เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 48 เจ้าตัวเล็กนี่หลายใจจริง ๆ
บทที่ 48 เจ้าตัวเล็กนี่หลายใจจริง ๆ
บทที่ 48 เจ้าตัวเล็กนี่หลายใจจริง ๆ
แม่นางน้อยทั้งสองเบิกตาโพลง “ท่านหญิง เป็นท่านต่างหากที่…”
หลี่หนานจูจ้องพวกนางตาเขม็ง “ข้าทำสิ่งใดหรือ?”
สายตาที่จับจ้องมากดดันคนทั้งสองจนไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมาอีก พวกนางได้แต่ร่ำไห้อยู่อย่างนั้น หากพูดออกไป เกรงว่าสกุลหลี่และพระสนมกุ้ยเฟยคงไม่ปล่อยตระกูลของพวกนางไปเป็นแน่
ชุนสี่กัดฟันแน่น กำหมัดจนเส้นเลือดปูด ท่านหญิงผู้นี้โอหังเกินไปแล้ว!
หลี่หนานจูเห็นว่าพวกนางหวาดกลัวต่อสายตาของตนพลันแสดงสีหน้าพึงพอใจ
“ญาติผู้พี่ ฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า…”
เพียะ!!!
หลี่หนานจูแก้ตัวยังไม่ทันจบ จู่ ๆ ก็มีมือเรียวยาวฟาดลงมาจนหน้าหัน เครื่องประดับบนศีรษะกระเด็นออกจากมวยผม หล่นลงพื้นกระจัดกระจาย
ทุกคนในที่แห่งนั้นตื่นตกใจ รีบหันไปมองหนานกงฉีโม่
แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้ตาฝาด เป็นหนานกงฉีโม่ที่ตบนาง
ยามนี้ หนานกงฉีโม่ไม่หลงเหลือรอยยิ้มบนใบหน้าแม้สักนิด มีเพียงดวงเนตรเย็นชาที่กำลังจับจ้องหลี่หนานจู
“ญาติผู้พี่…”
หลี่หนานจูกุมใบหน้าขณะมองเขาเหมือนไม่อยากเชื่อ สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่มีต่ออีกฝ่าย
องค์ชายรองเอ่ยเสียงเย็น “ที่นี่ใช่จวนของเจ้าหรือ?”
ร่างกายของหลี่หนานจูเริ่มสั่นเทาทันทีที่สัมผัสถึงสายตาเย็นชาไร้ความปรานีของอีกฝ่าย
นางกลัวญาติผู้พี่ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มผู้นี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะนางเคยผ่านไปเห็นเด็กอายุสิบห้านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ท่าทางเบื่อหน่ายมองคนเฆี่ยนตีสาวใช้แหลกเป็นชิ้น ๆ
แม้ตัวนางจะหยิ่งผยอง ทั้งยังเคยตบตีบ่าวไพร่ยามที่อารมณ์ไม่ดี แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนถูกเฆี่ยนจนตายกับตาตนเอง ซ้ำแล้วญาติผู้พี่ยังนั่งมองอย่างเฉยชาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
แม้นางจะมารู้ภายหลังว่า เป็นเพราะสาวใช้มีเจตนาไม่ดีกับญาติผู้พี่ หวังอาศัยความงามถีบตนให้สูง คิดว่าญาติผู้พี่ใสซื่อไม่ทันคน จึงวางยาและพยายามปีนขึ้นเตียงเขา
แต่ถึงรู้ที่มาที่ไปแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้หลี่หนานจูเลิกหวาดกลัวญาติผู้พี่
เคยกลัวอย่างไรก็กลัวอยู่อย่างนั้น นางยังต้องอาศัยบารมีของคนเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะแต่งออกไปได้ดีมีอนาคตสดใสหรือไม่ อีกทั้งเกียรติยศชื่อเสียงทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเสด็จป้าและญาติผู้พี่
“ญาติผู้พี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่…”
หลี่หนานจูจำต้องรีบกลืนสิ่งที่จะพูดลงคอทันทีที่สบสายตากับเขา
“ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
สุดท้ายนางก็ได้แต่กลั้นน้ำตาพลางสารภาพเสียงแผ่ว
หนานกงฉีโม่ยังมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปหาเสี่ยวเป่าที่กำลังยืนมองตาแป๋ว
ชายหนุ่มกวักมืออย่างเหนื่อยหน่าย “มานี่”
เสี่ยวเป่าสะบัดหน้าหนี แต่ก็ยอมเดินมายืนข้าง ๆ เขาแต่โดยดี
เด็กชายอีกสามคนยังคงสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า
สวรรค์! นึกว่าพี่รองจะช่วยคนงี่เง่าอย่างหลี่หนานจูเสียอีก ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะจัดการนางด้วยมือเปล่าโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนเลยสักนิด
ถึงจะมีคำกล่าวที่ว่าสุภาพบุรุษไม่ควรทำร้ายสตรีก็เถอะ แต่คราวนี้…
พี่รองทำได้ดีมาก!
หนานกงฉีโม่บีบแก้มอ้วนของเสี่ยวเป่าเบา ๆ และแล้วดวงตาคู่เฉี่ยวก็กลับมาเปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
“ดื่มไปเท่าใดกันถึงได้เป็นเช่นนี้ หืม?”
ไขมันนุ่มนิ่มบนแก้มของนางถูกบีบเล่นอย่างกับลูกบอล ยิ่งบีบเขาก็ยิ่งสนุก
เสี่ยวเป่าแก้มแดงระเรื่อเอ่ยตอบเสียงแผ่วพลางยกมือทำท่าประกอบ
“เสี่ยวเป่าดื่มไปแค่นิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ”
หนานกงฉีโม่หลุดขำ “ดื่มสุราหวานแค่นิดเดียวยังเป็นถึงเพียงนี้ ไม่ได้เรื่องเลย”
เสี่ยวเป่าที่กำลังมึน ๆ นิดหน่อยเริ่มพองแก้มอย่างไม่พอใจ พยายามทำตาโต ๆ จ้องเขากลับ
“เสี่ยวเป่า…เสี่ยวเป่าได้เรื่องนะ!”
คนตัวเล็กพยายามทำท่าดุดัน
หนานกงฉีโม่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
หลี่หนานจูที่ยังอยู่ตรงนั้นทั้งโกรธและอิจฉาจนตาแดงก่ำ
เป็นไปได้อย่างไร! ทั้ง ๆ ที่นางกับญาติผู้พี่รู้จักกันมานานกว่าด้วยซ้ำ แต่นังเด็กนี่เพิ่งมาได้ไม่นานก็ทำให้ญาติผู้พี่ลงมือกับนางแล้ว
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งแค้นมากขึ้นเท่านั้น หลี่หนานจูจ้องเสี่ยวเป่าตาเขม็ง
“ญาติผู้พี่ ข้าเจ็บใจแทนท่านจริง ๆ นางมีสิทธิ์อันใดมาขโมยความโปรดปรานไปจากท่าน? ท่านควรเป็นผู้ที่ฝ่าบาทโปรด…”
เพียะ!!!
ก่อนที่นางจะพูดจบก็ถูกตบอีกครั้ง
คราวนี้หนานกงฉีโม่บันดาลโทสะแล้ว แม้แต่หนานกงฉีเฉินและอีกสามคนยังลอบกลืนน้ำลาย
“เจ้าเป็นผู้ใดมิทราบ เรื่องในสกุลหนานกงของข้าจำเป็นต้องให้คนนอกอย่างเจ้ามาออกความคิดเห็นด้วยหรือ! องค์ชายอย่างข้าจำเป็นต้องให้เจ้าทวงความเป็นธรรมให้อย่างนั้นหรือ!?”
น่าขันยิ่งนัก
หลังจากถูกญาติผู้พี่ตบครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่หนานจูก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางร้องไห้และรีบวิ่งหนีออกไป
หนานกงฉีโม่ส่งยิ้มแสยะตามหลังนางไป จากนั้นก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกให้สองคนที่เหลือ ซึ่งนั่งกองอยู่บนพื้นด้วยหวาดกลัวจนตัวสั่น
“เอาตัวไป แล้วสั่งให้บิดาของพวกนางมาพาตัวออกไปจากที่นี่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่นางน้อยทั้งสองก็สะดุ้งโหยง พลันร้องไห้ขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่าว่าแต่หนานกงฉีโม่เลย แม้แต่พี่ชายผู้อายุน้อยที่สุดอย่างหนานกงฉีจวินยังไม่คิดจะปล่อยพวกนางไว้
กล้าดีอย่างไรมานินทาองค์หญิงถึงในวัง ไม่ได้ใช้สมองคิดก่อนทำหรือ?
บัดนี้เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่ากลัวรึ? หึ… สายไปเสียแล้ว!
“ไปเถอะ กลับไปในงานกัน”
หนานกงฉีโม่สวมชุดสีแดงดูหรูหราและร้อนแรง ใบหน้างามมักมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เสมอ ทว่าภายใต้หน้ากากที่สวยงามเหล่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าลึก ๆ ภายในใจเขาเปล่าเปลี่ยวเพียงใด
แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างจับแขนเสื้อไว้
พอก้มมองก็เห็นเจ้าก้อนแป้งสีขาวนมอมชมพูก้อนหนึ่งกำลังจับชายแขนเสื้อเขาด้วยสองนิ้วเล็ก ๆ ซ้ำยังส่งสายตาน่าสงสารมาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น
“ท่านพี่ไม่ต้องการเสี่ยวเป่าแล้ว”
หนานกงฉีโม่ถาม “…เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
เสี่ยวเป่าคร่ำครวญ “เสี่ยวเป่าไม่ดื้อกับท่านพี่แล้ว ท่านพี่อย่าทิ้งเสี่ยวเป่านะเพคะ”
เจ้าก้อนแป้งเสียงสั่นเครือเจือเสียงสะอื้นไห้ ฟังดูน่าสงสารเสียเต็มประดา
หนานกงฉีโม่ยืนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินกลับไปหานางที่อยู่ห่างเพียงสองก้าว ใบหน้างามหลุดออกมาจากห้วงแห่งความเปล่าเปลี่ยว ด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาดั่งต้องมนต์สะกด
ชายหนุ่มร่างผอมสูงใช้พัดในมือเคาะหัวคนตัวเล็กเบา ๆ
“ไม่ได้จะทิ้งเจ้า เดินตามมาเร็ว”
เสี่ยวเป่ายิ้มกว้างพลางคว้าแขนเสื้อเขาไว้แน่นพร้อมเดินตามทีละก้าว ๆ
พี่ชายอีกสามคน “…”
หนานกงฉีเฉินกัดฟัน “ข้าเจอเสี่ยวเป่าก่อนแท้ ๆ”
หนานกงฉีรุ่ยเดินตามไปเงียบ ๆ พอเดินมาถึงข้างกายอีกฝ่ายจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดอย่างกับว่าพวกข้าไม่ใช่พี่ชายนางเหมือนกัน”
หนานกงฉีจวิน “นั่นสิ!”
หนานกงฉีเฉิน “…”
ยิ่งมีพี่น้องมากก็ยิ่งมีคนมาแย่งน้องสาวมากขึ้น
เขาหวงนัก!
ภายในงานเลี้ยง หนานกงฉีโม่ที่มีหางเล็ก ๆ ตามหลังต้อย ๆ ก็ถูกหนานกงฉีซิวสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว
“ไยถึงหน้าแดงเช่นนั้น?”
รอให้เสี่ยวเป่าเดินทำหน้าอ๊องมานั่งลงข้าง ๆ และดึงชายเสื้อให้พี่รองนั่งลงตาม หนานกงฉีซิวถึงได้เอามือแตะหน้าผากของคนตัวเล็กดู
“เมาหรือ?”
เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะยามนี้ใบหน้าเจ้าเด็กขี้เมาดูน่ารักเหลือทน ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แสนอวบอิ่มขาวอมชมพูกำลังดีอย่างกับขนมนึ่งไส้ดอกท้อ
“พี่ใหญ่…”
เสี่ยวเป่าเกาะกุมฝ่ามือเย็น ๆ ของพี่ใหญ่ด้วยมือน้อยนุ่มนิ่มพลางใช้ใบหน้าเล็กโน้มเข้าไปถูไถแก้มนุ่มบนฝ่ามือราวกับแมวน้อยขี้อ้อน
หนานกงฉีโม่นั่งมองด้วยท่าทางสบาย ๆ ส่งยิ้มบางเบาให้กับเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งจะเกาะติดเขาราวกับหาง ทว่ายามนี้กลับไปออดอ้อนผู้อื่นเสียแล้ว
“เจ้าตัวเล็กนี่หลายใจเหมือนกันนะ… “
เสี่ยวเป่าพึมพำเบา ๆ ว่า
“ร้อน”