เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 417 ถูกลงโทษ
บทที่ 417 ถูกลงโทษ
บทที่ 417 ถูกลงโทษ
แมวดำปีนไปจนถึงจุดสูงสุดของต้นไม้ใหญ่ มันตัวเล็กปราดเปรียว ถึงจะปีนขึ้นไปบนยอดไม้ก็ไม่ทำให้กิ่งหัก
ผู้คนใต้ต้นไม้ไม่สนใจจะโยนป้ายขอพรอีกต่อไปแล้ว ต่างแหงนหน้าขึ้นมองเจ้าแมวเป็นตาเดียว
พวกเขาเห็นเจ้าแมวแขวนป้ายขอพรที่คาบไว้ในปากไว้บนยอดไม้ ป้ายนั้นถูกลมพัดแกว่งไกวสะดุดตากว่าป้ายอื่น ๆ มากนัก
จากนั้นก็กระโดดลัดเลาะลงมาจากต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่วจนมาหยุดอยู่ข้างกายเสี่ยวเป่าและเยว่หลี
คนทั้งสองตกเป็นเป้าสนใจในชั่วพริบตา
แต่ทั้งสองไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้าง หากมอบป้ายขอพรในมือให้เจ้าแมว
ครานี้ให้ไปทีเดียวสามแผ่น ซึ่งอยู่ในขอบเขตน้ำหนักที่เจ้าแมวสามารถรับไหว
แมวน้อยคาบป้ายขอพรปีนขึ้นไปแขวนไว้บนต้นไม้อย่างว่องไว
“ท่านแม่ ข้าก็อยากให้แมวตัวนั้นช่วยแขวนป้ายขอพรให้ด้วยเหมือนกัน”
“แมวตัวนั้นฉลาดรู้ความยิ่ง รู้จักช่วยเจ้านายแขวนป้ายขอพรด้วย”
“สูงปานนั้น ใครก็สู้ไม่ได้แล้วล่ะ”
“แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัด ๆ ให้แมวช่วยแขวนป้ายขอพรได้ที่ไหนกัน!”
ผู้คนรอบข้างส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ บ้างอิจฉา บ้างต้องการให้เจ้าแมวช่วยแขวนป้ายให้ และมีคนที่ไม่พอใจด้วยเช่นกัน
กระทั่งมีคนที่แต่งกายไม่ธรรมดาท่าทางเหมือนคุณชายน้อยเดินเข้ามาขอซื้อแมวตัวนั้น
พวกเขาไม่เคยเห็นแมวที่ช่วยจัดการธุระให้เจ้านายได้เช่นนี้มาก่อน แมวน้อยที่แสนรู้แบบนี้ นายน้อยอย่างพวกเขาก็อยากได้สักตัวเหมือนกัน!
เยว่หลีอุ้มแมวขึ้นมาเกาะบนไหล่ตัวเอง จากนั้นก็เดินวนไปมาต่อหน้าอีกฝ่ายขณะเอ่ยถาม “พวกเจ้าเห็นข้าดูขาดเงินนักหรือ”
ตอนนี้เยว่หลีสามารถกล่าวประโยคนี้ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่! ขาด! เงิน!
โรงน้ำชาเทียนเป่ามีเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่นะ ตอนแรกเขาเพียงร่วมลงทุนกับเสี่ยวเป่าเพราะความนึกสนุก หลังจากนั้นก็ได้นั่งนับเงินที่บ้านอยู่ทุกวัน
คิดถึงตรงนี้ เยว่หลีก็ก้มลงมารวบตัวเสี่ยวเป่า ตั้งใจว่าจะอุ้มโดยให้เสี่ยวเป่านั่งบนแขนแบบเดียวกับหนานกงสือเยวียน
ทว่า…
ร่างกายเขาอ่อนแอเกินไป เสี่ยวเป่ามองผิวเผินตัวนิดเดียว แต่น้ำหนักกลับไม่เบา เมื่อครู่นี้เขาหวุดหวิดจะทำแขนตัวเองหักไปแล้ว
เยว่หลี “…”
เขาอุ้มแบบเดิมดีกว่า
จากนั้น เยว่หลีที่มีแมวดำเกาะอยู่บนไหล่ สองมืออุ้มเสี่ยวเป่า ก็จากไปทั้งอย่างนี้
ขากลับทั้งสองคนยังกินไปตลอดทาง
สุดท้ายพอยัดลงท้องต่อไปไม่ไหว พวกเขาก็หอบหิ้วห่อเล็กห่อน้อยกลับมาด้วย
“เกาลัดพวกนี้ถ้าปล่อยไว้ถึงพรุ่งนี้ก็จะแข็ง ไม่อร่อยแล้ว เอากลับไปให้พวกพี่ชายเจ้ากินก็แล้วกัน”
“พวกเราเก็บขนมเคลือบน้ำตาลไว้สองไม้ อากาศแบบนี้สามารถเก็บไว้จนถึงวันพรุ่งนี้”
“ของทอดพวกนี้ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย กลับไปแล้วแบ่งให้พวกพี่ชายด้วย”
ทั้งสองคนแบ่งสันของกินที่พวกตนซื้อมาบนรถม้าระหว่างทางขากลับ
อันไหนที่สามารถเก็บไว้ถึงพรุ่งนี้ได้ก็เก็บเอาไว้นิดหน่อย อันไหนเก็บไว้นานไม่ได้ก็เอากลับไปฝากคนอื่น
แต่เมื่อกลับถึงวัง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่กลับเป็นบทลงโทษของหนานกงสือเยวียน
พอทั้งสองกลับไปถึงวังก็ถูกเรียกตัวไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง เข้าไปได้ก็ต้องคุกเข่า ก้มหน้าสำนึกผิดแบบนั้น
เสี่ยวเป่าแอบชำเลืองมองบิดาที่ไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว พลางนวดเข่าน้อย ๆ อย่างอดไม่ไหว
เมื่อยแล้ว QAQ
เยว่หลีมุ่นคิ้ว กระเถิบเข้าไปใกล้เสี่ยวเป่า แล้วแอบพับชายเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกเอาไปรองไว้ใต้เข่าของเสี่ยวเป่า
ฝูไห่กงกงเห็นแล้วก็นึกสงสาร รออยู่ครู่หนึ่งค่อยเดินเข้าไปรินน้ำชา
“ฝ่าบาท องค์หญิงสำนึกผิดแล้ว คุกเข่ามาก็นานแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนตวัดสายตาขึ้นมองก็เห็นว่าเสี่ยวเป่ากำลังคุกเข่าอยู่บนเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก
“สำนึกผิดแล้ว?”
เขาจ้องชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกใต้เข่าเสี่ยวเป่านิ่ง ๆ
เยว่หลีโพล่งขึ้นมาว่า “ข้าเป็นคนยัดไว้ใต้เข่าเสี่ยวเป่า!”
หนานกงสือเยวียน “…”
มีแต่คนปกป้องนางทั้งนั้น
เสี่ยวเป่ายังร้องขอเมตตาอย่างน่าสงสาร
สุดท้ายคนเป็นบิดาก็ใจอ่อน ปล่อยเด็กน้อยบางคนไป แต่เยว่หลียังต้องคุกเข่าต่อไปอีกสักพัก
เยว่หลี : คุกเข่าก็ได้
ถึงเสี่ยวเป่าจะไม่ต้องคุกเข่าแล้ว แต่ก็ทำใจเห็นเพื่อนตัวน้อยของตนเองถูกลงโทษไม่ได้ นางจึงไปเอาปลอกเข่าที่ชุนสี่เคยทำไว้ให้
แต่เมื่อนางกลับมาที่ตำหนักฉินเจิ้งอีกครั้งกลับพบว่าบิดาจากไปแล้ว
คนไปแล้วยังจะคุกเข่าต่อไปทำไม
“นั่งลง ๆ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”
เยว่หลีลังเล “ไม่ดีกระมัง คนมากมายกำลังมองอยู่ ถ้าพ่อเจ้ากลับมาเห็นแล้วโมโหจนลงโทษพวกเราอีกจะทำอย่างไร”
เสี่ยวเป่ากวาดสายตาไปทางคนเหล่านั้น
นางกำนัลและขันทีในตำหนักล้วนเสตามองฟ้ามองดอกไม้ใบหญ้า กระทั่งหันหลังให้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ให้ความร่วมมือดียิ่ง
เสี่ยวเป่ายิ้มจนตาหยี “เห็นไหม ไม่มีใครดูอยู่สักหน่อย”
เยว่หลีจึงเปลี่ยนไปนั่งลง เสี่ยวเป่ายังช่วยสวมปลอกเข่าให้เขา
รอจนท่านพ่อกลับมา ท่านค่อยคุกเข่าก็ยังไม่สาย
เสี่ยวเป่าออกไปหาของว่างอีกครั้ง แล้วกลับมานั่งแกว่งขากินขนมกับเยว่หลี
ผู้ที่กล้าทำเช่นนี้ในตำหนักฉินเจิ้งเกรงว่าคงมีเพียงนางคนเดียวแล้ว
กินขนมอย่างเดียวยังไม่พอ นางยังค้นหาตำราที่ตนเองต้องท่องโยนไปให้เยว่หลี
“เยว่หลีอ่านให้ข้าฟังดีหรือไม่ ข้าอ่านเองแล้วตาลายไปหมด”
เสี่ยวเป่าออดอ้อน
เยว่หลีย่อมพยักหน้าอยู่แล้ว กินขนมไปพลางอ่านตำราไปพลาง
เสียงของเขาน่าฟังมาก เสี่ยวเป่านั่งฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลยสักนิด
“องค์หญิงรีบเก็บของเร็วเข้า ฝ่าบาทกลับมาแล้วเพคะ!”
เสี่ยวเป่า “!!!”
หลังความโกลาหลผ่านพ้นไป เยว่หลีกลับไปนั่งคุกเข่าตามเดิมเรียบร้อย เสี่ยวเป่ายังเคี้ยวขนมในปากไม่หมด แต่นางทำเป็นยกตำราขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
หนานกงสือเยวียนเหล่มองพวกเขา สายตากวาดผ่านริมฝีปากของเด็กทั้งสองคน
เสี่ยวเป่ายังอมขนมไว้ในปาก จึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา
“ข้าเพิ่งออกไปไม่ทันไร ทำไมถึงมีกลิ่นขนมเสียแล้ว หืม”
เสี่ยวเป่าสายตาเลิ่กลั่กอย่างร้อนตัว
เยว่หลีก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมโดยไม่กล้าพูดอะไร
“ใครกิน”
“ข้า!”
ทั้งคู่กลับมีน้ำใจกล้าหาญไม่เบา
หนานกงสือเยวียนมองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เสี่ยวเป่ากับเยว่หลี : น่ารักตาใส.jpg
“เสี่ยวเป่า คัดตำราที่เจ้าต้องท่องสองรอบ เยว่หลีกลับตำหนักตงกง ภายในครึ่งเดือนนี้ห้ามออกมาอีก”
เนื่องจากองค์รัชทายาทสั่งสอนเยว่หลีด้วยตนเอง ตอนนี้ตำหนักตงกงก็ยังไม่มีชายา เขาจึงพักอยู่ที่นั่นก่อนชั่วคราว เหตุผลสำคัญเพราะรัชทายาทเรียกพบคนได้สะดวก
เด็กคนนี้มีความสามารถมาก หากอบรมบ่มเพาะให้ดีย่อมช่วยงานได้มาก
เยว่หลีขานรับอย่างไม่ยินยอม ดวงตากลอกไปกลอกมาแลดูไม่น่าเชื่อถือ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดหาวิธีแหกคุก
เสี่ยวเป่ามีท่าทางเซื่องซึม นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็ก ๆ จึงเกลียดการทำการบ้านนัก เพราะมันน่ารังเกียจจริง ๆ นี่นา
แต่ไม่เสียใจสักนิดที่วันนี้แอบหนีเที่ยว
เวลาค่อนข้างเย็นแล้ว หนานกงสือเยวียนปล่อยให้ทั้งสองแยกย้ายกลับไป
วันรุ่งขึ้นเขาก็ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องของทั้งคู่อีก เพราะองค์ชายห้าของต้าหานสิ้นพระชนม์ดังคาด
เสียชีวิตระหว่างทาง ต้าหานโทษว่าเป็นฝีมือของต้าเซี่ยดังเช่นหนานกงสือเยวียนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
ไม่รู้ว่าจักรพรรดิของต้าหานโฉดเขลาเบาปัญญาหรือเพราะลุ่มหลงนารีจนหน้ามืด หลังสนมคนโปรดฟ้องร้องทั้งน้ำตา เขาก็ส่งคนมาทวงถามความรับผิดชอบจากต้าเซี่ยทันที
คำตอบของหนานกงสือเยวียนต่อเรื่องนี้ก็คือ เคลื่อนทัพไปยังเมืองหยาง พิชิตเมืองเมืองหนึ่งของต้าหานในช่วงข้ามปีเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่