เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 485 พานพบกัน
บทที่ 485 พานพบกัน
คู่ต๋าจ้องมองอานั่วซือด้วยแววตาลุ่มลึก จากนั้นก็เห็นเจ้าก้อนขนที่อยู่ตรงหน้า
เพราะว่าอากาศหนาว ร่างกายของเสี่ยวเป่าจึงหดอยู่ภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์
“นั่นคือสิ่งใด”
เขาชี้ไปที่เสี่ยวเป่า ก่อนที่หอกในมือจะพุ่งออกไปอย่างแรง
เสี่ยวเป่าหันหัวในชั่วพริบตา ภาพที่เห็นตรงหน้าคือหอกที่พุ่งมาทางตนเองด้วยความเร็วสูง
นางตกใจเสียจนตัวเอนไปด้านหลังจนเกือบตกจากหลังสัตว์ร้ายยักษ์ อานั่วซือคว้าร่างนางเอาไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว
เมื่อปลายหอกอยู่ห่างจากตนไม่ถึงหนึ่งกำปั้น อานั่วซือก็คว้าไว้ได้ทันและหันปลายหอกโยนกลับไปยังทิศทางเดิม
สหายที่อยู่ข้างกายดึงตัวคู่ต๋าหลบ ทำให้ปลายหอกพุ่งเฉียดหูของเขาไป
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นตำแหน่งที่หอกปักอยู่
“เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ!”
คู่ต๋าคำรามลั่นด้วยความโกรธ
หมาป่ายักษ์ทั้งหมดอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจม
แต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้เคลื่อนไหว เสือขาวตัวหนึ่งก็กระโดดลงมาจากเนินเขาด้านหลัง และกดคู่ต๋าลงกับพื้นพร้อมกับส่งเสียงคำราม
กลุ่มของคู่ต๋าถูกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไป๋อู๋ฉาง!”
เสี่ยวเป่าเรียกชื่อของเจ้าเสือขาวด้วยความตกใจ
“อย่าเพิ่งฆ่าพวกเขา!”
แม้น้ำเสียงของนางจะฟังดูหวานใส แต่กลับชัดถ้อยชัดคำ
เสี่ยวเป่าโผล่ศรีษะออกมาจากหมวก ใบหน้าประณีตขาวดุจหิมะ เส้นผมสีดำยาวสลวยถูกมัดไว้ด้วยเชือกแดงเพียงเส้นเดียว
พวกคู่ต๋าหันไปตามเสียงเรียกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตะลึงไปชั่วขณะ
พวกเขาโตจนป่านนี้ยังไม่เคยพบเจอใครที่ขาวราวกับหิมะเช่นนี้มาก่อน
แม้พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาหิมะ ทว่ารังสีเหนือม่วง*[1] ของที่นี่ก็รุนแรงมาก ทุกคนในเผ่า ไม่เว้นแม้แต่เด็กกับผู้หญิงล้วนไม่มีใครผิวขาวเลยสักคนเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีอย่างเสี่ยวเป่า ต่อให้เป็นในเมืองหลวง รูปลักษณ์ของนางก็ยังคงโดดเด่นยิ่งกว่าใคร
เมื่อไป๋อู๋ฉางได้ยินเสียงเรียกของเสี่ยวเป่า มันก็หุบเขี้ยวลงทันที
จากนั้นก็เดินลงจากร่างของคู่ต๋า และวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเป่าพลางส่ายหางไปมา
แต่ขณะที่อยู่ห่างไปไม่กี่จั้ง สายตาก็จับจ้องไปที่สัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์อย่างระแวดระวัง
เสี่ยวเป่าลงจากหลังเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ และวิ่งเข้าไปกอดจูบเจ้าเสือยักษ์ด้วยความรักใคร่
“ไป๋อู๋ฉาง ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย แล้วพี่ชายของเจ้าเล่า เผ่าเทียนกู่น่าด้วย พวกเขาหายไปไหนกันหมด”
แน่นอนว่าเจ้าเสือขาวมิอาจตอบคำถามของนางได้ ทว่ามันดึงเสื้อคลุมขนสัตว์ของเสี่ยวเป่าคล้ายกับจะพานางไปที่ไหนสักแห่ง
“เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปกับเจ้า”
จากนั้นก็ปีนขึ้นหลังไป๋อู๋ฉาง และหันกลับมาพูดกับอานั่วซือด้วยภาษาของชาวทุ่งหญ้า
“อานั่วซือ ข้าต้องไปหาพวกพ้องของข้า เจ้าจะไปด้วยกันหรือว่าจะรออยู่ที่นี่”
มิทันได้พูดจบ ไป๋อู๋ฉางก็พานางจากไป
อานั่วซือทำหน้าบูดบึ้ง เจ้าทาสตัวน้อยของเขากล้าหนีอย่างนั้นหรือ!
จากนั้นเขาก็พาเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์วิ่งผ่านพวกคู่ต๋าหวังจะไล่ตามไป
คู่ต๋ามีสีหน้าเคร่งขรึมขณะถูกประคองให้ลุกขึ้น
“คนที่มากับอานั่วซือนั่น เป็นคนนอกใช่หรือไม่ ข้าเพิ่งเคยเห็นคนมีผิวขาวดุจหิมะแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย”
“นางงดงามเสียยิ่งกว่าสาวงามอันดับหนึ่งของเผ่าอีกนะ”
“อานั่วซือช่างโชคดียิ่งนัก”
สีหน้าของคู่ต๋าดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินที่พวกเขาพูดคุยกัน
“หุบปาก นางเป็นคนนอก! อานั่วซือกล้าพาคนนอกมาที่นี่ กลับไปข้าจะรายงานท่านพ่อ!”
ชนเผ่าของพวกเขาไม่รับคนต่างเผ่าเข้าพวก ผู้เฒ่าของเผ่าเคยบอกไว้ว่าคนนอกนั้นมีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย
เสี่ยวเป่ามิรู้เลยว่าตนเองถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์ไปเสียแล้ว ไป๋อู๋ฉางพานางสำรวจเนินเขา จากนั้นก็วิ่งไปได้สักระยะก่อนจะหยุดลงที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง
เสี่ยวเป่าได้กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาก่อนที่จะเข้าไปเสียอีก
นางรู้สึกร้อนใจในทันที มีคนบาดเจ็บหรือ หรือว่าจะเป็นเฮยอู๋ฉาง
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เฮยอู๋ฉางก็เดินออกมาจากในถ้ำ
เจ้าเสือยักษ์สีดำวนรอบตัวเสี่ยวเป่าด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“เฮยอู๋ฉาง คิดถึงเจ้าจังเลย”
เสี่ยวเป่ากระโดดลงจากหลังไป๋อู๋ฉางและวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับจูบลงไปที่หัวของมัน
ไป๋อู๋ฉางดันหัวเข้ามาด้วยความไม่พอใจ นางไม่เห็นจะจูบมันบ้างเลย!
ก็ได้ ๆ เสี่ยวเป่าจูบที่หัวของมันเช่นเดียวกัน
มีเสียงดังออกมาจากในถ้ำ เสี่ยวเป่ารีบถามขึ้น “มีใครบาดเจ็บหรือ”
“แค่ก ๆ…”
เมื่อเดินตามหลังเสือทั้งสองเข้าไปข้างในก็พบว่าเป็นผู้สืบทอดหมอผีหนุ่ม
“กู่จี๋”
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นดีใจที่ได้เจอนาง ปากร้องเรียกเทพธิดา
“ดีจริง ๆ ที่ท่านเทพธิดาปลอดภัย!”
ในฐานะหมอผีคนต่อไป กู่จี๋ก็รู้ภาษาของชาวทุ่งหญ้าเช่นกัน แต่ก็มีภาษาของเผ่าพวกเขาปะปนอยู่บ้าง
ทว่าเสี่ยวเป่าก็ฟังเข้าใจ
กู่จี๋ได้รับบาดเจ็บที่ขา เขามีบาดแผลขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นไข้
เขาเป็นไข้เพราะว่าลมหนาว
“เจ้าอยู่นิ่ง ๆ นะ ข้าจะดูอาการให้”
นางใช้ย่ามสะพายหลังเป็นที่กำบังอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็หยิบเหล้าขาวขวดเล็กและยาทาแผลจำนวนหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า
“เจ้าอดทนหน่อยนะ มันจะเจ็บนิดหน่อย”
ครู่ต่อมา…
“อ๊ากกกก!!!”
แม้แต่อานั่วซือที่ไล่ตามมาจนถึงปากถ้ำก็ยังต้องตัวสั่นระริก
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเจ็บนิดหน่อยนั้นไม่จริงเลยสักนิด
อานั่วซือเดินเข้าไป แต่ก็ถูกเสือสองตัวขวางเอาไว้
ดวงตาสามคู่เผชิญเข้าหากัน ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้เลยสักคน
เจ้าเสือทั้งสองมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ทว่าพวกมันไม่คุ้นกับกลิ่นของคนผู้นี้
“เฮยไป๋อู๋ฉาง มานี่ ไม่ต้องขวางเขา”
กู่จี๋ใบหน้าบิดเบี้ยวพลางส่งเสียงร้องโหยหวน
อานั่วซือเดินเข้าไปใกล้และมองดูอย่างสนอกสนใจ จากนั้นก็หยิบเหล้าขาวที่เสี่ยวเป่าวางไว้ข้างตัวขึ้นมาดมพร้อมกับเลียไปหนึ่งที
รสชาติประหลาดนัก ขอดื่มอีกหน่อยก็แล้วกัน
[1] รังสีเหนือม่วง คือ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV)