เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 442 กล้องส่องทางไกล
บทที่ 442 กล้องส่องทางไกล
แม่ทัพทั้งหลายตื่นเต้นดีใจยิ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปรากฏขึ้นของโต๊ะทรายมอบความรู้สึกแปลกใหม่เพียงใดให้แก่พวกเขา
ที่แท้แผนที่สามารถมีหน้าตาแบบนี้ได้ด้วย!
ช่างเปิดหูเปิดตาโดยแท้!
หนานกงสือเยวียน “ลูกสาวข้าเป็นคนสั่งทำเอง”
ถึงเขาจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ แต่กลับไม่อาจปิดบังความภาคภูมิใจที่แฝงอยู่ในนั้นได้
“อะไรนะ องค์หญิงตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น”
ทหารทั้งหลายมักพูดจาโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองไม่มากก็น้อย
ครั้นหนานกงสือเยวียนกวาดสายตามองมาค่อยตบปากตัวเองอย่างนึกเสียใจ
แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ยังน่าเหลือเชื่ออยู่ดี
องค์หญิงตัวก็เล็กแค่นั้น อายุเท่าไหร่กันเชียวจึงสามารถทำสิ่งของที่ทำให้แม่ทัพอย่างพวกเขาต้องตกตะลึงได้
ในฐานะที่จางอวี้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำโต๊ะทราย เขาในตอนนี้รู้สึกชื่นชมต่อสติปัญญาขององค์หญิงอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ทัพทั้งหลายอย่าได้แคลงใจ นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงบัญชาให้ข้าน้อยและเหล่านายช่างช่วยกันทำขึ้นมาจริง ๆ ถึงองค์หญิงจะทรงพระเยาว์แต่ทรงเฉลียวฉลาดยิ่ง…”
จางอวี้ชื่นชมองค์หญิงยกใหญ่ เสร็จแล้วค่อยอธิบายขั้นตอนการทำโต๊ะทราย
เหล่าแม่ทัพ : …
อยากเห็นจริง ๆ ว่าในสมองขององค์หญิงวัยไม่กี่ขวบมีอะไรอยู่ในนั้น เอามันสมองของแม่ทัพอย่างพวกเขาสักสิบคนรวมกันยังสู้ไม่ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!
ถ้าหนานกงสือเยวียนรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่คงได้หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งเป็นแน่
คนอื่นไม่รู้ว่าในสมองของบุตรสาวเขามีอะไร แต่เขารู้นี่นา ในนั้นมีห้องสมุดขนาดใหญ่อย่างไรเล่า
ตำราต่าง ๆ ในนั้นชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยเห็นเลย
แต่ไม่เป็นไร ห้องสมุดเป็นของบุตรสาวของเขา สิ่งที่ได้เรียนรู้มาก็ย่อมเป็นของพวกเขา
ความรู้สึกที่ได้เหยียบบนไหล่ยักษ์ทอดสายตามองไกลช่างเป็นความรู้สึกที่ดีงามเสียจริง
หนานกงสือเยวียนไม่ได้พูดไร้สาระมากไปกว่านั้นก็เริ่มเปิดประชุมโดยใช้โต๊ะทรายเป็นสื่อกลาง
“จวนจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว พวกซยงหนูที่เฝ้ารอโอกาสนี้จะต้องไม่อยู่เฉยเป็นแน่ สายลับในทุ่งหญ้าส่งข่าวมาว่าตอนนี้ข่านของพวกซยงหนูรวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ได้หลายเผ่าแล้ว เป้าหมายของพวกนั้นไม่ต้องบอกก็สามารถคาดเดาได้ เซี่ยสุยอัน องค์ชายรอง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“พวกเจ้าสองคนนำทัพม้าแยกไปทางตะวันออกและตะวันตก จงไปปกป้องหมู่บ้านทั้งหลาย สังหารพวกซยงหนูที่มารุกรานต้าเซี่ยให้สิ้นซาก”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพเซี่ย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
…
หนานกงสือเยวียนมีฉายาว่าเทพสงครามไร้พ่าย แม่ทัพชายแดนทั้งหลายล้วนเชื่อมั่นในตัวเขา
ทุกคนจึงทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครมีข้อกังขาแม้แต่คนเดียว
นอกจากนี้ ในอดีตพวกเขายังเคยไล่ตีพวกซยงหนูจนปัสสาวะเรี่ยราด ยามนี้ทัพแข็งแกร่งม้าพ่วงพียังจะถูกพวกซยงหนูรังแกได้อีกหรือ
เนื่องจากพวกเขาเลี้ยงมันด้วยหญ้าชั้นดี กองทัพจึงมีม้าเพิ่มมาหลายพันตัว ม้าศึกยังพ่วงพีกำยำ ทั้งยังมีอาวุธใหม่ ๆ พวกนั้นอีก
พวกซยงหนูได้ข่านคนใหม่ที่ทะเยอทะยานมีฝีมือไม่ธรรมดาแล้วอย่างไร พวกเขาก็สามารถบดขยี้พวกมันไว้ใต้เกือกม้าและคมศาสตราได้เหมือนกัน!
ระหว่างที่กองทัพเริ่มมีความเคลื่อนไหว กล้องส่องทางไกลชุดแรกของเสี่ยวเป่าก็ถูกส่งมาถึงค่ายทหาร
ยามนั้นหนานกงสือเยวียนไม่อยู่ พวกซยงหนูกลุ่มหนึ่งบุกปล้นขบวนพ่อค้าต้าเซี่ย ทั้งยังล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนของต้าเซี่ย กล่าวได้ว่าเป็นการท้าทายพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง
หนานกงสือเยวียนนำกำลังไปตอบโต้
ผู้รับสิ่งของคือเซี่ยสุยอันและหนานกงฉีโม่ วันนี้ทั้งสองเพิ่งกลับมาจากลาดตระเวน นับว่ากลับมาได้ประจวบเหมาะพอดี
“องค์หญิงส่งอะไรมาอีกแล้ว”
ยามนี้สิ่งที่องค์หญิงจัดส่งมาให้กองทัพกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอคอย ลุ้นระทึกเหมือนได้เปิดกล่องสุ่มของอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงฉีโม่ปรายตามอง “ไม่ได้ส่งมาให้เจ้าสักหน่อย จะตื่นเต้นไปทำไม”
เซี่ยสุยอัน “ถึงจะไม่ได้ส่งมาให้ข้า ข้าก็ยังตั้งตารออยู่ดี ไม่แน่ว่าองค์หญิงอาจทำสิ่งน่าอัศจรรย์อันใดมาอีกก็เป็นได้”
เมื่อเปิดดูก็พบว่าข้างในคือกล่องไม้กล่องหนึ่งและของหน้าตาประหลาดอีกสามชิ้น
กล้องส่องทางไกลนี้เป็นแบบตาเดียว เพราะต้องเร่งทำแข่งกับเวลาจึงทำกล้องสองตาไม่ทัน
แล้วยังมีจดหมายหนึ่งฉบับ ในจดหมายนั้นได้อธิบายวิธีใช้งานกล้องส่องทางไกล
ขณะที่หนานกงฉีโม่อ่านจดหมาย เซี่ยสุยอันก็หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาศึกษาดูแล้ว
คงเป็นเพราะผู้ชายมักมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้กระมัง เซี่ยสุยอันที่ไม่ได้อ่านจดหมายก็ยกปลายด้านที่เล็กกว่าขึ้นมาส่องดูโดยไม่ต้องให้ใครสอน
พอส่องแบบนี้ ทำไมจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ
ส่องในกระโจมไม่ค่อยเห็นอะไรมาก เขาบังเกิดความคิดบางอย่างจึงถือกล้องส่องทางไกลออกไปข้างนอก ครั้นลองส่องดูก็ต้องตกใจ
“โอ้! แม่เจ้าโว้ย!”
พอเห็นแล้วก็ต้องสบถออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หนานกงฉีโม่ที่อ่านจดหมายจบก็เข้าใจแล้วว่าของหน้าตาประหลาดสามอันนี้มีไว้ทำอะไร
เซี่ยสุยอันรุดเข้ามาเขย่าไหล่ของหนานกงฉีโม่อย่างตื่นเต้น
“องค์ชายรอง องค์ชายรอง ท่านเอาเจ้านี่ออกไปส่องข้างนอกเร็วเข้า เจ้าสิ่งนี้ช่วยให้เห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปไกล ๆ ได้ ทั้งยังชัดมาก!”
หนานกงฉีโม่ปัดมือของเขาออก กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้ารู้แล้ว เสี่ยวเป่าเขียนบอกไว้ในจดหมาย”
แต่เมื่อเขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกไปส่องเห็นทิวเขาที่อยู่ห่างออกไปได้อย่างชัดเจน ถึงจะรู้เนื้อความในจดหมายก็ยังอดสูดลมหายใจเข้าไม่ได้
เจ้านี่เป็นยุทโธปกรณ์ชั้นเลิศสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้!
เซี่ยสุยอันราวกับกลายเป็นวานรกลายพันธุ์ก็ไม่ปาน ร้องอุทานไม่หยุดขณะถือกล้องส่องทางไกลในมือประหนึ่งของล้ำค่า
จากนั้นก็ไปเรียกบิดาของตนเองและรองแม่ทัพอีกสองนายมาด้วย
“ตาเฒ่ารีบมาดูนี่เร็ว ยกขึ้นมองผ่านตากล้องแบบนี้”
แม่ทัพเซี่ยกลอกตาใส่บุตรชาย “ดูเจ้าสิใช้ได้ที่ไหน ไม่หนักแน่นเลยสักนิด”
แล้วเขาก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นลองส่อง
พอได้ลองเขายังเข้าใจว่าตนเองตาฝาดไป จึงลดกล้องส่องทางไกลในมือลงขยี้ตาแล้วส่องใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่
“นี่มันอะไรกัน!!!”
น้ำเสียงดังกว่าปกติหลายเท่า
“นี่มันของวิเศษอะไรกัน หรือว่าเจ้านี่คือเนตรพันลี้ของเทพเซียนในตำนาน?!”
ท่าทางยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องอย่างตื่นเต้นลิงโลดนั้นแท้จริงแล้วก็ไม่ได้หนักแน่นไปกว่าเซี่ยสุยอันสักเท่าไหร่
รองแม่ทัพทั้งสองเห็นท่าทางของเขาแล้วก็หันมาสบตากัน ขณะเดียวกันก็อดนึกสงสัยไม่ได้ เป็นสิ่งของอย่างไรกันจึงทำให้ท่านแม่ทัพเสียกิริยาเช่นนี้
“ตาเฒ่าคืนมาให้ข้า ท่านให้ข้าดูด้วยสิ!”
แม่ทัพเซี่ยไม่วางมือ ทั้งยังผลักบุตรชายที่มาขัดอารมณ์ออกไปอย่างรังเกียจ
“ไสหัวไปให้พ้น ข้ายังไม่ได้ดูดี ๆ เลย กระทั่งภูเขาฟากโน้นยังเห็นชัดเจนปานนี้ ถ้านำไปใช้ในการศึกจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่!”
ได้ยินแม่ทัพกล่าวเช่นนั้น รองแม่ทัพทั้งสองก็ยิ่งอยากรู้กว่าเดิม
พวกเขาตีหน้าหนาเดินเข้าไปเบียดเซี่ยสุยอันออกไป
“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพเซี่ยท่านให้พวกข้าดูด้วยเถอะว่าจะยอดเยี่ยมเหมือนที่ท่านว่าจริงหรือไม่”
เซี่ยสุยอัน “…”
แต่ละคนช่างหน้าไม่อายจริง ๆ!
เขาโมโหจะแย่ เอาแต่มาแย่งกับเขา แน่จริงก็ไปแย่งชิงกับองค์ชายรองสิ!
จริงด้วย ดูเหมือนยังมี ‘เนตรพันลี้’ เหลืออยู่อีกอันนี่นา