เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 481 ไยเจ้าจึงตะกละถึงเพียงนี้
บทที่ 481 ไยเจ้าจึงตะกละถึงเพียงนี้
เสี่ยวเป่านั่งแทะเนื้อวัวแห้งในมือจนหมด ก่อนจะหยิบนมอัดเม็ดกับลูกกวาดออกมากิน
ส่วนอานั่วซือก็กำลังย่างเนื้อชิ้นใหญ่อยู่หน้ากองไฟ
เขาสนใจสิ่งที่เสี่ยวเป่ากำลังกินจึงชี้เนื้อย่างบนกองไฟ
“แลกกัน”
ช่างหวงคำพูดประดุจทองคำเสียจริง
เสี่ยวเป่าอยากกินอาหารร้อน ๆ จึงยอมพยักหน้าตกลงแต่โดยดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยปากขอใช้กองไฟด้วย ก่อนจะควักหม้อใบเล็กในย่ามออกมาต้มน้ำ แน่นอนว่าน้ำที่นางกำลังต้มนั้นได้มาจากหิมะสะอาด
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางเลือกมีไม่มากนัก ใช้เพียงประทังชีวิตได้ก็พอแล้ว
พอน้ำเดือด นางก็แบ่งไว้ดื่มส่วนหนึ่ง อีกส่วนรอให้เย็นขึ้นหน่อยค่อยเติมนมผงลงไป เอาไว้จิบเพิ่มพลังและเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
ระหว่างรอให้เนื้อบนกองไฟสุก อานั่วซือเคี้ยวนมอัดเม็ดที่ได้มาจากเสี่ยวเป่าเสียงดังกรุบกรับ
เสี่ยวเป่าให้เขาไปประมาณกำเล็ก ๆ กำหนึ่ง ทว่าเขากลับกินทีเดียวหมด พลันรู้สึกว่ามันยังไม่หนำใจ จึงมองเสี่ยวเป่าไม่วางตา
ในมือเสี่ยวเป่ายังเหลือนมอัดเม็ดอยู่เล็กน้อย เพราะนางเพียงอมมันไว้ รอให้ละลายช้า ๆ นมอัดเม็ดส่วนของนางจึงหมดช้ากว่า
พอเห็นสายตาเว้าวอน นางจึงใจอ่อนยื่นให้อีกสองเม็ด
“ข้าให้อีกสองเม็ด แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะพาข้าไปด้วย ห้ามทิ้งข้าไว้คนเดียวอีกเด็ดขาด”
อานั่วซือยังเงียบ แต่ก็รับนมอัดเม็ดไปโยนเข้าปาก แล้วย้ายดวงตาสีม่วงคู่นั้นไปจับจ้องเนื้อย่าง
กลิ่นเนื้อย่างเริ่มส่งกลิ่นหอม แต่เสี่ยวเป่าจำได้ว่านอกจากเกลือแล้ว เขาไม่ได้ใส่เครื่องเทศอื่นใดอีก
เสี่ยวเป่ากอดย่ามขยับเข้าไปถามอีกคน “เจ้าไม่ใส่เครื่องเทศอื่นด้วยหรือ อย่างเช่นน้ำมัน ฮวาเจียวหรือยี่หร่า”
อานั่วซือทำหูทวนลม ตั้งใจย่างเนื้อต่อจนเห็นว่ามันได้ที่แล้วจึงนำมาหั่นด้วยมีดสั้นแล้วโยนส่วนหนึ่งให้นาง
“ของเจ้า”
เสี่ยวเป่าเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เนื้อที่โยนให้นางก็คือส่วนแบ่งที่แลกกับนมอัดเม็ดและลูกกวาดเมื่อครู่นี้
ชิ้นใหญ่พอตัว มากพอสำหรับท้องน้อย ๆ ของนาง
เนื้อที่ว่าข้างนอกดูเหมือนจะสุก แต่เนื้อข้างในยังเป็นสีแดงสด และยังมีเลือดซึมออกมา
เสี่ยวเป่ามองอีกฝ่ายที่กำลังตั้งใจกัดกินเนื้อย่างด้วยท่าทางมูมมาม ช่างดูขัดกับใบหน้าหล่อเหลานั่นเสียจริง
เสี่ยวเป่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ โชคดีที่เจ้าเกิดมาหน้าตาดี ไม่เช่นนั้นคงน่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้แล้วกระมัง
น่าแปลกที่ใบหน้าก็คล้ายกันราวกับแกะ แต่กลับให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เยว่หลีนั้นเป็นความหล่อเหลาราวกับเทพเซียน ยามที่อยู่นิ่ง ๆ ดูสง่างามจนเหมือนลอยได้
ส่วนอานั่วซือนั้นหล่อเข้มแปลกตา แม้ผิวดำ แต่ก็ยังดูดี รูปร่างดี แถมยังมีพละกำลังแข็งแกร่งประดุจสัตว์ร้าย
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเป่ารู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ‘เพียงผิวขาวก็บดบังความอัปลักษณ์ทั้งหมดได้’ เพราะคนที่นางเห็นอยู่ตรงหน้าก็ดูดีมากมิใช่หรือ
เสี่ยวเป่านำเนื้อส่วนของตนกลับไปย่างอีกครั้ง ก่อนจะควานหาเครื่องปรุงรสที่อยู่ในย่ามออกมา
หาอยู่พักหนึ่งก็พบของที่ต้องการ นางจัดการโรยมันลงไปบนเนื้อทันที กลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอพลันตลบอบอวลทั่วบริเวณ
อานั่วซือที่กำลังเคี้ยวเนื้อเต็มปากเหลือบมองเนื้อย่างของเสี่ยวเป่า แล้วหันกลับมาดูเนื้อย่างของตนเอง พลันรู้สึกว่าเนื้อที่ตนกินมันไม่อร่อยแล้ว
ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าหาเสี่ยวเป่าก่อน ปากเคี้ยวเนื้อไม่หยุด แต่สายตากลับจ้องเนื้อที่เสี่ยวเป่ากำลังย่างตาไม่กะพริบ
เสี่ยวเป่ารู้สึกว่าตอนนี้เขาเหมือนสุนัขตัวใหญ่มาก
นางเชิดหน้าใส่อย่างภาคภูมิ ก็บอกไปแล้วว่าทำอย่างนี้ถึงจะอร่อย
เสียดายที่ไม่มีน้ำมัน ไม่อย่างนั้นเนื้อย่างจะอร่อยยิ่งกว่านี้
พอเนื้อย่างสุกพอประมาณ เสี่ยวเป่าก็แบ่งส่วนหนึ่งให้เขา
“ส่วนที่เหลือของข้า ท้องข้ายังเหลือที่ว่างอีกมาก เดี๋ยวไม่อิ่ม”
หลังจากอานั่วซือกินเนื้อย่างที่นางแบ่งให้จนหมด เขาก็มองนางเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้เขามองว่าเสี่ยวเป่าเป็นภาระไร้ประโยชน์ที่ชอบทำตัวประหลาด แค่มีความสามารถทำให้สัตว์เชื่องได้ก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาเห็นว่าเสี่ยวเป่ามีอาหารอร่อยมากมาย ทั้งยังรู้วิธีทำให้อาหารอร่อยขึ้น
จึงเกิดความคิดว่าจะพานางกลับไปด้วยเพื่อทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากิน!
โชคดีที่เสี่ยวเป่าต้องการติดตามเขาอยู่พอดี
คราแรกเสี่ยวเป่าเห็นว่าเขาคือมนุษย์เพียงคนเดียวที่นางเห็น จึงคิดติดตามไปเรื่อย ๆ ต่อมาถึงพบว่าเขากับเยว่หลีอาจเป็นพี่น้องกัน!
ตอนนี้นางอุ่นใจขึ้นเปลาะหนึ่ง จึงหวนนึกคำกล่าวของชาวเทียนกู่น่าที่บอกว่า ชาวเผ่าฉางเซิงเทียนที่หลงเหลืออยู่มีความสามารถทำให้สัตว์ร้ายยักษ์เชื่องได้
เมื่อคืนนางเห็นกับตาตัวเองว่าอานั่วซือฝึกสัตว์ร้ายยักษ์ได้ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเกี่ยวข้องกับฉางเซิงเทียน!
เมื่อจัดการเนื้อย่างจนหมด เสี่ยวเป่าก็ชงนมผงในกระบอกน้ำ ก่อนจะวิ่งตามหลังอานั่วซือไป
คราวนี้เขาไม่ปฏิเสธนาง ยอมให้นางขึ้นหลังสัตว์ร้ายยักษ์ไปด้วยกัน!
เจ้าได้รับเกียรติที่ไม่มีผู้ใดในเผ่าได้รับ ฉะนั้นจงเอาอาหารอร่อย ๆ หรืออะไรก็ได้ที่เจ้ามีออกมาแบ่งข้าซะ
อานั่วซือจ้องนางอยู่นาน ไม่รู้ว่ามองนางหรือมองย่ามที่นางถืออยู่กันแน่
ความเป็นจริงในหัวเขาอาจกำลังครุ่นคิดว่าจะแย่งย่ามสะพายหลังจากนางดีหรือไม่
แต่เอาเถอะ เขายังต้องการตัวคนแปลกหน้าผู้นี้กลับไปทำอาหารอันโอชะให้กิน หากแย่งอาหารในย่ามมา พอกินหมดก็ไม่เหลือสิ่งใด
อานั่วซือเองก็มีสมองอยู่ไม่น้อย
เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนหลังของสัตว์ร้ายยักษ์ มีเพียงหัวเล็ก ๆ เท่านั้นที่โผล่ออกมารับลม
อากาศค่อนข้างหนาว นางจึงพยายามหลบอยู่ข้างหลังอานั่วซือเพื่อบังลม จากนั้นนางก็หยิบนมผงที่ชงไว้ออกมาจิบ
กระบอกน้ำของนางเก็บความร้อน แต่ก็เก็บได้ไม่นานนัก
จิบแล้วรู้สึกอุ่นท้องขึ้นมาทันที
ในขณะที่กำลังจะปิดฝา ก็มีมือหนึ่งยื่นมาข้างหลัง แล้วหยิบกระบอกน้ำจากมือนางไป
ชายหนุ่มก้มมองเสี่ยวเป่า “ข้าดื่มด้วย”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางเหมือนเพียงแจ้งให้ทราบ ไม่ได้ดูเหมือนขออนุญาตแต่อย่างใด
เสี่ยวเป่า : …
อยากดื่มก็ดื่มไปเถอะ นางก็ยังมีนมผงเหลืออีกเยอะ
แต่นางไม่คิดว่าคนผู้นี้จะกระดกนมในกระบอกน้ำของนางจนหมดรวดเดียว!
เสี่ยวเป่าน้ำตาตกใน ก้มมองกระบอกน้ำว่างเปล่าที่อีกฝ่ายส่งคืนมา
“ไยเจ้าจึงตะกละถึงเพียงนี้”
นางพึ่งดื่มไปอึกเดียวเอง คนบ้าอะไรกินเยอะอย่างกับผีหิวโหย!
ชายหนุ่มไม่มีท่าจะสำนึกผิด เอาแต่เฝ้าฝันถึงรสชาติอันหอมหวนที่ติดอยู่ปลายลิ้น ทั้งยังเสียดายที่มันมีน้อยไป