เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 430 ข้าสูงขึ้นแล้ว
บทที่ 430 ข้าสูงขึ้นแล้ว
บทที่ 430 ข้าสูงขึ้นแล้ว
เสี่ยวเป่าถามคำถามมากมายเกี่ยวกับสำนักศึกษา และรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าตอนนี้สำนักศึกษาของพวกเขามีศิษย์มากถึงหนึ่งพันคน ทั้งยังเห็นคุณค่าของโอกาสในครั้งนี้
ความพยายามของท่านพ่อมิต้องรอถึงสองปีก็เห็นผล ถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถดึงดูดคนมีความสามารถได้มากยิ่งขึ้น ตนเองก็จะไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้นอีก
หลังจากพูดคุยกับหงอวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็พาเด็กหนุ่มลงจากเขาทั้งยังมอบอิงเถาป่าให้
หงอวิ๋นขอบคุณพวกเขาอยู่หลายที พร้อมกับสอบถามที่อยู่ของพวกเขาเพื่อหวังจะตอบแทนในภายหลัง
เสี่ยวเป่าโบกมือ “ไม่ต้องหรอก พวกเราอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง มาที่นี่เพื่อดูสถานการณ์ในหมู่บ้านเท่านั้น”
พูดจบก็จากไปพร้อมกับเยว่หลี
ทันทีที่กลับถึงหมู่บ้าน พ่อบ้านก็แจ้งกับนางว่าแกะและม้าฝูงแรกมาถึงแล้ว
แกะเป็นแกะขนยาวอย่างที่เสี่ยวเป่าต้องการ อย่างไรก็ไม่ได้เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร เพราะสิ่งที่เสี่ยวเป่าต้องการคือขนบนตัวของพวกมัน
มีแกะทั้งหมดหนึ่งร้อยตัว เป็นตัวเมียแปดสิบตัว และตัวผู้ยี่สิบตัว
ม้าเองก็เป็นม้าชั้นดี เสี่ยวเป่าหยิบจดหมายที่พี่รองเขียนถึงตนออกมา ในนั้นบอกว่าม้าฝูงนี้ซื้อมาจากพ่อค้าชาวหูในจำนวนนั้นห้าตัวเป็นม้าป่าที่โชคดีจับได้มาจากทุ่งหญ้า จ่าฝูงมีนิสัยดื้อรั้นทั้งยังไม่ถูกปราบพยศ นางจำต้องระมัดระวังตัวให้มาก
เมื่อเสี่ยวเป่าแวะไปดูม้าก็เห็นครูฝึกม้าหลายคนกำลังยืนล้อมม้าสีดำตัวใหญ่ พยายามที่จะปราบพยศ
ช่วยไม่ได้ที่ม้าตัวนี้ทั้งดื้อรั้นและดุร้าย มันไม่เพียงถีบครูฝึกหลายคนกระเด็นกระดอน แต่ยังออกวิ่งอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ครูฝึกที่อยู่บนหลังมันพลิกคว่ำเลยทีเดียว
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังสนั่น เจ้าม้าดำส่งเสียงร้องเป็นการเย้ยหยัน พร้อมหันกลับไปมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก
สมกับเป็นม้าจ่าฝูง อารมณ์รุนแรงทั้งยังไม่ยอมจำนนต่อผู้ใด
จากนั้นม้าจ่าฝูงผู้ไม่ยอมก้มหัวก็มองเห็นเสี่ยวเป่าที่อยู่ไม่ไกล จากเดิมที่วิ่งไปยังทุ่งที่ปลูกหญ้างอกงามก็วกตัวกลับและวิ่งตรงไปหาเสี่ยวเป่า
ท่าทางดุร้ายและวิ่งควบดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า หากไม่รู้คงนึกว่ามันเตรียมจะพุ่งจู่โจมเพื่อหวังจะแก้แค้น
ครูฝึกม้าและคนในหมู่บ้านรวมถึงผู้คนที่ยืนอยู่ทางนั้นพากันหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นทิศทางที่ม้ากำลังวิ่งตรงไป
“คุ้มกัน คุ้มกันองค์หญิงเร็ว!”
องครักษ์ข้างกายเสี่ยวเป่าชักดาบในท่าเตรียมพร้อม แต่เจ้าม้ากลับค่อย ๆ วิ่งช้าลง และเปลี่ยนเป็นก้าวเดินในที่สุด มันสะบัดหางไปมาด้วยใบหน้าเย่อหยิ่งพลางมองดูบรรดาองครักษ์ถือดาบด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นก็พ่นลมออกมาทางจมูกฟึดฟัด
เสี่ยวเป่ายิ้มกว้าง ท่าทางไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด “พวกเจ้าหลบไปหน่อย มันไม่ทำร้ายข้า”
พวกองครักษ์มองหน้ากันทำอะไรไม่ถูก ด้วยเพราะเจ้าม้าตัวนี้สร้างภาพจำที่น่าหวาดหวั่นให้กับทุกคนไปแล้ว
พวกเขาดูลังเล แต่ม้าดำกลับแหวกฝูงชนให้พ้นทางและก้าวไปข้างหน้า พลางก้มมองเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้
“สวัสดี ยินดีต้อนรับสู่บ้านใหม่นะ”
เสี่ยวเป่ายื่นมือไปลูบหัวเจ้าม้าดำโดยที่มันไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำมันยังคลอเคลียมือของเสี่ยวเป่าอย่างรักใคร่อีกด้วย
ครูฝึกมาที่ตามมาข้างหลังมีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็กลับกลายเป็นตื่นเต้นราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“องค์หญิงเจาเสวี่ยคือเทพกลับชาติมาเกิดจริง ๆ ด้วย”
“ใช่แล้ว พวกเราตั้งหลายคนยังปราบม้าพยศตัวนี้ไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้กลับเชื่อฟังเมื่ออยู่ในมือขององค์หญิง อัศจรรย์จริง ๆ อัศจรรย์เกินไปแล้ว”
“ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าฝ่าบาทต้องเคยเห็นเทพเจ้าเป็นแน่ เทพเจ้าในหนังสือนิทานบรรยายได้สมจริงยิ่งนัก”
“องค์หญิงยังเลี้ยงเสือด้วยนะ”
ได้ยินครูฝึกม้าพูดดังนั้น เสี่ยวเป่าก็อดเผยยิ้มที่มุมปากไม่ได้
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเรื่องที่พวกตนไม่เคยพบเห็นเทพเจ้ามาก่อน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
เมื่อเวลาผ่านไปเสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ ก็เริ่มชินชา อยากพูดก็พูดไป อย่างไรเสียมันก็มิได้ส่งผลเสียอะไรต่อพวกเขา
เสี่ยวเป่าพาม้าฝูงนี้ไปหาช่างซ่อมกีบม้าเพื่อตัดแต่งกีบเท้าให้พวกมัน ทั้งยังใส่เกือกม้าก่อนที่จะปล่อยพวกมันเข้าทุ่ง
เวลานี้มีม้าเพียงสองตัวอยู่ในทุ่งเลี้ยงม้า ม้าน้อยสีขาวของเยว่หลีและม้าลากจูงรถ รวมถึงกวางขาวอีกหนึ่งตัว
เจ้าม้าสองตัวมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ เพราะว่าพวกมันชอบทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นที่สุด
เดิมทีนั้นม้าน้อยสีขาวของเยว่หลีไม่จำเป็นต้องตามมาด้วย แต่ทุกครั้งที่พวกเขาจากไป เจ้าม้าน้อยสีขาวก็จะมองตามด้วยสายตาละห้อย จากนั้นก็จะอาละวาดหากว่าไม่พามาด้วย
ถึงตอนนี้ เจ้าม้าน้อยสีขาวก็เริ่มมีความคิดที่จะปักหลักอยู่ที่นี่และไม่กลับไปอีก
อย่างไรเสียทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ก็เป็นเหมือนสวรรค์ของพวกม้า
ม้าที่มาใหม่มีทั้งหมดห้าสิบตัว พวกมันต่างไม่คุ้นเคยมาเมื่ออยู่ในสถานที่แปลกตา แต่ไม่นานนักพวกมันก็ถูกล่อลวงด้วยหญ้างอกงามและเริ่มหาอาหารกิน
พวกมันกินอิ่มจนยัดอะไรไม่ลง ความวิตกกังวลต่าง ๆ ก็พลันหายวับไป ตราบใดที่มีของอร่อยแบบนี้ทุกวัน ให้พวกมันอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตก็ยังได้!
หลังจากจัดแจงที่อยู่ให้แกะและม้าเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็วางแผนทำการใหญ่อีกอย่างนั้นคือการปลูกฝ้าย
หลังจากการเพาะปลูกปีที่แล้ว ในที่สุดก็มีเมล็ดฝ้ายเพียงพอแจกจ่ายให้กับหลายอำเภอเพื่อนำไปทดลองปลูก ทางด้านเสี่ยวเป่าเองก็นำเมล็ดฝ้ายสำหรับปลูกบนพื้นที่กว่าสามร้อยหมู่โดยมีแผนที่จะเพาะปลูกบนภูเขา
ช่วงเวลาแห่งความยุ่งวุ่นวายมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาแห่งการไถพรวนดินในฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง พริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนหกของฤดูร้อน
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ เสี่ยวเป่าสวมกระโปรงของปีที่แล้วก็พบว่าตนเองสวมมันไม่ได้อีกต่อไป
มิใช่ว่าอ้วนขึ้นแต่เป็นสูงขึ้น!
ภาพที่เห็นทำเอานางดีใจจนเนื้อเต้น รีบวิ่งไปหาท่านพ่ออย่างมีความสุขเพื่อพูดคุยเรื่องมงคลครั้งใหญ่
“ฝ่าบาท เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในเผ่าทุ่งหญ้า กษัตริย์ซยงหนูคนใหม่ชื่นชอบการทำสงคราม ทั้งยังมีใจทะเยอทะยาน พวกซยงหนูจึงได้เข้ายึดครองชนเผ่ามากมายภายในช่วงเวลาสั้น ๆ แม่ทัพเซี่ยทางเมืองหน้าด่านคาดการณ์ว่าพวกเขาอาจบุกชายแดนในช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงปีนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ชนเผ่าทุ่งหญ้าใช้ชีวิตอย่างร่อนเร่และกินเนื้อเป็นหลัก แต่กลับไม่มีหลักประกันในชีวิต
ถึงอย่างไรสัตว์จำพวกวัวและแกะ ต่อให้เลี้ยงมากมายเพียงใด กว่าพวกมันโตพอที่จะกินได้ก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าการทำเกษตรกรรม มิหนำซ้ำเนื้อก็เก็บไว้ได้ไม่นาน วัวหรือแกะหนึ่งตัวจึงกินได้ไม่นานนัก
ดังนั้นหากชนเผ่าทุ่งหญ้าคิดจะเลี้ยงปากท้องมากขึ้นก็จำต้องคิดหาวิธีเพิ่มอาหารให้มากกว่าเดิม
แต่ด้วยวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนไร้ถิ่นฐาน ชนเผ่าทุ่งหญ้าจึงถูกกำหนดให้ไม่มีพื้นที่เพาะปลูกเป็นหลักแหล่ง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนล้วนเติบโตบนหลังม้าไม่มีความรู้ทั้งยังไร้การศึกษา จึงทำให้พวกเขามีนิสัยดุร้ายและป่าเถื่อน
ด้วยเหตุนี้วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาคิดออกก็คือการปล้น
แผ่นดินจงหยวนที่หาเลี้ยงชีพโดยการทำเกษตรกรรมเป็นหลักจึงเป็นดั่งแกะอ้วนท้วนในสายตาของพวกเขา เพียงแต่ว่ามันเป็นแกะอ้วนที่รู้จักกัดคน
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงนอนรออยู่เฉย ๆ และเมื่อแข็งแกร่งขึ้นก็จะเผยความดุร้ายของตนและพร้อมที่จะตะครุบเหยื่อโดยไม่ลังเล
“ซยงหนู ดีเหมือนกัน เช่นนั้นก็จัดการพวกเขาเป็นที่แรก”