เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 45 ท่านพี่อย่าทะเลาะกันเลย
บทที่ 45 ท่านพี่อย่าทะเลาะกันเลย
บทที่ 45 ท่านพี่อย่าทะเลาะกันเลย
ทว่าบรรดาฮูหยินและคุณหนูกลับไม่คิดอย่างนั้น
ฮูหยินของขุนนางทั้งหลายแอบหมายตาองค์หญิงผู้นี้ไว้แล้ว แม้องค์หญิงน้อยจะอายุเพียงสามขวบ แต่ก็เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฝ่าบาท พวกนางจึงคิดไปต่าง ๆ นานาว่าจะทำอย่างไรให้บุตรชายของตนได้สมรสกับองค์หญิงในอนาคต
เสี่ยวเป่านั่งนิ่งเมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่จับจ้องมาไม่หยุด ดวงตาสดใสมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ หยิบขนมโก๋ชิ้นหนึ่งเข้าปากอย่างสำรวม
ทว่าปากเล็กเกินไป เมื่อกินขนมชิ้นยาวนี้เข้าไปแก้มขาวนวลทั้งสองข้างพลันพองกลม
นางรีบเอามืออวบอิ่มปิดปากที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ ดวงตากลมโตมีน้ำตาระเรื่อเหลือบมองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว เฮ้อ… ค่อยยังชั่วที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น!
เสี่ยวเป่าโล่งใจยิ้มจนตาเป็นสระอิราวกับพระจันทร์เสี้ยว หางน้อย ๆ พลันยกขึ้นมาแกว่งไปมา
หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของใครบางคนมาตลอด
หนานกงฉีซิวลดสายตาลงมองนางจนเผลอยิ้มออกมาทางแววตา เขาที่ไม่คิดจะกินสิ่งใดจู่ ๆ ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะคีบพุทราขึ้นมาจ่อปากเจ้าก้อนแป้งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของตะเกียบคู่นั้น อาหารเต็มปากยังทำให้แก้มป่องราวกับกระรอกน้อยที่จับได้ว่ากำลังขโมยอาหาร
“กินเถอะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึก ๆ พลางกลืนสิ่งที่อยู่ในปาก กลืนเสร็จก็อ้าปากรออาหารจากคนป้อน นางกินทุกอย่างที่พี่ใหญ่ป้อนก็เพื่อไว้หน้าเขาเท่านั้นล่ะ!
หนานกงฉีซิวเผยรอยยิ้มที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ มันแตกต่างจากการยิ้มตามมารยาท และนี่ก็เป็นรอยยิ้มที่ดูสบายใจจริง ๆ
เซี่ยชิงหร่านที่มองลงมาจากด้านบนถึงกับตกตะลึง แต่ผู้ใดก็มองไม่ออกว่าดวงตาคู่สวยของนางเริ่มสั่นไหว นางยังคงทำเป็นนิ่งไม่ใส่ใจราวกับไม่ต้องการให้ผู้ใดสังเกตเห็น
กุ้ยเฟยคนงามรีบมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ซิวเอ๋อร์บาดเจ็บ เพื่อไม่ให้นางเป็นกังวล เขาจึงแสร้งทำเป็นเมินเฉยและไม่สนใจ แม้แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เขายังเป็นคนให้กำลังใจและปลอบโยนนาง
แม้จะเดินไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่นางเป็นแม่ ไยจะไม่เห็นความเหงาและความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มเหล่านั้น
ชายหนุ่มผู้เก่งกาจและน่าภาคภูมิใจเช่นนี้ จะไม่สนใจเรื่องที่ตนเดินไม่ได้จริง ๆ น่ะหรือ…
ทว่ายามนี้ซิวเอ๋อร์ดูเหมือนจะลืมปัญหาทั้งหมดไปชั่วขณะ ซ้ำยังยิ้มเหมือนตอนที่ขาของเขายังไม่ได้เป็นเช่นนี้
เซี่ยกุ้ยเฟยพิศมองเสี่ยวเป่าอยู่ครู่หนึ่ง หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็… นางก็เต็มใจที่จะปกป้ององค์หญิงน้อยให้อยู่ดีมีสุขในวังหลังนี้ต่อไป
“มา หันมาให้พี่รองป้อนด้วย”
เห็นพี่ใหญ่ป้อนเจ้าตัวน้อยนี่ดูสนุกดี หนานกงฉีโม่ก็หยิบขนมขึ้นมาบ้าง
เพียงแต่ท่าทางดูไม่เหมือนกำลังจะป้อนอาหารน้องสาว แต่เหมือนกำลังให้อาหารสัตว์เลี้ยงตัวน้อย ๆ ที่ทำให้เขาเบิกบานใจ
เด็กหญิงอ้าปากรับอาหารอย่างว่าง่าย ทว่านางนั่งในท่าสำรวมนี้มานานแล้วเท้าจึงเริ่มชา ร่างเล็กเอี้ยวตัวไปหาพี่ชายทั้งที่ยังเคี้ยวไม่หยุด
หนานกงฉีซิวหยุดชะงัก ค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสี่ยวเป่ากระซิบบอกอย่างน่าสงสาร “ท่านพี่ ขาของเสี่ยวเป่าชา”
หนานกงฉีซิวยื่นมือขาวราวกับหยกออกมาเพื่อช่วยให้นางเปลี่ยนท่านั่ง คนตัวเล็กเหยียดขาออกอย่างใจเย็น เปลี่ยนจากท่าคุกเข่าราบเป็นท่าขัดสมาธิเหมือนเขา
เพราะขาทั้งสองเคลื่อนไหวไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงนั่งแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มผู้เป็นดั่งเทพก็ยังพยายามนั่งหลังตรงให้ดูสง่าผ่าเผยสมกับเป็นองค์ชายใหญ่
“ค่อย ๆ พิงพี่นะ”
เสี่ยวเป่าตอบรับอย่างว่าง่าย และเอนตัวพิงพี่ชายอย่างอ่อนโยน
แม้บนตัวของพี่ใหญ่จะมีกลิ่นน้ำหมึกก็ยังหอมสะอาดสะอ้าน ทั้งที่ตนเองเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ทว่ายามนี้เขาได้กลายเป็นที่พึ่งพิงของน้องสาว
“ท่านพี่เจ็บหรือไม่?”
เสี่ยวเป่ามองขาของพี่ใหญ่อย่างปวดใจและถามด้วยเสียงที่เบามาก
ปลายนิ้วที่จับตะเกียบเผลอบีบเข้าหากันแรงขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นสิ่งที่เขาซ่อนไว้ในใจ
“ผ่านมาตั้งนาน ไม่เจ็บแล้ว”
เสี่ยวเป่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ใหญ่ต้องเชื่อฟังหมอหลวงนะ ท่านจะได้หายดีเร็ว ๆ”
หนานกงฉีซิวตอบรับแต่โดยดี “ได้”
แต่ความจริงแล้วเขาเลิกหวังไปนานแล้ว ทั้งหมอหลวงในวังและหมอจากข้างนอกก็ไม่อาจรักษาขาของเขาให้หายดีได้
ก็คงต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป…
ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ หมายจะใช้ขนตาสีเข้มปกปิดความอ้างว้างในแววตามิให้ผู้ใดรู้
“พี่ใหญ่ก็กินด้วยสิ”
เสี่ยวเป่าก็เริ่มป้อนอาหารให้เขาแทน “กินเยอะหน่อย กินให้อ้วน พี่ใหญ่ผอมเกินไป!”
หนานกงฉีซิวหลุดหัวเราะ “ได้ ๆ”
สองพี่น้องเข้ากันได้อย่างดี หนานกงฉีโม่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยกจอสุราขึ้นดื่มพร้อมรอยยิ้มเบาบาง แต่หากมองดี ๆ จะพบว่าภายใต้ดวงตาคมเฉี่ยวดุจสุนัขจิ้งจอกที่กำลังยิ้มแย้มอยู่นั้นมีความรู้สึกเฉยชาซ่อนอยู่
“พี่รองก็กินด้วย!”
เจ้าก้อนแป้งนี้ช่างเป็นคนที่ได้น้ำฝนไม่ทิ้งน้ำค้าง มีพี่ใหญ่ยังไม่ลืมพี่รอง อุตส่าห์ใช้ตะเกียบคู่เล็กคีบขนมเปี๊ยะดอกไม้หอมกรุ่นมาให้หนานกงฉีโม่
แต่ก็ช่วยไม่ได้ บนโต๊ะมีของหลายอย่างน่ากินทั้งนั้น ทว่าบางจานก็เย็นชืด บางจานก็มันเยิ้มเชียว สิ่งที่กินได้อย่างเดียวคือขนมอบพวกนี้
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้วเบา ๆ เอาเถอะ… จะถือว่ากินเพื่อไม่ให้นางขายหน้าก็แล้วกัน
ทว่าเขากลับไม่ได้กินแค่ขนมที่เสี่ยวเป่าป้อนเท่านั้น แต่ยังบีบแก้มนุ่มนิ่มของนางอีกด้วย
เจ้าก้อนนุ่มนิ่มสีขาวราวหิมะ บนแก้มของเสี่ยวเป่าถูกบีบเข้าหากันจนปากเล็ก ๆ ยื่นออกมา
หนานกงฉีโม่หัวเราะร่า “อย่างกับปลาทองอ๊อง”
เสี่ยวเป่าโมโหแล้วนะ
เด็กน้อยกลอกตาไปมา พูดว่า “พี่รองปากเสีย!”
หนานกงฉีโม่ที่ถูกกล่าวหากลับยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ดูร้ายกาจเหมือนกับตัวร้ายไม่มีผิด
“น้องรอง เลิกแกล้งนางได้แล้ว”
หนานกงฉีซิวหุบยิ้มลงทันที ก่อนจะดึงเสี่ยวเป่ามาอยู่ข้าง ๆ ตน
หนานกงฉีโม่เริ่มมีสายตาเย็นชาพลางส่งเสียงหัวเราะยียวน
“ก็แค่ล้อเล่นกับน้องน้อยสนุก ๆ เอง พี่ใหญ่อย่าจริงจังนักสิ เห็นท่านเป็นอย่างนี้แล้ว สงสัยคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเด็กนี่เป็นพระธิดาของพระสนมกุ้ยเฟย”
แม้หนานกงฉีซิวจะทำตัวเหมือนไม่สนใจโลก แต่ใช่ว่าจะรังแกเขาได้ง่าย ๆ
เขายังหัวเราะไม่หยุดในระหว่างที่เช็ดหน้าให้เสี่ยวเป่า
“แล้วอย่างไร จิ่นซีเป็นน้องของข้า ก็เหมือนกับเจ้าที่ไม่ยอมรับว่าเจ้าก็เป็นน้องข้าเหมือนกัน”
เสี่ยวเป่า “???”
เหตุใดพี่ใหญ่กับพี่รองถึงดูแปลก ๆ กันนะ!
เมื่อเห็นว่าพี่ชายทั้งสองกำลังจะแตกแยก ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่าถูกใครบางคนคว้ามือของพวกเขาไปทับกันไว้
ทั้งสองก้มลงมองพร้อมกัน สายตาพลันปะทะเข้ากับคนตัวเล็กที่ใช้มือน้อยอวบอิ่มทั้งสองข้างกุมฝ่ามือที่ซ้อนกันของพวกเขาไว้ตรงกลาง
เจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบผู้มีใบหน้าอวบอิ่มบอบบางทำหน้าจริงจังพลางตบหลังมือพวกเขาพร้อมกล่าวตักเตือนเสียงเคร่งขรึม
“พี่น้องที่ดีห้ามทะเลาะกัน!”
หนานกงฉีซิว “…”
หนานกงฉีโม่ “…”
สองพี่น้องมองหน้ากัน ทั้งสองเห็นสายตารังเกียจของอีกฝ่าย
เพียงแต่พี่ใหญ่ยังคงหน้านิ่ง สายตารังเกียจจึงเห็นได้น้อยกว่า ส่วนพี่รองนั้นค่อนข้างชัดเจน
เสี่ยวเป่ายังพยายามต่อไปอย่างไม่ย้อท้อ “โตเป็นพี่ชายแล้วห้ามทะเลาะกัน”