เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 444 นกนักล่า
บทที่ 444 นกนักล่า
สวรรค์มักจะเปลี่ยนสีหน้าไปมา ตอนเช้าอากาศยังปลอดโปร่งท้องฟ้าแจ่มใส เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา
โชคดีที่ทุกคนเคยชินกันแล้ว พอเห็นสีท้องฟ้าดูไม่ชอบมาพากลก็พร้อมใจกันเก็บข้าวที่ตากเอาไว้ทันที
เสี่ยวเป่านั่งอยู่ใต้ชายคา เหยี่ยวยักษ์ยืนเกาะอยู่ตรงหน้าต่าง เสือสองตัวหมอบอยู่แทบเท้า นกยูงแอบมองนางจากไกล ๆ ตรงหัวมุมทางเดินแต่กลับไม่กล้าเดินเข้ามาหา
ยามนี้ฝนตกกระหน่ำ ดวงตาใสกระจ่างของเสี่ยวเป่าฉายแววกังวล
ไม่รู้ว่าท่านพ่อกับพวกท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง
“องค์หญิง องค์หญิง ฝ่าบาทไล่ต้อนจนพวกซยงหนูถอยทัพกลับไปแล้วเพคะ”
ขณะกำลังคิดถึงท่านพ่อกับพวกพี่ชายก็มีคนมาแจ้งข่าวดี
“พวกซยงหนูถูกโจมตีจนถอยทัพกลับไปชั่วคราว พวกเราปลอดภัยแล้วเพคะ”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกาย “ชนะแล้ว? พวกซยงหนูยังจะกลับมาอีกหรือไม่”
“คงถอยทัพชั่วคราว หลังจากนี้น่าจะบุกมาอีกเพคะ”
สาเหตุที่บ่าวรับใช้ตื่นเต้นยินดีเช่นนี้เป็นเพราะที่ผ่านมาเวลาพวกซยงหนูยกทัพมาบุกชายแดนล้วนไม่เคยถอนทัพเร็วเพียงนี้มาก่อน
“สมกับที่เป็นฝ่าบาท ตราบใดที่ฝ่าบาทยังอยู่ เดรัจฉานพวกนั้นอย่าหวังเลยว่าจะได้ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบเมืองของพวกเราแม้ครึ่งก้าว!”
ยากนักที่เสี่ยวเป่าจะไม่เห็นด้วย ทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติ
ท่านพ่อของนางเป็นพ่อที่ร้ายกาจที่สุดในโลก
รบกันยกแรกก็สามารถทำให้พวกซยงหนูถอยทัพกลับไปได้ทำให้ชาวบ้านบริเวณชายแดนตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก
แน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย
นอกเมืองชายแดนของต้าเซี่ยมีหมู่บ้านกระจายอยู่หลายแห่ง
รวมแล้วครานี้มีสิบกว่าหมู่บ้านถูกสังหารหมู่ สิ่งที่สามารถปล้นไปได้ล้วนถูกปล้นไปจนหมด เด็ก คนชรา และคนหนุ่มฉกรรจ์ล้วนถูกสังหาร ผู้หญิงที่ยังมีชีวิตรอดล้วนถูกฉุดคร่าไปด้วย
“เมื่อไหร่พวกเราจะโจมตีกลับไป!”
เซี่ยสุยอันปักดาบยาวเปื้อนเลือดบนพื้น ความโกรธเกรี้ยวเกลื่อนใบหน้า
ชั่วขณะนี้เขาไม่มีความยินดีที่รบชนะเลยสักนิด
หมู่บ้านกระจายตัวกันเกินไป จำนวนคนของพวกเขามีจำกัดจึงไม่อาจปกป้องหมู่บ้านทั้งหมดได้อย่างทันท่วงที
“พวกซยงหนูซ่อนตัวเก่งนัก ทุ่งหญ้าคือบ้านเกิดของพวกมัน ย่อมคุ้นเคยดีกว่าพวกเรา คิดจะกวาดล้างพวกซยงหนูให้สิ้นซากไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น”
หนานกงสือเยวียน “กระจายกำลังโจมตีพวกซยงหนู แม่ทัพเซี่ยปกป้องแนวหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ทัพม้าของพวกซยงหนูสามารถกระจายกำลังโจมตีหมู่บ้านต่าง ๆ ได้ พวกเขาก็ย่อมสามารถกระจายกำลังไล่ต้อนพวกซยงหนูได้เช่นกัน
ตอนนี้ม้าของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกซยงหนู ทั้งยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือชั้นกว่า
พวกซยงหนูจะกล้าแกร่งปานใดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัพม้าดาบยาวก็ต้องตะลึงพรึงเพริด
ครั้งนี้พวกซยงหนูถอยทัพกลับไปในเวลาอันสั้น มิหนำซ้ำยังได้รับความเสียหายอย่างหนักล้วนเป็นเพราะม้าศึกและอาวุธของพวกเขา
หนึ่งวันก่อนเคลื่อนทัพ เหยี่ยวยักษ์ตัวหนึ่งโฉบลงมาตรงหน้ากระโจมของหนานกงสือเยวียน ส่งเสียงบอกคนที่อยู่ข้างในทีหนึ่งก็ผลุบเข้าไปในกระโจมอย่างคุ้นเคย
หนานกงสือเยวียนลูบหัวของเจ้าเหยี่ยวไห่ตงชิงแล้วปลดจดหมายที่ผูกอยู่กับขาของมันลงมา
‘ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านแล้ว ท่านอย่าได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเป่าจะเป็นห่วง ยาพวกนั้นจะต้องพกติดตัวเอาไว้ อีกอย่างเสี่ยวไห่ฉลาดมาก ได้ยินว่าพวกซยงหนูมีนกอินทรีสำหรับสำรวจทิศทางโดยเฉพาะ เสี่ยวไห่ก็ทำได้เหมือนกัน ท่านให้เสี่ยวไห่คอยช่วยเหลือ ต้องปลอดภัยกลับมานะ’
หนานกงสือเยวียนอ่านจดหมายจบก็กวาดสายตามาทางไห่ตงชิง
เสี่ยวไห่ส่งเสียงร้องหลายที ใช้ปากจัดแต่งขนของตัวเอง
ไห่ตงชิงที่ได้เสี่ยวเป่าเลี้ยงมาพักใหญ่ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนตอนแรกอีกต่อไป
ตอนนี้มันอ้วนกว่าเดิมรอบหนึ่ง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างสมบูรณ์กว่าเมื่อก่อนมาก เส้นขนยังเป็นมันเงา
เทียบกับนกอินทรีขนาดใหญ่บางชนิด ไห่ตงชิงมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย แต่ความดุร้ายของมันกลับเป็นที่ยำเกรงสำหรับอินทรีขนาดใหญ่จำนวนมาก
ทั้งรวดเร็วและทรงพลัง สามารถขยุ้มนักล่าที่ตัวใหญ่กว่าพวกมันหลายเท่าได้
เสี่ยวไห่สามารถขยุ้มแกะที่ใกล้โตเต็มวัยได้ ที่ผ่านมายังเคยขยุ้มแกะตัวหนึ่งมาให้เสี่ยวเป่าทำอาหาร
“เข้ามา”
ได้ยินเสียงของหนานกงสือเยวียน องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็เข้ามาทันที
“ไปหาเนื้อมาป้อนมันที”
องครักษ์ผู้นั้นเห็นไห่ตงชิงแล้วก็ยังมีสีหน้าเป็นปกติ
วันรุ่งขึ้น หนานกงสือเยวียนพันแผ่นหนังรอบท่อนแขน ไห่ตงชิงเกาะอยู่บนนั้นด้วยท่วงทีองอาจ
แม่ทัพคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างอิจฉากันถ้วนหน้า
พวกเขาก็อยากได้สัตว์ร้ายที่สามารถนำทางและสังหารศัตรูได้สักตัวเหมือนกัน
“ออกเดินทาง”
หนานกงสือเยวียนปล่อยไห่ตงชิงบินนำทางอยู่ข้างหน้า หลังจากพวกเขาเคลื่อนทัพพ้นประตูเมืองมาแล้วก็กระจายกำลังล้อมปราบพวกซยงหนู
ส่วนเวลานี้เสี่ยวเป่ากำลังทำสิ่งใดอยู่น่ะหรือ
นางออกไปเดินเล่นรอบหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับนกนักล่าสองตัว
ตัวหนึ่งเป็นนกอินทรีทองซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกล่า
อีกตัวเป็นนกเค้าอินทรี กล่าวได้ว่าเป็นนกเค้าแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โดยเฉพาะนกเค้าอินทรีในยุคนี้ ดูแล้วมีขนาดใหญ่กว่าเสียอีก แทบจะมีขนาดเท่านกอินทรีทองตัวนั้นเลยทีเดียว
นกเค้าอินทรีถูกดักจับได้ บนร่างไม่มีบาดแผล ตอนถูกขังไว้ในกรงมีท่าทางเกรี้ยวกราด ดวงตาแหลมคมยิ่งนัก
ยามนี้เมื่อถูกปล่อยออกมา มันก็บินขึ้นไปบนชายคา เอียงคอมองลงมาทางเสี่ยวเป่าเขม็ง
ตอนนี้เสี่ยวเป่ากำลังทำแผลให้นกอินทรีทองจึงไม่สนใจมันชั่วคราว
“องค์หญิง เนื้อที่พระองค์สั่งมาแล้วเพคะ”
ชุนสี่ชินชากับเรื่องที่องค์หญิงออกไปข้างนอกก็ได้นกกลับมาเสียแล้ว
แต่เมื่อคนทั้งหลายเห็นเสี่ยวเป่าปล่อยนกเค้าอินทรีตัวนั้นออกมาจากกรงก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่ซื้อมาเพื่อปล่อยคืนธรรมชาติอย่างนั้นหรือ
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจกว่าเดิมก็คือนกเค้าอินทรีตัวนั้นกลับไม่หนีไปไหน แต่มันเกาะอยู่บนชายคาและมองพวกเขาด้วยความตื่นตัว
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“องค์หญิง แต่พวกมันเป็นสัตว์ดุร้ายนะเพคะ”
ถ้าพวกตนออกไปโดยปล่อยให้องค์หญิงอยู่ตามลำพัง ถ้าถูกทำร้ายจะทำอย่างไร
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยมันไม่กล้าลงมา”
เสี่ยวเป่าชี้นกเค้าอินทรีที่อยู่บนชายคา
สุดท้ายทุกคนก็ถอยออกไปเพราะคำยืนกรานของเสี่ยวเป่า
นกเค้าอินทรีตัวนั้นเห็นคนเหล่านั้นจากไปแล้วค่อยลดความตื่นตัวลง ทั้งยังส่งเสียงตอบเสียงเรียกของเสี่ยวเป่า จากนั้นก็ร่อนลงมาเกาะอยู่บนตอไม้ตรงหน้านาง
นั่นเป็นตอไม้ที่เตรียมไว้ให้ไห่ตงชิง บนนั้นยังมีกลิ่นของไห่ตงชิงหลงเหลืออยู่ นกเค้าอินทรีจึงนึกรังเกียจอยู่บ้าง
แต่นอกจากตรงนี้ก็ไม่มีที่อื่นให้มันหยั่งเท้าแล้ว
เสี่ยวเป่าใช้ตะเกียบคีบเนื้อป้อนมัน
ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นของนกเค้าอินทรีจ้องมองนางโดยไม่ยอมกินในทันที
“กินสิ กินเสร็จแล้วเจ้าจะจากไปหรืออยู่ต่อล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า”
เจ้านกเค้าอินทรีดื้อรั้นยิ่ง หลังถูกจับมาก็ไม่กินอะไรมาสามวันแล้ว
แต่มันไม่ได้รับบาดเจ็บจึงมีสภาพจิตใจค่อนข้างดี ทั้งยังหิวมาก
สุดท้ายมันยังคงก้มหน้าจิกกินเนื้อที่เสี่ยวเป่าคีบส่งมาให้
เสี่ยวเป่าป้อนเนื้อไปได้ครึ่งค่อนจานมันค่อยกินอิ่ม จากนั้นก็เอียงคอจัดแจงขนของตัวเอง
เสี่ยวเป่าหันไปป้อนเนื้อให้นกอินทรีทองต่อ
เวลาทั้งวันหมดไปกับการดูแลนกสองตัวนั้น วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาชุนสี่ก็มารายงานว่านกเค้าอินทรีตัวนั้นบินจากไปแล้ว
ขณะเปลี่ยนชุดให้นาง ชุนสี่ก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “องค์หญิงไม่น่าปล่อยมันออกมาเลย สัตว์พวกนี้ปล่อยออกมาตั้งแต่วันแรกมักรั้งไว้ไม่อยู่ ท่านน่าจะใช้เวลากับพวกมันก่อนสักพักค่อยปล่อยออกมา ถึงตอนนั้นมันจะต้องตัดใจไปจากองค์หญิงไม่ได้แน่นอนเพคะ”
ชุนสี่มีความมั่นใจในเสน่ห์ขององค์หญิงอย่างยิ่ง