เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 470 พบเจอเผ่าเทียนกู่น่าอีกครั้ง
บทที่ 470 พบเจอเผ่าเทียนกู่น่าอีกครั้ง
หลังจากช่วงไถปรับหน้าดินในฤดูใบไม้ผลิจบลง แถบชายแดนก็ต้อนรับการกลับมาของเผ่าเทียนกู่น่า
ยิ่งไปกว่านั้น หนานกงสือเยวียนและคนอื่น ๆ ช่างโชคดี เนื่องจากการพบกันในครั้งนี้ บังเอิญเจอกันระหว่างกำลังขับไล่ทัพซยงหนู
แต่คราวนี้ทัพซยงหนูไม่ได้โจมตีพวกเขา แต่กลับหันไปปล้นชนเผ่าทุ่งหญ้าอื่นแทน
นกอินทรีที่พวกซยงหนูปล่อยออกมานั้นถูกวิหคเทวะของทางฝั่งต้าเซี่ยสังหารจนหมดสิ้น
นกนักล่าหลากหลายสายพันธุ์ต่างบินวนอยู่เหนือน่านฟ้า พวกมันพลางหาช่วงจังหวะที่เหมาะสมแล้วโฉบเข้าไปใช้กรงเล็บโจมตีพวกซยงหนู
เสี่ยวไตที่ตัวใหญ่ที่สุดได้โฉบชายคนหนึ่งออกจากหลังม้าได้อีกครั้ง ก่อนจะเอาไปโยนทิ้งไกล ๆ
โดยจงใจเล็งให้โดนอีกคนซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า
ชาวซยงหนูทั้งสองคนกระแทกกันจนตกจากหลังม้า และถูกม้าเหยียบจนถึงแก่ความตาย
“ทำดีมากเสี่ยวไต!”
ผู้คนทางฝั่งต้าเซี่ยเห็นดังนั้นต่างส่งเสียงกู่ร้องขึ้นมา
หนานกงฉีหลิงต้องกลับไปทำภารกิจ ทำให้สิทธิ์ในการดูแลเสี่ยวไตตกเป็นของผู้อื่นโดยชั่วคราว สุดท้ายแล้ว ชัยชนะจึงตกเป็นของทางฝั่งแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่ง
ตอนนี้พวกเขาเห็นเสี่ยวไตกำลังจับใครบางคน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ภาพตรงหน้าก็ยังทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน ผู้ดูแลชั่วคราวยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิ
อินทรีทองร้องขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะบินให้สูงขึ้นไปบนฟากฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงคมธนู มันเห็นคนควบม้าวิ่งตรงมาทางนี้แต่ไกลด้วยสายตาอันเฉียบคม
นกนักล่าตัวอื่นก็เห็นเช่นกัน พวกมันจึงพากันส่งเสียงร้องเตือน
เมื่อได้ยินเสียงของพวกมัน ทหารต้าเซี่ยก็พากันสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เป็นกองกำลังเสริมจากทางฝั่งซยงหนูหรือไม่
หนานกงสือเยวียนทำสัญญาณมือบ่งบอกให้หยุด
พวกชาวซยงหนูต่างพากันคิดว่าผู้คนพวกนั้นต่างมาช่วยพวกตน แววตาจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หลังจากโดนกองทัพต้าเซี่ยไล่ต้อนอยู่สามวัน ขนาดกองทัพของพวกเขาลดลงจากสามหมื่นเป็นหนึ่งหมื่นแล้วในตอนนี้ ช่างน่าสังเวชเสียจริง
แต่ดูเหมือนว่าทางฝั่งต้าเซี่ยจะตั้งใจสู้รบเป็นอย่างยิ่ง กัดพวกเขาไม่ยอมปล่อย
ในที่สุด กำลังเสริมของพวกเขาก็มาถึง… ใช่หรือไม่
ตอนนี้พวกเขากลัวว่าจะถูกต้าเซี่ยตีเข้าพิชิต เจ้าพวกคนต้าเซี่ยนี้ พวกเขายังไม่ได้รุกล้ำชายแดนด้วยซ้ำ แต่คนต้าเซี่ยกลับมาสร้างปัญหาก่อกวนพวกเขาถึงที่!
ทว่าพวกเขาดีใจเร็วเกินไป พวกที่มาจากทางด้านนอกนั้นหาใช่กองกำลังเสริมจากชาวซยงหนูไม่ แต่กลับเป็นราชันแห่งอเวจีที่พร้อมจะสังหารพวกเขา
เดิมทีชนเผ่าเทียนกู่น่าไม่ได้ต้องการสู้รบกับพวกชาวซยงหนู แต่กู๋เหมิงจำเครื่องแต่งกายของชาวซยงหนูได้ มันเป็นเครื่องแบบเดียวกับตอนที่มีคนมาดักปล้นพวกเขาก่อนหน้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น สหายต้าเซี่ยของพวกเขาดูเหมือนจะมีความเกลียดชังชนเผ่าทุ่งหญ้านั้นด้วย
กู๋เหมิงหันกลับมาพลางเอ่ยพูดกับกองทัพชนเผ่าของตนเอง ในที่สุดทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันที่จะช่วยทัพต้าเซี่ยสังหารชาวซยงหนูพวกนี้
เผ่าเทียนกู่น่าทุกคนล้วนเป็นนักรบมาโดยกำเนิด แม้แต่ผู้หญิงเองก็ยังมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
พวกเขาคว้าอาวุธขึ้นมา พลางสังหารผู้คนนับพันอย่างหาญกล้าไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
ในบรรดากลุ่มคนพวกนั้น ผู้ที่ถูกสังหารเป็นคนแรกคือแม่ทัพของซยงหนู
ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นในทันที
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กำลังเสริมจากทางซยงหนูพ่ะย่ะค่ะ”
“ทูลฝ่าบาท กลุ่มที่มุ่งตรงมาจากแดนหน้าแข็งแกร่งยิ่งนัก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ร่างกายสูงใหญ่กำยำประหนึ่งหมี บางคนสวมใส่หนังสัตว์ คล้ายกับผู้ที่เคยไปติดต่อแลกเปลี่ยนตรงเมืองหน้าด่านครั้งก่อน พวกเขากำลังต่อสู้กับพวกซยงหนูพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานกงสือเยวียนจึงคาดเดาได้ว่าคนพวกนั้นคือใคร
“ทุกคนฟัง ตามข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากโดนตีขนาบข้าง จำนวนพลทหารซยงหนูลดลงอย่างรวดเร็ว
“สหายจากต้าเซี่ย!”
กู๋เหมิงเห็นหนานกงสือเยวียน จึงยกอาวุธเปื้อนเลือดในมือขึ้นพลางเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาใช้ภาษาประจำเผ่า หลายคนจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยังมีบางคนที่สามารถเข้าใจได้
คนที่เข้าใจแล้วได้ยินต่างพากันเม้มปาก คนผู้นี้เรียกฝ่าบาทว่า ‘สหาย’ อย่างนั้นหรือ
หนานกงสือเยวียนไม่ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้า
หลังจากสังหารพวกซยงหนูเรียบร้อยแล้ว กู๋เหมิงและคนอื่น ๆ ก็เช็ดเลือดที่กระเซ็นเปื้อนบนใบหน้าอย่างองอาจ แต่มันกลับดูสกปรกมากกว่าเดิมเสียอีก
ทว่าแม่ทัพหลายคนกลับจ้องมองกล้ามเนื้อของพวกชาวเทียนกู่น่าอย่างคิดริษยา
เมื่อได้เห็นความกล้ายามเมื่อพวกเขาสังหารชาวซยงหนูเมื่อครู่ ช่างง่ายราวกับเป็นเพียงการสับผัก
ร่างกายแข็งแรงเช่นนี้ เหมาะสมกับการเป็นยอดนักรบยิ่งนัก!
“ได้มาพบพวกท่านเสียที ครั้งนี้พวกข้ามีสิ่งของมาแลกเปลี่ยนมากมายนัก!”
เนื่องจากสภาพอากาศเริ่มกลับมาอบอุ่นแล้ว ยามฤดูหนาวพวกเขาได้ผลิตหนังสัตว์เอาไว้เสียหลายสิบผืน นอกจากนี้ยังมีเนื้อแห้งและของดีมากมายมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ผู้คนที่อยู่บนเกวียนมีทุกเพศทุกวัย
ยามเมื่อถึงเวลากลับเข้าเมือง ชาวเทียนกู่น่าเองก็มากับพวกเขาด้วยเช่นกัน
แม่ทัพเซี่ยต้องตาม้าของพวกเขายิ่งนัก เนื่องจากชาวเทียนกู่น่า รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ม้าที่พวกเขาสามารถพามาออกรบด้วยได้นั้นจึงต้องไม่ใช่ม้าธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับม้าของต้าเซี่ย ม้าพวกนั้นดูสูงใหญ่กว่ามาก ทั้งสูงทั้งแข็งแรง เรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
อย่างไรพวกเขาก็นึกถึงเพียงคำสองพยางค์นี้เท่านั้น อยากได้!
หนานกงสือเยวียนเองก็ถูกตาต้องใจม้าของชาวเทียนกู่น่าเช่นกัน
ม้าของพวกเขาเหมือนจะดูดีที่สุดในบรรดาม้าพันธุ์อื่น ๆ แล้ว แต่ม้าที่ชาวเทียนกู่น่าควบนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย บางตัวดูดีกว่าด้วยซ้ำ
แม่ทัพเซี่ยใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารกับพวกเขา
“พวกเจ้าได้ม้าพวกนี้มาจากที่ใดกัน”
กู๋เหมิงตอบ “พวกข้าจับม้าทั้งหมดนี้ได้ในทุ่งหญ้าเสวี่ยหลิง ตรงนั้นม้าทุกตัวล้วนใหญ่โต แต่จับยาก เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มนักรบของเผ่าเทียนกู่น่าจะต้องไปทุ่งหญ้าเสวี่ยหลิงเพื่อจับม้าคู่กายของตนเอง”
เมื่อเอ่ยถึงประเพณีของตัวเอง แววตาของกู๋เหมิงก็เป็นประกายขึ้นมา ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือสีหน้าล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ม้าพันธุ์นี้มีขายหรือไม่”
“พวกเจ้าต้องการม้าพันธุ์นี้หรือ”
แม่ทัพเซี่ยพยักหน้า คนอื่น ๆ เองก็พากันเอียงหูเพื่อฟังเช่นกัน