เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 486 วางแผน
บทที่ 486 วางแผน
ของเหลวในขวดเหลืออยู่ไม่มากนัก อานั่วซือจึงดื่มหมดภายในสองอึก
หลังจากนั้นเขาก็นั่งยองลงข้างเสี่ยวเป่าพลางดูนางทำแผลให้คนผู้นั้น กู่จี๋ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด เขาจึงช่วยจับกู่จี๋เอาไว้เพื่อที่ว่าเสี่ยวเป่าจะได้ทำแผลได้สะดวก
แม้ว่าอานั่วซือจะไม่ได้ตัวใหญ่ ทว่าพละกำลังเยอะทีเดียว ในสถานการณ์ที่คนดิ้นพล่านเพราะความเจ็บปวด ต่อให้เป็นชายแข็งแกร่งสองคนก็ยังเอาไม่อยู่ แต่อานั่วซือใช้เพียงแค่สองมือกับขาอีกหนึ่งข้างก็สามารถกดร่างกู่จี๋เอาไว้ได้
“เสร็จแล้ว”
โชคดีที่นางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งยังแอบหยิบยาของอาจารย์มาไม่น้อย
เสี่ยวเป่าพันแผลให้กู่จี๋ ทว่าตอนนี้กู่จี๋อยู่ในสภาพเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลมแต่ก็ทำไม่ได้
“แผลของเจ้าต้องใช้เหล้าขาวฆ่าเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นหากติดเชื้อขึ้นมาจะเป็นไข้เอาได้ อยู่ที่นี่ทนไม่ไหวหรอกนะ”
ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ประกอบกับแผลติดเชื้อและเป็นไข้ หากไม่ได้รับการรักษา ต่อให้เผ่าเทียนกู่น่าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังตายได้อยู่ดี
“ขอบคุณเจ้ามาก”
แม้กู่จี๋จะเจ็บมาก แต่เขาก็ไม่ใช่คนเนรคุณ หลังจากที่กล่าวขอบคุณเสี่ยวเป่าแล้วก็หมดแรงจะพูดอะไรอีก
เสี่ยวเป่าและอานั่วซือนั่งพักผ่อนอยู่ภายในถ้ำ พลางป้อนนมผงที่ต้มแล้วให้กู่จี๋เป็นครั้งคราว
นางยื่นลูกอม นมอัดเม็ด และเนื้อตากแห้งให้อานั่วซือ
จากนั้นชายหนุ่มก็นั่งลงข้าง ๆ และเริ่มเคี้ยวเสียงดัง
อานั่วซือชื่นชอบรสหวานของลูกกวาดกับนมอัดเม็ดเป็นอย่างมาก
เขาขอเพิ่มหลังจากที่กินหมดแล้ว แต่ถ้าหากเสี่ยวเป่าไม่ให้เขาก็ไม่คิดใช้กำลังแย่งมา ได้แต่นั่งดูนางกินเท่านั้น
นับว่ายังมีมารยาท ทว่าไม่มากนัก
เสี่ยวเป่า :…
อย่างไรเสียก็เติบโตมาในชนเผ่าบนภูเขาหิมะ สัญชาตญาณที่ป่าเถื่อนทั้งยังมิได้อบรมสั่งสอนมารยาท สิ่งเหล่านั้นมีไว้สำหรับพวกที่ใช้ชีวิตโดยไร้ความกังวลเพียงเท่านั้น กฎการเอาชีวิตรอดของพวกเขาท่ามกลางสถานที่อันโหดร้ายเช่นนี้ก็คือผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ
ที่จริงแล้วพฤติกรรมของอานั่วซือนับว่าดีทีเดียว เขาไม่แย่งข้าวของของเสี่ยวเป่า หากว่าคนอื่นพบตัวเสี่ยวเป่าก่อน นางคงโดนแย่งเสื้อคลุมขนสัตว์ที่สวมอยู่ไปแล้ว
เสี่ยวเป่ายื่นนมอัดเม็ดให้เขาอีกหลายเม็ด พออานั่วซือกินหมดก็นั่งยอง ๆ ลงข้างนาง
ในชนเผ่าของพวกเขา คนนอกเผ่าที่เก็บหรือว่าชิงมาได้ล้วนแต่ต้องตกเป็นทาสของคนในเผ่า และย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี
อานั่วซือซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเผ่าของตนก็เห็นเสี่ยวเป่าเป็นทาสของตนเองไปโดยปริยาย
ทว่าแม้ในใจจะเห็นเป็นทาสรับใช้ แต่อานั่วซือกลับให้เสี่ยวเป่านั่งบนหลังสัตว์ร้ายยักษ์ของตัวเอง ในความคิดของเขาคงหาเจ้านายที่ดีเหมือนตนไม่ได้อีกแล้ว กินของของนางนิดหน่อยก็นับว่าสมเหตุสมผล
ทั้งสองนั่งยองข้างกัน อานั่วซือพูดกับเสี่ยวเป่าอย่างช้า ๆ ทว่าสีหน้าจริงจัง
“ห้ามหนีไปไหนอีก”
เสี่ยวเป่าอึ้งจนพูดไม่ออก เจ้าหมอนี่ข้าอุตส่าห์เห็นเจ้าเป็นพี่น้อง แต่เจ้ากลับเห็นข้าเป็นทาสเนี่ยนะ!
นางคว้ามือของอานั่วซือมากัดด้วยความโกรธ
อานั่วซือ :…
“ข้าไม่ใช่ทาสของเจ้าเสียหน่อย!”
อานั่วซือ “เจ้า ข้าเก็บเจ้ามา”
“เหลวไหล ข้าอยู่กับเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ของข้าอยู่ดี ๆ ดูอย่างไรเจ้าก็ขโมยของของข้าชัด ๆ!”
อานั่วซือขมวดคิ้ว “สัตว์ร้ายยักษ์เป็นของข้า ข้าเป็นคนปราบมันได้”
“ข้าขี่มันได้โดยไม่ต้องปราบด้วยซ้ำ อีกอย่างหมาป่ายักษ์ของเจ้าก็ชอบข้าด้วย เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะแอบหนีไปกับพวกมันเข้าสักวัน”
“ไม่ให้”
อานั่วซือจ้องหน้านาง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์ของเขาเชื่องกับนางผู้นี้จริง ๆ
ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมาก
เสี่ยวเป่าเชิดคางขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็ห้ามทำกับข้าเหมือนเป็นทาสเหมือนกัน”
นางพูดต่อ “ดูสิ ข้าให้ของกินเจ้าตั้งหลายอย่าง หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นทาสอีก ต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้ากินอีกเลย อีกอย่างข้าทำของพวกนี้ได้ด้วยนะ”
อานั่วซือเหลือบมองนางอยู่หลายที ในที่สุดก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร”
“ข้าก็เป็นเพื่อนเจ้าไง”
“เพื่อน?”
เขาพูด “ข้าไม่มีเพื่อน”
เสี่ยวเป่าที่มีเพื่อนเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งยังทักทายแทบจะทุกคนในเมืองหน้าด่านมองอานั่วซือด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ
นี่มันน่าเศร้าเกินไปแล้ว
ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยจึงตบบ่าเขา “ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ข้าคือน้องสาวต่างพ่อต่างแม่ของเจ้า ในเมื่อข้าเป็นน้องสาวเจ้า เจ้าก็ต้องทำตัวดี ๆ กับข้าล่ะ พวกพี่ชายของข้าน่ะเอาใจข้าสุด ๆ ไปเลย”
อานั่วซือเหล่ตามอง ข้ายังดีกับเจ้าไม่พออีกหรือ ข้าไม่เอาใจเจ้าตรงไหน ข้าแบ่งให้เจ้าแม้กระทั่งเนื้อย่าง หากว่าเป็นคนอื่นอย่าว่าแต่อาหารเลย พวกเขาคงไม่แม้แต่จะชายตามองเจ้าด้วยซ้ำ
ไม่ว่าอย่างไรพี่ชายป่าเถื่อนผู้นี้ก็มีความสามารถไม่น้อย ในสถานที่อันตรายเช่นนี้รักษาชีวิตไว้ก่อนเป็นสำคัญ
จากที่เขาเล่าเรื่องชนเผ่าให้ฟัง ผู้คนที่นั่นมิใช่พวกที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ การพึ่งพาอานั่วซือซึ่งเป็นชนพื้นเมืองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แม้ว่าตอนนี้หัวหน้าเผ่าผู้นั้นจะไม่ชอบใจเขา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะขับไล่ให้ออกจากเผ่า
ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงปรึกษากับอานั่วซือ การชิงบัลลังก์นั้นต้องเตรียมการอย่างรอบคอบ และพวกเขาก็ต้องมีผู้สนับสนุนเป็นของตัวเองเสียก่อน
“เจ้าบอกว่าเผ่าของเจ้าเชิดชูบูชาผู้แข็งแกร่งใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ง่ายเลย เจ้านับเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าหรือไม่”
อานั่วซือเชิดหน้าขึ้น “แน่นอน นอกจากข้าจะแข็งแกร่งแล้ว ยังสั่งสัตว์ร้ายยักษ์ได้ด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราจะทำแบบนี้…”
แผนของเสี่ยวเป่าก็คือต้องทำให้คนในเผ่ายอมจำนนและสร้างบารมีเสียก่อน แต่การจะพิชิตนักรบประจำเผ่าภายใต้จมูกของหัวหน้าเผ่านั้นจะต้องทำอย่างเงียบ ๆ และไม่โจ่งแจ้งจนเกินไป มิเช่นนั้นจะเป็นการท้าทายอำนาจของหัวหน้าเผ่า
ในฐานะเชื้อพระวงศ์ แม้คนในครอบครัวจะประคบประหงมเสี่ยวเป่ามาโดยตลอด ทว่านางก็มิได้ไร้เดียงสา
อีกทั้งนางก็มีประสบการณ์หากเทียบกับบรรดาพี่ชายที่อายุยังน้อย อย่างไรเสียก็เคยออกเดินทางไปกับท่านพ่อถึงสองครั้ง
เมื่ออานั่วซือได้ฟังแผนของเสี่ยวเป่า แผนการที่เขาคิดจะใช้สัตว์ร้ายยักษ์บุกไปก่อกบฏในทีแรกก็ถูกระงับไว้เป็นการชั่วคราว
เพราะว่าเสี่ยวเป่าไม่เห็นด้วยกับแผนของเขาอย่างยิ่ง
“ต่อให้เจ้าเอาชนะหัวหน้าเผ่าด้วยสัตว์ร้ายยักษ์ได้ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันมากเกินไป นอกจากครอบครัวของคนที่ตายไปจะไม่ก้มหัวให้เจ้าแล้ว ยังจะโกรธเกลียดเจ้าด้วย ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าของเจ้าก็จะไม่มั่นคง”
อานั่วซือมิได้สนใจเรื่องพวกนั้น
เสี่ยวเป่ารู้สึกว่าสมองของคนผู้นี้ตรงไปตรงมาเสียจนดูโง่เขลาจริง ๆ
หลังจากที่วิเคราะห์ผลดีผลเสียอย่างรอบคอบ ในที่สุดอานั่วซือก็ตกลงที่จะใช้แผนการของนางก่อน หากไม่สำเร็จก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น
เสี่ยวเป่าถามอย่างสงสัย “นอกจากเจ้าแล้ว ในเผ่าของเจ้ายังมีคนที่อยากเป็นหัวหน้าเผ่าอีกหรือไม่”
อานั่วซือ “ไม่มี”
เยี่ยมไปเลย มีเจ้าคนเดียวที่คิดกบฏสินะ
“เพราะว่าหัวหน้าเผ่าไม่ชอบเจ้า เจ้าก็เลยอยากเป็นหัวหน้าเผ่าหรือ”
“ไม่ใช่ คู่ต๋าต้องการสังหารข้า เขาคือหัวหน้าเผ่าคนต่อไป”
ด้วยเหตุนี้เพื่อรักษาชีวิตของตนเองให้อยู่รอดปลอดภัย อานั่วซือจึงตัดสินใจไม่ให้คู่ต๋าได้มีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำเผ่า!