เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 426 งานประมูล 3
บทที่ 426 งานประมูล 3
บทที่ 426 งานประมูล 3
ไม่ว่ายุคสมัยไหน สิ่งของที่คนมีชื่อเสียงเคยใช้งานมาก่อนมักจะได้รับคำกล่าวขวัญและเป็นที่หมายปองของคนจำนวนมาก นี่ก็คืออิทธิพลของคนดัง
เช่นเดียวกับกระบี่เล่มนั้น เพราะเป็นของคู่กายแม่ทัพเลื่องชื่อผจญสมรภูมิมาหลายทศวรรษ ตัวมันเองจึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ กลายเป็นตำนาน มีเรื่องราวเป็นของตนเอง
ขณะที่สิ่งที่ชาวจงหยวนโปรดปรานมากที่สุดตลอดกาลก็คือ ของเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์และความเป็นมาไม่ซ้ำใคร
นี่คือความทระนงของพวกเขา ทั้งยังเป็นการสืบสานประวัติศาสตร์รูปแบบหนึ่ง
หลังแนะนำประวัติความเป็นมาของกระบี่เล่มนั้น ผู้คนในงานประมูลก็พลันส่งเสียงฮือฮา
โดยเฉพาะคนที่มาจากต้าหาน แม่ทัพไช่ก็คือวีรบุรุษของพวกเขา ถึงกาลเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่ชาวต้าหานจำนวนมากก็ยังเติบโตมาพร้อมกับการฟังตำนานของแม่ทัพไช่
เรื่องน่าเศร้าก็คือหลังศึกชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย คนตระกูลไช่ก็หายตัวไปพร้อมกับกระบี่และชุดเกราะประจำตัวของแม่ทัพไช่ คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในต้าเซี่ย
อาจเป็นเพราะคำนึงถึงบ้านเกิดเมืองนอน ชาวต้าหานจึงฟาดฟันอย่างดุเดือดในการประมูลกระบี่แม่ทัพไช่ สุดท้ายกระบี่โบราณที่เปี่ยมด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์และได้ประหัตประหารศัตรูมานับไม่ถ้วนเล่มนั้นก็ถูกประมูลไปได้ในราคาห้าพันตำลึง
คนตระกูลไช่ที่ถูกจัดให้อยู่ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแม้ยากจะตัดใจจากกระบี่เก่าแก่ซึ่งเป็นตัวแทนเกียรติยศของตระกูลไช่ แต่คนในครอบครัวพวกเขาป่วยหนัก จำเป็นต้องใช้สมุนไพรปริมาณมากในการรักษา
เมื่อมีเงินจำนวนนี้ พวกเขายังสามารถส่งลูกหลานไปร่ำเรียนในสำนักศึกษา ระบบการสอบเคอจวี่ที่ต้าเซี่ยประกาศใช้มอบความเป็นไปได้ที่ดีกว่าให้แก่พวกเขา
เมื่อก่อนพวกเขาอาจเป็นชาวต้าหาน แต่การแย่งชิงอำนาจระหว่างเหล่าองค์ชายทำให้คนตระกูลไช่ล้มตายไปจำนวนมาก ในยามที่จำใจต้องจากลาแผ่นดินเกิดมานั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ชาวต้าหานอีกต่อไปแล้ว นับประสาอะไรกับคนรุ่นหลังที่เกิดและเติบโตอยู่ในแผ่นดินต้าเซี่ย เทียบกับตัวตนในฐานะชาวต้าหาน พวกเขาเต็มใจยอมรับว่าตนเองเป็นชาวต้าเซี่ยมากกว่า
คนตระกูลไช่รู้สึกซาบซึ้งต่อโอกาสที่งานประมูลคราวนี้มอบให้อย่างยิ่ง ถ้าพวกเขานำกระบี่ไปจำนำ ต่อให้ไม่ถูกหลอกอย่างมากก็คงได้เงินมาเพียงร้อยตำลึง
โรงน้ำชาเทียนเป่าหักเงินออกไปหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือหลายพันตำลึงนั้นก็ถูกส่งมาให้คนตระกูลไช่อย่างลับ ๆ
คนที่แต่งตัวแบบองครักษ์สองนายบอกกับพวกเขาว่า “นายของพวกข้าเกรงว่าพวกท่านนำเงินจำนวนมากกลับไปทั้งอย่างนี้อาจเกิดเรื่องได้ จึงเสนอวิธีจัดการเงินเหล่านี้ให้พวกท่านสองวิธี วิธีแรกคือ พวกท่านนำเงินจากไปเท่าที่จำเป็น ส่วนที่เหลือสามารถฝากไว้ที่โรงน้ำชาเทียนเป่าไว้ก่อนชั่วคราว
พวกข้าจะออกตั๋วรับรองให้พวกท่านพร้อมป้ายแสดงตัว ขอเพียงพวกท่านยังมีเงินฝากไว้ที่โรงน้ำชาเทียนเป่าก็สามารถนำตั๋วรับรองกับป้ายแสดงตัวมาเบิกเงินที่ร้านค้าที่มีตราสัญลักษณ์เช่นนี้และชื่อเทียนเป่าได้ทุกเมื่อ
ถ้าพวกท่านต้องการนำเงินไปทั้งหมดก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาไปเองหรือจะจ้างให้พวกข้าสองคนคุ้มครองไปส่ง พวกข้าคิดค่าจ้างคนละหนึ่งตำลึง”
คำพูดขององครักษ์ทั้งสองนายทำให้คนตระกูลไช่ตะลึงงัน ทำ… ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ
บุรุษที่อายุมากที่สุดของตระกูลไช่มีท่าทางครุ่นคิด
เงินหลายพันตำลึงถือว่ามากเกินไปจริง ๆ อาศัยกำลังพวกเขาคงไปได้ไม่ไกล พวกเขาเข้าใจดีว่าทรัพย์มากจะนำภัย
แต่ตัวเลือกทั้งสองไม่ว่าข้อไหนล้วนมีความเสี่ยง
ข้อแรกพวกเขาไม่ค่อยรู้จักโรงน้ำชาเทียนเป่า ถ้าฝากเงินไว้ที่นี่แล้วฝ่ายตรงข้ามมาบิดพลิ้วทีหลังจะทำอย่างไร? การฝากเงินไว้ที่นี่จึงเป็นการเดิมพันว่าผู้อยู่เบื้องหลังโรงน้ำชาเทียนเป่าจะไม่โลภในทรัพย์
แต่ถ้านำเงินจากไป เรือนเล็กซอมซ่อของพวกเขาก็คงจะซ่อนเงินมากขนาดนี้ไว้ไม่อยู่ ถ้ามีใครมาเห็นเข้า คนที่ละโมบโลภมากก็อาจฆ่าคนชิงทรัพย์ นี่เป็นจุดจบที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นคนที่มีสายตาแคบสั้นอาจไม่กล้าเดิมพัน แต่บุรุษวัยกลางคนผู้นี้เติบโตมากับการฟังบิดามารดาเล่าเรื่องต่าง ๆ ตัวเขาเองยังเป็นคนรู้หนังสือ เขาจึงไม่ใช่คนสายตาแคบสั้น
ลังเลชั่วครู่ สุดท้ายบุรุษวัยกลางคนก็ตัดสินใจลองเดิมพันดู
“ข้าจะเอาเงินสองร้อยตำลึงไปก่อน ส่วนที่เหลือจะฝากไว้ที่นี่”
“ได้ เชิญพวกท่านตามข้ามา”
องครักษ์ทั้งสองพาคนตระกูลไช่ขึ้นมาที่ชั้นสี่
แม้ตระกูลไช่จะเคยรุ่งโรจน์มาก่อน แต่ในฐานะแม่ทัพ ทั้งยังเป็นแม่ทัพที่รักใคร่ทะนุถนอมคนในทัพของตนเอง ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจึงไม่ได้สุขสบายเหมือนตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น กระทั่งยังเทียบตระกูลพ่อค้าทั้งหลายไม่ได้ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากตระกูลไช่ตกต่ำก็ยังประสบเหตุพลิกผัน พวกเขาก็กลายเป็นคนธรรมดาที่ยากจนข้นแค้น ยามนี้แม้แต่สมุนไพรรักษาโรคยังไม่มีเงินซื้อจนต้องนำมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษออกมาขาย
บรรพบุรุษที่เคยได้สัมผัสยุครุ่งเรืองของตระกูลล้วนล่วงลับไปหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคนที่โตมาในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขาที่ยากจนขัดสน แค่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องบรรพบุรุษมาเท่านั้น จุดเดียวที่พวกเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปก็คือพวกเขาเรียนวิชาการต่อสู้ รู้หนังสือ แต่ก็เพียงเท่านี้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมาเห็นการตกแต่งที่วิจิตรหรูหราของชั้นสี่ คนตระกูลไช่ก็รู้สึกราวกับว่าหากตนเองย่างเท้าเข้าไปแล้วจะทำให้สถานที่แห่งนั้นแปดเปื้อน
“เข้ามาเถอะ”
เสียงที่ฟังดูเกียจคร้านดังมาจากข้างใน รอจนพวกเขาเข้าไปแล้วก็ต้องตกตะลึงต่อรูปโฉมและการแต่งกายของบุรุษผู้นั้นรวมถึงคนอื่นในห้อง
จากนั้นพวกเขาก็รีบก้มหน้าก้มตา กลัวว่าตนเองจะไปล่วงเกินอีกฝ่าย
ยามนี้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นนึกเสียใจทีหลังเสียแล้ว คนเหล่านี้แค่เห็นก็ทราบว่าคงมีฐานะไม่ธรรมดา เขาถึงขั้นสงสัยว่าคนเหล่านี้พาคนในครอบครัวของตนมาเช่นนี้มีเป้าหมายอันใดกันแน่
ยามนั้นเองกลับมีตั๋วรับรองแผ่นหนึ่งที่เขียนรายละเอียดเรียบร้อยแล้วยื่นออกมาตรงหน้าเขา “ตรวจดูสิ โรงน้ำชาเทียนเป่าหักค่าธรรมเนียมไปห้าร้อยตำลึง พวกเจ้านำเงินไปก่อนสองร้อยตำลึง เท่ากับว่าเหลือฝากไว้ที่นี่สี่พันสามร้อยตำลึง
บอกพวกเจ้าไว้ตรงนี้ก่อนว่า เงินจำนวนห้าร้อยตำลึงที่หักไปนั้น พวกข้าจะนำไปสมทบการสร้างสำนักศึกษาในเมืองใหญ่และตามชนบท ถ้าพวกเจ้าอยากส่งเด็กในบ้านไปเรียนหนังสือก็สามารถพาลูกหลานของพวกเจ้ามารับตั๋วอาหารสำหรับห้าปีที่โรงน้ำชาเทียนเป่า เมื่อลูกหลานของพวกเจ้าไปกินข้าวในสำนักศึกษาให้แสดงตั๋วอาหารใบนี้ เท่านี้ก็สามารถกินทุกอย่างในโรงอาหารของสำนักศึกษาได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน”
บุรุษวัยกลางคนยิ่งฟัง ความรู้สึกมากมายก็ยิ่งพลุ่งพล่านในใจจนลืมความรู้สึกเสียใจเมื่อครู่ไปเสียสนิท “นายท่านพูด พูดจริงหรือ”
“นี่คือตั๋วรับรอง เห็นตราประทับตรงนี้หรือไม่ นี่คือตราประทับทางราชการของรัชทายาท โรงน้ำชานี้มีสายสัมพันธ์กับราชสำนัก ไม่หลอกลวงพวกเจ้าหรอก จริงสิ นอกจากโรงน้ำชาเทียนเป่า พวกเจ้ายังสามารถไปถอนเงินที่กิจการขนส่งของเทียนเป่าได้เหมือนกัน
วันหน้าเมื่อเทียนเป่ามีสาขาอื่น ๆ ก็สามารถไปถอนได้เช่นกัน แต่ต้องเป็นกิจการของเทียนเป่าและร้านที่มีตราสัญลักษณ์แบบนี้เท่านั้น เจ้าเพียงต้องนำป้ายแสดงตัวกับตั๋วรับรองนี้รวมถึงประทับลายนิ้วมือของเจ้า หากสามารถลงนามได้ด้วยก็ยิ่งดี ตอนไปถอนเงินจะมีการตรวจเทียบลายนิ้วมือกับลายมือลงนาม เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นสวมรอยได้”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นตื้นตันใจอย่างมาก เขารู้สึกว่าคนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงตนเอง เตรียมการมาอย่างดีปานนี้ เบื้องหลังยังมีรัชทายาทอีกด้วย
“ข้า ข้าจะลงนาม”
หลังจากลงนามตามด้วยประทับลายนิ้วมือ หนานกงหลีก็ส่งป้ายที่ทำจากวัสดุพิเศษและมีตราสัญลักษณ์บุปผาแห่งชีวิตให้เขา
“บนนี้ระบุจำนวนเงินคงเหลือไว้อย่างชัดเจน คราวหน้าหลังจากเจ้าถอนเงินแล้วตัวเลขบนนั้นก็จะมีการแก้ไข เจ้าลองคำนวณดูว่าถูกต้องหรือไม่”
รอจนคนเหล่านั้นรับเงินไปอย่างระมัดระวังแล้ว หนานกงหลีก็ลุกขึ้นโยนสมุดบัญชีเล่มนั้นใส่หนานกงฉีจวิน “เจ้าเด็กหน้าเหม็น นานทีข้าถึงจะได้ออกมาพักผ่อนหาความสำราญ เจ้ากลับหางานมาให้ข้าทำเสียได้ ไม่เห็นเสด็จอาของเจ้าเป็นคนแล้วใช่หรือไม่!”