เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 453 ข่าวคราวเกี่ยวกับเผ่าเทียนกู่น่า
บทที่ 453 ข่าวคราวเกี่ยวกับเผ่าเทียนกู่น่า
นกของพวกเขาดุร้ายกว่าเหยี่ยวทมิฬที่พวกซยงหนูฝึกมาเสียอีก กระทั่งมีนกขนาดใหญ่ที่สามารถขยุ้มคนทั้งคนขึ้นมาได้อีกด้วย
นกตัวที่พูดถึงก็คืออินทรีทองที่แสนซื่อบื้อตัวนั้นเอง สามปีมานี้เจ้าอินทรีทองมีความก้าวหน้าไม่น้อย กลายเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของหนานกงฉีหลิงไปแล้ว
แน่นอนว่าทุกครั้งที่เห็นเสี่ยวเป่า มันก็จะทิ้งสหายร่วมรบไว้ด้านหลังแล้วบินโฉบเข้ามาหาอ้อมอกของเสี่ยวเป่าในทันที
ออกนอกเรื่องไปเสียไกล เสี่ยวเป่าวางแผนที่ในมือลง
“รู้แล้ว ให้เขารออยู่ที่เรือนหน้า”
ระยะเวลาสามปีบอกว่าเร็วกลับไม่เร็ว บอกว่าช้ากลับไม่ช้า
แต่ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเสี่ยวเป่ากลับเห็นได้อย่างชัดเจน
เด็กหญิงวัยแปดขวบสูงเพรียวขึ้นกว่าเดิม ขาสั้น ๆ ในอดีตยืดยาวขึ้น ร่างกายที่เริ่มมีความกลมกลึงให้เห็นบ้างแล้วแลดูงดงามสมส่วน
ใบหน้าของนางก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้จะยังมีขนาดเท่าฝ่ามือดุจเดิม ทว่าความน่ารักจิ้มลิ้มในอดีตลดน้อยลง แต่มีความงามจับตาเพิ่มเข้ามาแทนที่
ถึงจะอยู่ที่ชายแดน แต่นางก็ยังคงได้รับการดูแลประคบประหงมอย่างดี ผิวพรรณขาวผ่องเกลี้ยงเกลา องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าประกอบด้วยความงามที่ราวกับไม่มีอยู่จริง คิ้วโค้งดวงตาเรียวเวลาแย้มยิ้มประดุจจะเปล่งประกายได้อย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของเด็กน้อยแลดูมีชีวิตชีวา เจิดจรัสดุจดารา ผมดำขลับเงางาม หากใบหน้ายังคงมีแก้มยุ้ยเหมือนทารก
ตอนนี้นางชอบใส่ชุดสีแดง ขับเน้นให้ผิวของนางแลดูขาวผ่องดุจหิมะ
บริเวณชายแดนไม่ค่อยมีคนงามเช่นนี้ โดยเฉพาะรูปโฉมแบบเสี่ยวเป่าด้วยแล้ว ถึงจะเป็นที่เมืองหลวงก็ใช่ว่าจะหาพบได้ง่าย ๆ
แม้ใบหน้าจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แต่ก็ดูออกว่านี่คือโฉมงามตัวน้อยเลื่องชื่อคนหนึ่ง โดยเฉพาะบนถนนที่พวกเขาอยู่กันสายนี้ กล่าวได้ว่าเสี่ยวเป่าเป็นที่รักของทุกคน ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกเป็นต้องได้ของว่างติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเป็นกระบุง
“องค์หญิง อากาศเย็นแล้วท่านสวมเสื้อคลุมกันลมด้วยเถิดเพคะ”
ชุนสี่ถือเสื้อคลุมกันลมสีขาวมาสวมให้นาง สภาพอากาศบริเวณชายแดนโหดร้ายทารุณ สายลมคมกริบประหนึ่งใบมีด องค์หญิงของพวกนางเป็นคนงามเปราะบางเช่นนี้จะต้องคอยดูแลอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี
“รู้แล้ว เฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉางยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงของเสี่ยวเป่าไพเราะกังวาน ยังคงฟังดูนุ่มนิ่มอยู่บ้าง
ชุนสี่ช่วยทำผมให้นาง “พักหลังมานี้เฮยไป๋อู๋ฉางชอบออกไปข้างนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าออกไปทำอะไรกัน แต่องค์หญิงอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ คนทั้งเมืองหน้าด่านล้วนรู้จักพวกมัน ตอนนี้ต่อให้พวกมันเดินนวยนาดอยู่กลางถนนในเมืองก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นหรอกเพคะ”
สมควรบอกว่าผู้คนในชายแดนแห่งนี้มีจิตใจกล้าหาญ ตอนอยู่เมืองหลวงเสือสองตัวนี้ไม่กล้าเดินเพ่นพ่าน เอาแต่ติดตามอยู่ข้างกายองค์หญิง แต่พอมาอยู่ชายแดน เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปีพวกมันก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระแล้ว
ขณะพูดอยู่นางก็นึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ยกตัวอย่างเช่นบนคอพวกมันแขวนตะกร้าเอาไว้ ในนั้นมีเศษเงินและเหรียญทองแดง พวกมันยังไปซื้อของด้วยตัวเองได้อีกต่างหาก
เงินเหล่านั้นย่อมเป็นองค์หญิงให้พวกมันมาอยู่แล้ว องค์หญิงบอกว่านั่นคือค่าแรงของพวกมัน แต่ละครั้งพอได้เงินแล้ว เจ้าเสือสองตัวนั้นก็จะพกเงินออกไปซื้อของเพื่อหาเสบียงมากักตุนเพิ่มให้ตัวเอง
นี่กลายเป็นภาพแปลกตาประจำเมืองหน้าด่านแห่งนี้ไปเสียแล้ว
ภายหลังนกนักล่าตัวอื่น ๆ ก็เอาอย่างด้วยเช่นกัน กระทั่งนกในกองทัพเหล่านั้น ทุกเดือนฝ่าบาทจะจ่ายเบี้ยหวัดให้พวกมันหลายตำลึง ครั้นถึงช่วงวันหยุดพักผ่อน นกเหล่านั้นก็จะบินออกมาหาซื้อของด้วยตัวเอง
“องค์หญิง วันนี้เป็นวันหยุดที่นกในหน่วยเสินอิงจะออกมาซื้อของพอดี ท่านอยากออกไปดูหรือไม่เพคะ”
เรื่องนี้กลายเป็นกิจกรรมสร้างความบันเทิงอย่างหนึ่งของชาวบ้านในเมืองหน้าด่านไปเสียแล้ว ทุกครั้งพอถึงวันหยุด ทุกคนก็จะรวมตัวกันออกมาชมดูภาพเหล่านกมาจับจ่ายซื้อของ ถึงขนาดที่ว่ามีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยได้ยินข่าวแล้วแวะเวียนมาดูด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมไปโดยปริยาย
“คุยกับพ่อค้าหลิวเสร็จค่อยออกไปก็แล้วกัน”
เสี่ยวเป่าคิดถึงนกที่เฉลียวฉลาดเหล่านั้นรวมถึงเสือสองตัวของตนเองก็รู้สึกภูมิใจมากทีเดียว
นางเป็นคนเลี้ยงมากับมือเชียวนะ!
หลังแต่งกายเสร็จแล้วเสี่ยวเป่าก็ออกไปห้องชงชาด้านนอก ขณะนั้นพ่อค้าหลิวที่มีรูปกายอิ่มเอิบสมบูรณ์กำลังจิบชาอยู่ เมื่อเห็นเสี่ยวเป่าก็กระวีกระวาดลุกขึ้นมาต้อนรับ
“คุณหนูกงไม่ได้พบกันเสียนาน ข้ามาคราวนี้เพราะมีข่าวดีมาบอกท่าน!”
พ่อค้าหลิวที่ใบหน้าแลดูมากวาสนายิ้มกว้างจนตาหยี ทำให้คนเห็นรู้สึกว่าเขาเป็นคนเจ้าเนื้อที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีคนหนึ่ง
แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นพ่อค้า เขาก็มีความฉลาดแบบพ่อค้าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกหลอกไปนานแล้ว
เสี่ยวเป่าได้ยินคำพูดของเขาดวงตาก็พลันสว่างวาบ “ท่านได้ข่าวของเผ่าเทียนกู่น่ามาอีกแล้วหรือ”
พ่อค้าหลิวพลันยิ้มกว้างกว่าเดิม “ความพยายามไม่ทำให้คนผิดหวัง ปีที่แล้วข้าไปตีสนิทพ่อค้าจากทุ่งหญ้าเอาไว้หลายคน ทั้งยังแอบบอกพวกเขาเป็นนัยว่า ถ้าพบคนของเผ่าเทียนกู่น่าก็ช่วยส่งข่าวให้เมืองหน้าด่านของพวกเราด้วย ตอนนี้ถ้าพูดถึงเรื่องการค้าขาย มีที่ไหนสามารถสู้ต้าเซี่ยของพวกเราที่กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายได้ด้วยหรือ”
น้ำเสียงของเขามีความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นชาวต้าเซี่ยอยู่เต็มเปี่ยม
เมื่อมีการประชาสัมพันธ์เรื่องความรักชาติในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านหนังสือพิมพ์ รวมถึงดัชนีชี้วัดความสุขที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีของชาวต้าเซี่ย ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือพ่อค้าล้วนมีความรู้สึกใกล้ชิดกับต้าเซี่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านว่าบังเอิญหรือไม่ มีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งไปเจอคนของเผ่าเทียนกู่น่าที่ออกมาแลกเปลี่ยนสินค้าเข้าจริง ๆ เสียด้วย พ่อค้ากลุ่มนั้นส่งข่าวมาให้ข้า บอกว่าพวกเขาสนใจตลาดนัดของต้าเซี่ย ปีนี้ก็จะมาร่วมด้วย”
เสี่ยวเป่าได้ยินอย่างนั้นดวงตาก็เป็นประกายเจิดจ้า
“เยี่ยม ลำบากพ่อค้าหลิวแล้ว ชุนสี่ไปเอาเหล้าองุ่นสองขวดกับเหล้าขาวหนึ่งขวดมาที”
ได้ยินคำพูดของเสี่ยวเป่า ดวงตาของพ่อค้าหลิวก็เป็นประกายด้วยเช่นกัน
เหล้าองุ่นกับเหล้าขาวนั่นเป็นของดีเชียวนะ ที่เมืองหลวงไม่รู้ว่ามีคนแย่งกันอยู่ตั้งเท่าไหร่ ทุกครั้งที่พ่อค้าแถบชายแดนกล่าวถึงก็มีแต่ความรู้สึกอิจฉา
เหล้าพวกนี้มาถึงชายแดนจำนวนน้อยยิ่ง แต่ละครั้งที่ถูกนำออกมาขายก็มีคนแย่งกันซื้อในราคาสูงลิ่ว
คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูท่านนี้จะมีของดีเช่นนี้อยู่ด้วย มิหนำซ้ำยังยกเหล้าองุ่นตั้งสองขวดและเหล้าขาวหนึ่งขวดให้เขาในคราวเดียวอีกต่างหาก นี่ยิ่งทำให้พ่อค้าหลิวมีความมุ่งมั่นในการกอดขาใหญ่ของเสี่ยวเป่ามากกว่าเดิม!