เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 462 หลอกง่าย
บทที่ 462 หลอกง่าย
หลังพาเข้าบ้านพักแล้ว ไม่เพียงแค่จัดเตรียมอาหารและเสื้อผ้าไว้ต้อนรับ แต่ยังมีน้ำร้อนพร้อมให้อาบ
ด้วยเหตุนี้เมื่อหนานกงสือเยวียนไปพบพวกเขาอีกครั้ง เหล่าชายร่างสูงใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าใหม่ต่างก็มองมาด้วยความซาบซึ้ง
หนานกงฉีโม่ที่ตามมาด้วย “…”
“เสด็จพ่อ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาดี มีนิสัยเรียบง่ายยิ่ง”
นับว่าค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่ใช้คำเหล่านั้นมาบรรยายเหล่าชายฉกรรจ์รูปร่างประหนึ่งหมีเหล่านี้
อันที่จริงหนานกงฉีโม่ต้องการจะพูดว่าพวกเขาดูใสซื่อหลอกง่ายเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นระหว่างการสนทนา คนเผ่าเทียนกู่น่าได้บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาได้รับการแนะคำจากพ่อค้าใจดีผู้หนึ่งให้มายังต้าเซี่ย
“พ่อค้าหลิวเป็นคนดีผู้หนึ่ง พวกข้าแลกเปลี่ยนหนังสัตว์กับเผ่าทุ่งหญ้าได้เกลือมาเพียงเล็กน้อย แลกเปลี่ยนกับเขาได้มากกว่านัก”
ว่าแล้วพวกเขาก็นำหนังสัตว์เหล่านั้นออกมา
เมื่อพวกหนานกงสือเยวียนได้เห็นหนังสัตว์ ดวงตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นมาทันใด
ไม่มีเหตุผลอื่นใด หนังสัตว์พวกนี้ใหญ่เหลือเกิน
“นี่…”
“นี่ล้วนเป็นหนังสัตว์ที่พวกข้าถลกออกมาเองกับมือ ทั้งหนาและอบอุ่น!”
หลังจากคืนสติจากอาการตื่นตะลึง หนานกงฉีโม่ก็ถามกลับด้วยความสงสัย “หนังสัตว์เหล่านี้ พวกเจ้าสามารถแลกเกลือได้มากน้อยเพียงใด”
“แลกกับคนทางทุ่งหญ้า ได้เท่าถุงนี้”
เขาทำมือประมาณท่าทางให้เห็น ถุงที่ว่าสูงประมาณเท่าเข่าคนธรรมดา อีกทั้งยังเป็นเกลือที่ไม่ได้มีคุณภาพดีแต่อย่างใด
หนานกงสือเยวียน “…”
หนานกงฉีโม่ “…”
ช่างเป็นการถูกหลอกอย่างน่าสังเวชเกินไปแล้ว
หนังสัตว์เหล่านี้ ไม่ว่านำไปขายที่ใดราคาที่ได้ย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแค่พวกเขามองดูก็รู้ว่าคนซื่อเหล่านี้มีทักษะการฟอกหนังที่ดีมาก หนังทั้งหมดต่างอ่อนนุ่มยิ่ง
ยามนี้เกลือหยาบได้ถูกเลิกใช้ในต้าเซี่ยแล้ว ทุกคนต่างใช้เกลือละเอียดประหนึ่งเกล็ดหิมะ ล้วนเป็นเพราะวิธีการตากเกลือ ทำให้เกลือราคาถูกกว่าปีก่อนเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าการซื้อขายเกลือนั้นอยู่ในการควบคุมของราชวงศ์ ตอนนี้ผู้ควบคุมราคาซื้อขายเกลือของพ่อค้าคือองค์รัชทายาท
หนังเหล่านี้เทียบราคาในปัจจุบันแล้ว กล่าวได้ว่าเพียงพอจะแลกกับเกลือเกล็ดหิมะถุงใหญ่หลายถุง
หนานกงสือเยวียนทิ้งเรื่องนี้ไว้ให้บุตรชายคนรองทำก่อนจะจากไป เขายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก
เมื่อหนานกงฉีโม่บอกว่าพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนหนังเหล่านี้กับต้าเซี่ยได้เป็นเกลือจำนวนเท่าใด คนเผ่าเทียนกู่น่าก็ล้วนตกตะลึง
หนานกงฉีโม่ยังสั่งให้คนนำเกลือเข้ามาอีกด้วย
“เป็นเกลือเช่นนี้ อีกทั้งหนังของพวกเจ้ายังแลกได้ประมาณสิบถุงสูงเท่าเอวข้า”
คนที่ฟังคำเขาเข้าใจบื้อใบ้ไปทันใด ส่วนคนอื่น ๆ รีบหันไปสอบถาม เมื่อเข้าใจแล้วก็พากันตะลึงงันไปตาม ๆ กัน
หนานกงฉีโม่มองพวกเขาด้วยความสงสาร นี่มันน่าเวทนาเกินไปจนมิอาจทนหลอกลวงคนเหล่านี้ได้
หนึ่งในนั้นแตะมือป้ายเกลือขึ้นมาเล็กน้อยอย่างระมัดระวังเพื่อนำเข้าปากลองชิมดู ก่อนจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หนานกงฉีโม่มองชาวเทียนกู่น่าสุมหัวกันก็คาดเดาได้ว่ากำลังพูดคุยเรื่องใด สุดท้ายก็มีคนไม่อาจทนเก็บอารมณ์ฉุนเฉียวได้ ทำท่าจะวิ่งตรงไปยังทุ่งหญ้าเพื่อสังหารคน อาจเป็นเพราะรับรู้ว่าตนถูกหลอกอย่างน่าสังเวชเพียงใด
ทว่าแม้จะถูกหลอก แต่เมื่อเทียบกับราคาเกลือทางฝั่งทุ่งหญ้าแล้วก็ยังนับว่าดีอยู่บ้าง
แค่ถ้าเทียบกับสิ่งที่แลกเปลี่ยนได้ตอนนี้แล้วช่าง… น่าสังเวชเกินไป
สุดท้ายคนผู้นั้นก็สงบลงภายใต้การเกลี้ยกล่อมของผู้นำกลุ่ม จากนั้นจึงดันหนังสัตว์ทั้งหมดไปทางหนานกงฉีโม่อย่างเบามือ
“พวกข้าต้องการจะแลกหนังเหล่านี้เป็นเกลือกับพวกท่าน!”
หนานกงฉีโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมได้”
“ข้าตรวจสอบได้หรือไม่”
อีกฝ่ายพยักหน้า
หนานกงฉีโม่ตรวจสอบคร่าว ๆ พบว่าในหมู่หนังสัตว์เหล่านี้ มีจำนวนไม่น้อยที่เขาไม่รู้จัก
มีที่ขนเหมือนหมาป่าหิมะ แต่ก็ขนาดใหญ่กว่าหมาป่าหิมะที่เขารู้จักมาก อย่างน้อยใหญ่กว่าสักสองเท่า
เสือเองก็เช่นเดียวกัน ทว่าลายกลับแปลกไปบ้าง
“นั่นคือหนังของเสือเขี้ยวดาบ อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง เหล่าคนแก่ สตรี และเด็กในเผ่าของพวกข้าต่างชอบใช้หนังของพวกมัน”
หนึ่งในนั้นถึงกับเอาสร้อยเขี้ยวสัตว์ที่พันอยู่รอบคอออกมาพร้อมเอ่ยสิ่งใดบางอย่าง รูม่านตาหนานกงฉีโม่หดลงเมื่อสัมผัสเขี้ยวนั่น
เขาย่อมมองออกได้ทันทีว่าเป็นเขี้ยวสัตว์ แต่… มันใหญ่มากเกินไป
ยาวเต็มฝ่ามือของเขาเลยทีเดียว
ผู้นำกลุ่มแปลคำพูดออกมา
“นั่นคือเขี้ยวของเสือเขี้ยวดาบตัวแรกที่น่าฮ่านเขาล่ามาได้ด้วยตัวคนเดียว”
หนานกงฉีโม่ไม่อาจคงสีหน้าเดิมเอาไว้ได้ เสือเขี้ยวดาบ นี่คือหนังสัตว์ที่เขาถือเอาไว้ในมือหรือ
หนังสัตว์ใหญ่ขนานนั้น ทั้งยังมีเขี้ยวนั่นอีก
คนเผ่านี้ดุร้ายอย่างแท้จริง ชาวซยงหนูเทียบไม่ติดเลย
หากเป็นเผ่านี้ที่โจมตีพวกเขา เกรงว่าคงไม่อาจเอาชนะได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
ส่วนเรื่องหลอกลวง หนานกงฉีโม่ไม่มีความคิดทำลายศักดิ์ศรีของตนเองเช่นนั้น
อีกทั้งการที่คนเผ่าเทียนกู่น่าโดนหลอกได้ง่ายมากเพียงนี้ อ่าไม่สิ ที่พวกเขามีความคิดเรียบง่ายเพียงนี้ น่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อม
สิ่งที่หนานกงฉีโม่คิดในตอนนี้คือไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพวกเขาเด็ดขาด
อย่างน้อยการเป็นศัตรูในสถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องกับพวกเขาเลย นับเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดอย่างเห็นได้ชัด
“หนังสัตว์ของพวกเจ้ายอดเยี่ยมนัก”
หนานกงฉีโม่เอ่ยปากออกมาภายใต้ประกายตาวาววับของคนกลุ่มนั้น
“ทว่า…”
ยังไม่ทันได้มีความสุข หัวใจของชาวเทียนกู่น่าก็ดิ่งวูบลงอีกครั้ง รีบเอ่ยออกมาทันที “พวกข้าไม่ต้องการเกลือมากถึงเพียงนั้น ท่านแค่ให้พวกข้าห้าถุง ไม่สิ สี่ถุงก็ได้!
ท่าทางราวกับกลัวว่าหนานกงฉีโม่จะไม่ยอมแลกเปลี่ยน
หนานกงฉีโม่เอ่ยปลอบ “เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป ข้าย่อมต้องแลกเปลี่ยนแน่นอน เพียงแค่อยากมอบข้อเสนออื่นให้เจ้าก่อน”
“ราคาที่ข้าประเมินหนังสัตว์ก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องแลกหนังสัตว์ทั้งหมดกับเกลือ ต้องการจะแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงอาหารหรือไม่”
ดวงตาของคนเผ่าเทียนกู่น่าสว่างวาบ “ได้หรือ สามารถแลกเสบียงที่เก็บได้นาน ๆ ได้หรือไม่”
“ย่อมได้”
ระหว่างการสนทนา หนานกงฉีโม่ก็ลอบถามอย่างแนบเนียนว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใด