้งสองไว้ก่อน”
วันนี้ฝูไห่มาเข้าเฝ้าเสี่ยวเป่าแต่เช้า เพื่อถ่ายทอดรับสั่งจากฝ่าบาท
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
ฝูไห่กระซิบ “ฝ่าบาทตรัสว่า พวกตระกูลขุนนางที่มีใจคิดไม่ซื่ออาจใช้โอกาสนี้ก่อเหตุวุ่นวาย เพื่อความปลอดภัย ยิ่งท่านมีองครักษ์คุ้มกันมากเท่าใด ฝ่าบาทก็จะยิ่งเบาพระทัยมากขึ้นเท่านั้น ฝ่าบาทยังตรัสว่าจะส่งองครักษ์เงาอีกจำนวนหนึ่งมาคอยคุ้มกันองค์หญิงอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ต้อง ๆ รบกวนท่านบอกท่านพ่อทีว่า ข้ามีองครักษ์คุ้มกันเยอะแล้ว ให้เขาดูแลตัวเองให้ดี ไม่ต้องห่วงข้า”
เสี่ยวเป่าที่กำลังเป็นกังวลหันไปเห็นรังต่อข้างนอกหน้าต่าง จึงเกิดความคิดว่าจะย้ายรังต่อทั้งหมดไปไว้ที่นั่นดีหรือไม่
เอาละ คิดแล้วต้องลงมือทำ เสี่ยวเป่ารีบเดินไปบอกกล่าวกับเหล่าตัวต่อเรื่องการย้ายบ้านชั่วคราว หลังจากจัดการคนเลวพวกนั้นแล้วค่อยย้ายกลับมา
ระหว่างที่เหล่าพี่ชายกำลังตามหานาง องครักษ์เงาจำนวนหนึ่งก็ถูกนางใช้เป็นลูกหาบ ยามนี้พวกเขาจึงกำลังหาบรังต่อด้วยสีหน้าและลำตัวแข็งทื่อ
ภารกิจลอบสังหารมากมายที่เคยทำนั้น อันตรายไม่ได้เศษเสี้ยวของภารกิจที่องค์หญิงมอบหมายให้อย่างการย้ายรังต่อเลย!
แม้องค์หญิงจะยืนยันว่าจะไม่เกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา แต่ผู้ใดเล่าจะไม่กลัว ไม่เห็นหรือว่าตัวต่อขนาดใหญ่เท่านิ้วมือฝูงใหญ่กำลังจ้องมองมาที่พวกเขา
พวกเขาย้ายรังต่อโดยที่มือไม่สั่น แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว
เหล่าองครักษ์เงากลืนน้ำลายจนคอแห้งผาก พร้อมคิดในใจว่าเวลานี้ผู้ที่อันตรายที่สุดสำหรับพวกเขาไม่ใช่ฝ่าบาทอีกต่อไป แต่เป็นองค์หญิง!
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือ” องค์ชายห้าเดินมาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่กล้าเข้าใกล้
แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวต่อเหล่านี้เชื่อฟังน้องหญิง แต่เมื่อถูกรายล้อมด้วยตัวต่อจำนวนมากเช่นนี้ มันทำให้เขานึกถึงพวกคนที่ใช้วิชากู่ในหนานจ้าว แค่นึกถึงก็ขนหัวลุกแล้ว
เสี่ยวเป่าในชุดสีแดง สดใสสง่างามราวกับเทพธิดาประทานพรตัวน้อย
“ท่านพ่อบอกว่าอาจมีคนก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าจะย้ายรังต่อไปไว้ที่นั่น ผู้ใดก็ตามที่สร้างปัญหา ข้าจะสั่งให้ตัวต่อพวกนี้ไปต่อยทันที”
เยว่หลีลูบปลายคางพลางพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดี แต่วิธีนี้ไม่น่าเบื่อเกินไปหรือ มิสู้ให้ข้าจับตะขาบ แมงป่อง งูพิษ แมงมุมพิษไปด้วยดีหรือไม่”
ทุกคน “…”
ยอดเยี่ยมมาก พ่อยอดนักพิษ!
“ไม่ต้อง ๆ นี่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดเสด็จพ่อเชียวนะ จะขนเอาสัตว์มีพิษเข้าไปในงานด้วยคงไม่เป็นการดีกระมัง” องค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงรีบพูดให้พวกเขาเปลี่ยนใจ หากปล่อยให้ทำอย่างนั้น หลังงานเลี้ยงจะมิถูกเสด็จพ่อลงโทษหรอกหรือ
หนานกงฉีหลิง “ไม่ต้องเป็นกังวล มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าไม่กลัวคนพวกนั้นหรอก วันข้างหน้าข้าเป็นให้ได้เหมือนอย่างเสด็จพ่อ เป็นแม่ทัพเทพสงครามให้จงได้เลย!”
หนานกงฉีเฉินกลอกตามองบนจนเกือบเห็นแต่ตาขาว “เสด็จพ่อไม่เพียงแต่เก่งเรื่องการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังเก่งเรื่องปกครองบ้านเมืองอีกด้วย แล้วท่านเล่า ทำได้หรือไม่”
หนานกงฉีหลิงรีบปิดปากอีกฝ่ายทันที “เจ้าอยากตายหรือ เหตุใดถึงได้กล้าพูดเช่นนั้น หากข้าทำได้อย่างที่เจ้าว่า ผู้คนที่สนับสนุนเสด็จพี่รัชทายาทจะไม่ฆ่าข้าหรอกหรือ!”
แม้ว่าพี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียว แต่หากเสนาบดีเหล่านั้นเกิดคิดว่าพวกเขาพี่น้องเป็นอุปสรรคต่อการขึ้นครองบัลลังก์ของเสด็จพี่รัชทายาทเล่า
หนานกงฉีเฉินดึงมืออีกฝ่ายออก “เสด็จพี่รัชทายาทมิใช่คนจิตใจคับแคบเสียหน่อย คนที่กล้ายุแยงให้พี่น้องขัดแย้งย่อมต้องถูกเขาลงโทษเป็นแน่”
“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรพูดส่งเดช”