เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 440 เสี่ยวไห่ ได้เวลาออกโรงแล้ว
บทที่ 440 เสี่ยวไห่ ได้เวลาออกโรงแล้ว
เป็นเวลาเดียวกับที่หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีโม่ออกมาจากกระโจม
เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในทันที พร้อมกับตะโกนเรียกท่านพ่อกับท่านพี่เสียงหวานจนทั้งคู่มิอาจละสายตาไปได้
หนานกงสือเยวียนคว้าเสี่ยวเป่าขึ้นมากอด บัดนี้รอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์
บรรดาแม่ทัพ “!!!”
ฝ่าบาทก็ยิ้มเป็นด้วยหรือนี่!
ระยะนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและอำนาจของฝ่าบาท ท่าทีน่าเกรงขามทั้งยังไม่แสดงสีหน้าใดอยู่เสมอ จู่ ๆ ยิ้มออกมาแบบนี้ทำเอาพวกเขารู้สึกไม่คุ้นชินเท่าใดนัก
“เสี่ยวเป่ามาได้อย่างไร”
เสี่ยวเป่าโอบกอดรอบคอของท่านพ่อพลางคลอเคลีย
“ก็คิดถึงท่านพ่อน่ะสิ ท่านพ่อไม่มีเวลากลับบ้าน เสี่ยวเป่าก็เลยเป็นฝ่ายมาหาเอง ถึงอย่างไรเสี่ยวเป่าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้ว “อะไรกัน เจ้าคิดถึงแต่เสด็จพ่องั้นหรือ”
เสี่ยวเป่ารีบพูด “ใช่ที่ไหนกัน เสี่ยวเป่าก็คิดถึงพี่รองที่สุดเลย ข้าเอาของกินมาให้พวกท่านด้วยนะ”
เวลานี้แม่ทัพเซี่ยก็หัวเราะออกมา “เช่นนั้นก็มาได้จังหวะพอดี ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอะไรเลย”
เขาก้าวไปข้างหน้าและแสดงความเคารพกับเสี่ยวเป่า “องค์หญิง กระหม่อมอยู่ในสถานที่ห่างไกลทางด้านนี้ได้ยินเรื่องเล่าขององค์หญิงมามิน้อยเลย พวกเราเหล่าราษฎรและทหารที่เมืองชายแดนล้วนจดจำคุณงามความดีของท่านได้”
หากเทียบกับบรรดาผู้คนที่คิดว่าวิธีการเพิ่มผลผลิตรวมถึงเมล็ดพันธ์ุชั้นดีนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระและไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือขององค์หญิง ทว่าแม่ทัพเซี่ยกลับรู้ดีว่าผลงานเหล่านั้นเป็นผลงานขององค์หญิงตัวน้อยผู้นี้จริง ๆ
มิเพียงองค์ชายรองเท่านั้น แม้แต่รัชทายาทยังกล่าวถึงเรื่องนี้ในจดหมายตอบโต้กับเขาเป็นครั้งคราว
แม้จะน่าเหลือเชื่อ แต่แม่ทัพเซี่ยก็เชื่อว่ารัชทายาทและองค์ชายรองไม่มีทางพูดปดเด็ดขาด และการโกหกในเรื่องแบบนี้ก็ไม่เป็นประโยชน์เลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทก็ทรงแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยกบัลลังก์และมอบความดีความชอบเหล่านั้นให้แก่องค์หญิง นั่นยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ
เสี่ยวเป่ากล่าวทักทายเขาอย่างสุภาพ “ข้านำของมาเยอะมาก ท่านพ่อกับท่านพี่กินไม่หมดหรอก แม่ทัพเซี่ยกับคนอื่นก็กินด้วยกันเถอะนะ”
แม่ทัพเซี่ยได้ยินก็ระเบิดหัวเราะ “เช่นนั้นพวกเราจะทำตามพระประสงค์ของท่าน”
อาหารที่เสี่ยวเป่านำมาจำต้องกินให้หมดในมื้อเดียว ประเดี๋ยวมันจะบูดหากว่าเหลือไว้จนถึงตอนบ่าย
อาหารไม่เพียงพอเลี้ยงทั้งกองทัพ แต่สำหรับบรรดาแม่ทัพก็นับว่าเหลือเฟือ
อย่างไรเสียอาหารพวกนี้เสี่ยวเป่ามีหน้าที่แค่ขยับปากโดยมีพ่อครัวและเด็กรับใช้ในเรือนเป็นผู้ลงมือทำ
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าให้เงินพวกเขาเป็นรางวัล แม้ว่านางจะเป็นเด็ก แต่ก็มิใช่เจ้านายที่ตระหนี่ขี้เหนียว
เด็กรับใช้แจกจ่ายขนมอบแห้งให้ทุกคนที่นั่นอย่างเป็นระเบียบ ส่วนเสี่ยวเป่าก็ยื่นขนมอบแห้งให้หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีโม่
เครื่องดื่มต่าง ๆ ใส่น้ำแข็งพร้อมดื่มชวนให้รู้สึกสดชื่น
เซี่ยสุยอันชอบน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งเป็นที่สุด ให้ความรู้สึกประหลาดเมื่อเริ่มดื่ม ทว่ายิ่งดื่มก็ยิ่งติดใจ
โดยเฉพาะเมื่อใส่น้ำแข็งด้วยแล้วก็ยิ่งสดชื่นเป็นไหน ๆ
เสี่ยวเป่าพูดคุยกับท่านพ่อและพี่รองอยู่สักพักก็กลับไป นางไม่ต้องการเป็นภาระของท่านพ่อ จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่รบกวนพวกเขา
เมื่อได้เจอกับสาวน้อยรู้ความทั้งยังนำอาหารมากมายมาให้พวกเขา มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างชื่นชอบเด็กน้อยผู้นี้และรู้สึกอิจฉาฝ่าบาทยิ่งนัก
ใครบ้างเล่าจะไม่อยากได้แก้วตาดวงใจผู้เอาอกเอาใจเช่นนี้
เสี่ยวเป่าไม่ได้พักผ่อนทันทีที่กลับมาถึง นางอาบน้ำเย็นเจี๊ยบให้เจ้าเสือทั้งสอง จากนั้นก็เอาน้ำแข็งไปให้นกยูงและไห่ตงชิง แล้วจึงเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด
ครั้งนี้นางมิได้อ่านหนังสือนิยาย แต่เป็นตำราพิชัยสงครามที่มีประโยชน์กับท่านพ่อ
แต่มีหลายสิ่งที่นางอ่านไม่เข้าใจ ทว่าไม่เป็นไร แค่นางคัดลอกทั้งหมดเอาไว้ก็พอ
“โต๊ะทราย!*[1]”
ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในหนังสือ สิ่งนี้สามารถช่วยท่านพ่อได้ จริงสิ แล้วก็ยังมีกล้องส่องทางไกล!
ทันทีที่ออกจากห้องสมุด เสี่ยวเป่าก็รีบเขียนจดหมายถึงท่านพ่อ จากนั้นก็ยัดลงในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ แล้วผูกเข้าที่ขาของไห่ตงชิง
“เลี้ยงเหยี่ยวไว้ก็ต้องลองใช้งานเสียหน่อย เสี่ยวไห่ ได้เวลาออกโรงแล้ว”
เสี่ยวเป่าลูบหัวเจ้าไห่ตงชิงอย่างแข็งขัน
“วันก่อนข้าพาเจ้าไปหาท่านพ่อที่ค่ายทหารจำได้หรือไม่ ส่งจดหมายนี้ให้ถึงมือเขา กลับมาแล้วข้าจะเอาเนื้อชิ้นใหญ่ให้กินนะ!”
ครึ่งเดือนผ่านไป บาดแผลของไห่ตงชิงก็หายดี มันถึงขั้นออกไปล่าสัตว์กลับมาได้ด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็จะกลับมาพร้อมกระต่ายอ้วนตัวใหญ่
ก็แค่ส่งจดหมาย เสี่ยวเป่ามั่นใจว่าไม่เกินความสามารถของเสี่ยวไห่แสนฉลาดของนางแน่นอน
เสี่ยวเป่าโบกมือให้ไห่ตงชิงขณะที่มันชูคอร้องแล้วกางปีกบินจากไป
“รีบกลับมานะเสี่ยวไห่”
เมื่อส่งไห่ตงชิงออกไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าลูกไห่ตงชิงสองตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มอบหมายงานให้เด็กรับใช้
“ไปตามหาช่างฝีมือที่ทำงานไม้และรู้วิธีสร้างกลไกมาที่นี่ที”
จากนั้นก็ถามต่อว่าที่เมืองชายแดนมีสถานที่เผาอิฐแดงหรือไม่
นางมิได้จะเผาอิฐ ทว่าต้องการเตาในการหลอมกระจก
ที่เมืองหลวง เทคนิคการหลอมกระจกนับว่าประสบความสำเร็จทีเดียว เสี่ยวเป่ารู้ส่วนผสมในการหลอมกระจก ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องหลอมกระจกให้เร็วที่สุดเพื่อนำมาสร้างกล้องส่องทางไกล
เสี่ยวเป่ากระตือรือร้นทีเดียวเมื่อเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อท่านพ่อ ให้วิ่งไปหาช่างทำอิฐท่ามกลางแสงแดดจ้าก็ยังได้
แม้จะไม่ใช่มืออาชีพแต่ก็ถือว่ามีประสบการณ์มากกว่านางที่มีความรู้เพียงแค่ในตำรา
วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการหลอมกระจกคือทรายแก้วและถ่านหิน ไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่ได้
วันต่อมา ช่างฝีมือทำกระบะทรายก็มาถึง ส่วนอีกด้านก็หลอมเศษแก้วออกมาได้จำนวนหนึ่ง
แต่ไห่ตงชิงของนางยังคงไม่กลับมา
เสี่ยวเป่าเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย เสี่ยวไห่คงจะไม่ได้หลงทางหรอกใช่หรือไม่
ขณะที่เสี่ยวเป่าคิดว่าจะออกไปตามหา เสี่ยวไห่ของนางก็บินกลับมาพอดี
เสี่ยวเป่าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้เห็นมัน “กลับมาก็ดีแล้วล่ะ”
จากนั้นก็สั่งให้คนเตรียมอาหารมาให้เสี่ยวไห่
“จดหมายไปถึงหรือไม่ ส่งถึงมือท่านพ่อหรือไม่”
ไห่ตงชิงพยักหน้าเป็นการตอบ
สาเหตุที่มันเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ก็เพราะว่ามันใช้เวลาตามหาคนในค่ายทหารนานทีเดียว
เป็นเพราะมันบินวนอยู่เหนือค่ายทหารทำให้ดึงดูดความสนใจของทหารต้าเซี่ย จนเกือบถูกยิงตายเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเหยี่ยวสอดแนมของศัตรู
โชคดีที่เซี่ยสุยอันปรากฏตัวได้ทันเวลา
เซี่ยสุยอันรู้จักไห่ตงชิงตัวนี้ในตอนที่เสี่ยวเป่าไปหาบิดาของนางโดยพาไห่ตงชิงไปด้วย สายตาร้อนแรงของมันทำเอาอดใจไม่ไหวอยากจะกอดไห่ตงชิงของนางดูสักครั้ง
แต่ว่าสุดท้ายมือเกือบเป็นรูด้วยฝีมือของเจ้าเสี่ยวไห่
ทว่าเซี่ยสุยอันไม่ยอมแพ้ หวังจะลูบหัวของมันหลายต่อหลายครั้ง
ไม่เพียงเซี่ยสุยอันเท่านั้น บรรดาพวกแม่ทัพก็หวังไม่ต่างกัน
แน่นอนว่าพวกเขารู้จักชนเผ่าทุ่งหญ้าที่สามารถฝึกฝนเหยี่ยวให้เชื่อง แต่ว่าพวกเขาไม่เคยพบเห็นคนที่มีความสามารถประหลาดเช่นนี้ในต้าเซี่ยมาก่อน
ไม่คิดว่าองค์หญิงจะเป็นผู้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขา ทั้งยังเป็นถึงไห่ตงชิงที่ชนเผ่าทุ่งหญ้ายังมิอาจฝึกได้อีกด้วย!
เหล่าแม่ทัพต่างก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมองค์หญิงผู้อ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัยผู้นี้
[1] โต๊ะทราย คือ แบบจําลองสภาพภูมิศาสตร์