เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 468 ท่านพ่อใจร้ายเกินไปแล้ว
บทที่ 468 ท่านพ่อใจร้ายเกินไปแล้ว
เสี่ยวเป่าเอาแต่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อ้าปากส่องฟันอยู่นานสองนาน
ยิ่งมองก็ยิ่งไม่สบายใจ ดวงหน้าน้อย ๆ เต็มไปด้วยความขมขื่น
พอหนานกงสือเยวียนมาถึง เจ้าตัวเล็กก็รีบปิดปากไว้ด้วยสองมือ กลัวใช้มือเดียวแล้วจะปิดไม่มิด
“ฟันน้ำนมเริ่มหลุดแล้วหรือ”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึกหงัก แต่ไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด
“มาให้ข้าดูหน่อย”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวเป็นพัลวัน ยามนี้นางน่าเกลียดมากจนไม่อยากให้ท่านพ่อเห็น นางก็ห่วงภาพลักษณ์ของตนเหมือนกันนะ ท่านพ่อเข้าใจหรือไม่
“เหตุใดเล่า หรือเจ้าคิดจะเก็บตัวอยู่อย่างนี้ เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าตอบเสียงอู้อี้ว่าถึงอย่างไรก็จะไม่ยอมให้ดู
เอาเถอะ หนานกงสือเยวียนไม่คิดจะบังคับ แต่วันนี้เขาจะอยู่ที่จวนทั้งวัน
เสี่ยวเป่า “…”
เป็นครั้งแรกที่นางอยากให้ท่านพ่อจากไปเร็ว ๆ รอให้ฟันนางงอกก่อนค่อยกลับมาใหม่
เมื่อถึงเวลากินข้าว นางจึงต้องให้ห้องครัวแอบส่งอาหารมาให้ที่ห้อง
ถึงนางจะพยายามไม่พูดหรือออกไปข้างนอก
แต่…
ท่านพ่อของนางก็เห็นภาพที่นางกำลังอ้าปากเข้าจนได้
นางตั้งใจกินจนลืมสังเกตว่าท่านพ่อมาหา เสี่ยวเป่ารู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญ เขาจงใจ!
“กลัวไปไย ต่อให้เจ้าจะน่าเกลียดเพียงใด เจ้าก็ยังเป็นบุตรสาวของข้า”
หนานกงสือเยวียนนั่งลงตรงข้ามเสี่ยวเป่า ดูเหมือนเขาจะเข้าใจการสูญเสียฟันของบุตรสาว แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้น!
ใช่แล้วล่ะ เขาหัวเราะ เป็นเหตุให้เสี่ยวเป่าเข้าใจว่าท่านพ่อกำลังหัวเราะเยาะนาง!
“อ้านอ้อใออ๊ายเอินไอแอ๊ว! (ท่านพ่อใจร้ายเกินไปแล้ว)!”
หนานกงสือเยวียนกล่าวพร้อมใบหน้าจริงจัง “กว่าข้าจะหาเวลากลับมาได้แต่ละครั้งมิใช่เรื่องง่าย เหตุใดถึงจะอยากมากินข้าวกับบุตรสาวของตนไม่ได้เล่า”
เสี่ยวเป่ายังคงปิดปากแน่น แต่ว่า… แต่ว่าท่านรอให้ฟันข้างอกก่อนค่อยกลับมาไม่ได้หรือ
ไม่ว่าเสี่ยวเป่าจะพยายามปกปิดอย่างไร แต่ท่านพ่อก็เห็นไปแล้ว นางคงไม่อาจปิดเรื่องนี้ไปได้ตลอด
แต่นางก็ยังไม่กล้าออกไปข้างนอกเพื่อทำให้ตัวเองขายหน้า
โชคดีที่ฟันงอกเร็วมาก ประมาณหนึ่งสัปดาห์ฟันก็เริ่มงอกขึ้นมาใหม่
แต่ฟันก็ยังห่างและน่าเกลียดอยู่ดี
หิมะที่เมืองหน้าด่านละลายหมดแล้ว ทุกคนจึงเริ่มงานยุ่งกันอีกหน
เพราะต้องเตรียมเพาะปลูกในยามวสันตฤดู
ท้องทุ่งนาบรรยากาศครึกครื้น ทุกคนใบหน้าเปื้อนยิ้ม
และในที่สุดฟันของเสี่ยวเป่าก็งอกออกมาจนสมบูรณ์แล้ว
ดูดีเหมือนเดิม
นางจึงเริ่มทำใจออกไปซื้อของได้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่จดหมายจากเยว่หลี พี่สี่ และพี่ห้ามาส่งพอดี
แต่ดูเหมือนจดหมายจากเยว่หลีกองใหญ่กว่าใคร
ลายมือเขางดงามขึ้นเรื่อย ๆ
แต่เนื้อหาในจดหมายเหมือนเขียนบันทึกประจำวันมากกว่าจดหมาย เยว่หลีเขียนเรื่องสนุกมากมายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของเขา
เขียนบรรยายเสียจนเสี่ยวเป่ารู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง
อย่างเรื่องของกษัตริย์เป่ยเยว่ผู้โง่งม ไม่รู้เรื่องการทหารเลยสักนิด กลับเอาแต่ชี้นิ้วสั่งการ
ชาวเป่ยเยว่โชคร้ายยิ่งที่มีผู้ปกครองเช่นนี้ กุนซือสมองกลวงวางแผนการรบ ด้วยการเดินทางพันลี้เพื่อสังเวยหัวมนุษย์ นำกองทัพห้าแสนนายเข้าโจมตีต้าเซี่ย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแสนนายของต้าเซี่ย
ทว่าแม้กษัตริย์เป่ยเยว่จะไม่เก่งการรบ แต่หนีเร็ว ในยามที่เห็นว่าตนกำลังจะพ่ายแพ้ เขาก็รีบหันไปชักชวนคนสนิทปีนป่ายขึ้นหลังม้า รีบหนีหางจุกตูด จนทหารต้าเซี่ยไล่ตามไม่ทัน!
จดหมายจากคนทั้งสามล้วนเขียนถึงการหลบหนีของกษัตริย์เป่ยเยว่ไว้คนละแบบ
พี่สี่และพี่ห้านั้นเสียดายที่อีกฝ่ายหนีได้รวดเร็วเกินไป พวกเขายังไม่ทันได้ง้างธนูเลยด้วยซ้ำ คนพวกนั้นกลับหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนขี่ม้าเก่งขนาดนี้
เยว่หลีเขียนบรรยายไว้ได้ตลกกว่ามาก ยามที่กษัตริย์เป่ยเยว่ปีนป่ายขึ้นหลังม้า ด้วยความที่เขาหวาดกลัวจนขาสั่น ทั้งร่างกายยังอ้วนท้วน คนสนิทจึงต้องช่วยดันเขาขึ้นหลังม้าอย่างทุลักทุเล ยามควบม้าหลบหนี เขาก็กอดคอม้าไว้แน่น ตัวสั่นงันงกไปตลอดทาง จนกระทั่งม้าวิ่งผ่านเส้นทางขรุขระ มงกุฎบนหัวจึงหล่นลงพื้น เยว่หลีเขียนบรรยายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ละเอียดยิบเลยทีเดียว
ราวกับอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง เสี่ยวเป่าถึงกับกลั้นไม่ไหว หัวเราะเสียงดังออกมาทันทีที่อ่านจบ
ไม่ใช่ว่านางหยาบคายหรือไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ เพียงแต่คู่ต่อสู้ทำตัวน่าขันเกินไปจริง ๆ
อีกทั้งต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว แล้วเหตุใดนางจะหัวเราะเยาะไม่ได้
ข่าวคราวต้าเซี่ยชนะสงครามย่อมเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง เสี่ยวเป่าพลันนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
ว่าเมื่อใดต้าเซี่ยจะเข้ายึดเป่ยเยว่
ที่จริงไม่ได้มีแค่เสี่ยวเป่าที่คิดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากในเป่ยเยว่ต่างตั้งตารอให้ต้าเซี่ยเข้ายึดเป่ยเยว่โดยเร็วเช่นกัน พวกเขาอยากจะเป็นชาวต้าเซี่ยกันใจจะขาดแล้ว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาใจง่าย ขี้ขลาด เพียงแต่ต้าเซี่ยมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ยิ่ง นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ใดจะหักห้ามใจได้!
สำหรับชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างพวกเขาแล้ว มันไม่สำคัญว่าจักรพรรดิจะเป็นผู้ใด พวกเขาสนแค่คนผู้นั้นสามารถทำให้กินอิ่มนอนหลับได้หรือไม่เพียงเท่านั้น
บังเอิญว่าต้าเซี่ยทำได้
พวกเขารู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไรน่ะหรือ แน่นอนว่าเป็นชาวต้าเซี่ยที่บอกกล่าว!
ซึ่งเยว่หลีเป็นคนออกความคิดนี้ เขาให้คนกระจายข่าวเกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สามารถปลูกได้ในต้าเซี่ย รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เขากลัวว่าชาวเป่ยเยว่จะไม่เชื่อ จึงให้คนนำผลผลิตไปให้ชาวเป่ยเยว่ดูด้วย
‘อธิบายด้วยเหตุผล ซื้อใจคนด้วยความเข้าใจ’ แผนการนี้จึงคว้าหัวใจของผู้ที่ถูกยึดอาหารเกือบทั้งหมดไปทำสงครามได้สำเร็จ
พวกเขาไม่เพียงแต่ตื่นเต้นดีใจ แต่ยังช่วยกระจายข่าว จนเป็นที่ล่วงรู้กันถ้วนทั่ว
การเข้ายึดเมืองในเป่ยเยว่จึงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย เพราะผู้คนในเมืองล้วนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เมื่อข่าวนี้ถึงหูกษัตริย์เป่ยเยว่ที่กำลังหลบหนีหัวซุกหัวซุนก็โกรธเกรี้ยว แต่ก็ทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งต้าเซี่ยสารพัด
ยามนี้เขาหวาดกลัวสนามรบ และหวาดกลัวต้าเซี่ยยิ่งกว่า เขาไม่สนใจว่าราษฎรพวกนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาเพียงต้องการกลับไปที่เมืองหลวงเป่ยเยว่โดยเร็วที่สุด และกลับไปนั่งเชิดหน้าบนบัลลังก์สบาย ๆ แล้วจะไม่ย่างกรายมาที่สนามรบอีกเลย