เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 487 พิสูจน์ความแข็งแกร่ง
บทที่ 487 พิสูจน์ความแข็งแกร่ง
เสี่ยวเป่าอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเขามีความแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ถึงขึ้นต้องฆ่าฟันกันเชียวหรือ
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกถ้ำ
เมื่อนางและอานั่วซือเดินออกไปก็พบชาวเผ่าเทียนกู่น่ากำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น พลางจับจ้องไปที่เจ้าสัตว์ร้ายยักษ์และหมาป่ายักษ์ด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง
“สัตว์เทพ สัตว์เทพ!”
ปากพวกเขาพึมพำว่าสัตว์เทพ ห่างออกไปไม่ไกลนักมีเหยื่อของพวกเขาวางอยู่พร้อมกับเลือดที่ไหลนอง
ดูคล้ายกับพิธีบูชายัญขนาดใหญ่ของลัทธิอะไรสักอย่าง
เจ้าสัตว์ร้ายและหมาป่ายักษ์ที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ก็มองพวกเขาด้วยความงุนงงเช่นเดียวกัน
เสี่ยวเป่า “ท่านลุงกู๋เหมิง พวกท่านทำอะไรเนี่ย นี่ไม่ใช่สัตว์เทพหรอกนะ”
หากว่าเจ้าพวกนี้เป็นสัตว์เทพ เช่นนั้นอานั่วซือที่คุมพวกมันได้เล่าจะนับเป็นอะไร
กู๋เหมิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ดีใจเมื่อได้เห็นเสี่ยวเป่าที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าถ้ำ
“เทพธิดาปลอดภัยดี”
“เทพฉางเซิงเทียนคุ้มครอง ในที่สุดเทพธิดาก็พบพวกเราแล้ว!”
บอกกี่ครั้งแล้วว่าข้าไม่ใช่เทพธิดา
แต่ทว่าคนเหล่านี้ล้วนมีนิสัยดื้อรั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนในสิ่งที่พวกเขาเชื่อได้
“พวกเขาคือสัตว์เทพ ท่านหมอผีกล่าวไว้ว่าหมาป่ายักษ์ที่เติบโตในฉางเซิงเทียนคือสัตว์เทพ และเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าของเรา”
เสี่ยวเป่า “เอาเถอะ ๆ เข้ามาคุยกันข้างใน พวกมันอยู่นั่นแล้วไม่หนีหายไปไหนหรอก”
กู๋เหมิงกับคนอื่น ๆ มิได้กลับเข้าไปในถ้ำ ทว่าพวกเขามีใจศรัทธาอยากมอบเหยื่อที่ล่ามาได้ให้กับหมาป่ายักษ์
ในที่สุดนางจึงได้แต่เกลี้ยกล่อม บอกว่าหมาป่ายักษ์พวกนี้กินอิ่มแล้วและยังไม่ต้องการอาหารของพวกเขาในตอนนี้ เหล่านักรบชาวเทียนกู่น่าจึงยอมหิ้วเหยื่อเข้าข้างในถ้ำอย่างไม่เต็มใจนัก
พวกเขายังไม่ได้กินอะไร งานเลี้ยงเนื้อย่างจึงเริ่มขึ้น
พวกเขาเห็นอานั่วซืออยู่กับเสี่ยวเป่าจึงสงสัยในฐานะของคนผู้นี้
อานั่วซือไม่ใคร่อยากพูดคุยกับพวกเขานัก สุดท้ายจึงไม่พ้นเสี่ยวเป่าแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน
“เขาเป็นนักรบชนเผ่าหนึ่งในฉางเซิงเทียน และก็เป็นเจ้าของสัตว์ร้ายยักษ์กับหมาป่ายักษ์ที่อยู่ข้างนอก ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอย่างไรว่าพวกสัตว์ที่อยู่ข้างนอกนั่นไม่ใช่สัตว์เทพ”
ใครจะรู้เล่าว่าหลังจากที่นางพูดจบ กู๋เหมิงก็คุกเข่าให้อานั่วซือทันที
เสี่ยวเป่า “…”
กู๋เหมิงพูดกับอานั่วซือด้วยภาษาชนเผ่าของตน
อานั่วซือขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดตอบบางอย่างด้วยภาษาเดียวกัน
ทั้งสองภาษามีความคล้ายคลึงกันมาก ทว่าสำเนียงและน้ำเสียงของอานั่วซือนั้นฟังดูไพเราะกว่า
บางทีอาจเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างภาษาราชการกับภาษาถิ่นกระมัง
จากนั้นนางก็พบว่าชาวเผ่าเทียนกู่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวเป่า “???”
“พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ”
อานั่วซือ “เขาถามฐานะของข้า แล้วก็บอกว่าข้าเป็นลูกหลานสัตว์เทพอะไรนี่แหละ”
เสี่ยวเป่าถามอย่างสงสัย “แล้วเจ้าตอบไปว่าอะไรหรือ”
ดูสายตาอันร้อนแรงของพวกนักรบเทียนกู่น่าสิ
“ข้าบอกไปว่าใช่”
ตอบด้วยความภาคภูมิเชียวนะ
เสี่ยวเป่า : …ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยจริง ๆ
เมื่อเนื้อย่างได้ที่ พวกเขาก็ลงมือกินคำโต ทั้งยังแบ่งบางส่วนไปให้กู่จี๋ด้วย
ตามหลักแล้ว คนที่ได้รับบาดเจ็บเช่นเขาควรกินอาหารเหลวจะเป็นการดีที่สุด ทว่าชนเผ่าเทียนกู่น่านั้นร่างกายแข็งแรง เมื่อได้รับบาดเจ็บก็ยิ่งต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อฟื้นฟูกำลังวังชา
เสี่ยวเป่าจึงทำเป็นมองไม่เห็น และชงนมผงให้เขาดื่มมากขึ้นอีกหน่อย
จากนั้นอานั่วซือก็รบเร้าให้เสี่ยวเป่าชงนมให้เขาเช่นกัน หลังจากดื่มจนหนำใจแล้วก็เติมใส่กาแล้วห้อยไว้ข้างเอว สีหน้าดูพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกินเสร็จแล้ว อานั่วซือกับชาวเผ่าเทียนกู่น่าทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืน
เสี่ยวเป่า “???”
“พวกเจ้าจะไปไหนหรือ”
อานั่วซือกำหมัด “ต่อสู้ พิสูจน์ความแข็งแกร่งของข้า”
เสี่ยวเป่า : …นี่ข้าพลาดข้อมูลสำคัญอะไรไปหรือ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกข้าว่าจะไปสู้กันนี่
ที่จริงแล้วนี่เป็นวิธีของพวกเขาในการยอมรับอีกฝ่าย เดิมทีเผ่าเทียนกู่น่าเป็นชนเผ่าที่ย้ายไปจากฉางเซิงเทียนเมื่อนานมาแล้ว ทว่าพวกเขายังคงยึดมั่นว่าผู้แข็งแกร่งควรได้รับการเคารพ
วันนี้ได้พบกับชนเผ่าที่คล้ายกัน พวกเขาจึงกระตือรือร้นที่จะแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
ไม่มีสิ่งใดที่แก้ไขด้วยกำปั้นมิได้ ช่างเป็นมุมมองที่เรียบง่ายและหยาบกระด้างยิ่งนัก
จากนั้นทุกคนก็พากันออกไปด้านนอกถ้ำ
เสี่ยวเป่ารีบคว้าเมล็ดแตงโมและตามออกไปอย่างว่องไว
กังวลไหมน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก
แทนที่จะเป็นห่วงพวกเขาสู้ห่วงตัวเองยังดีเสียกว่า ที่นี่มีแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่อ่อนแอไร้ทางสู้
เมื่อเดินมาถึงปากถ้ำก็พบว่าพวกเขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้ว
เสี่ยวเป่านั่งบนโขดหินโดยมีเสือตัวโตขนปุยสองตัวนั่งอยู่ข้างหลัง นางเอนหลังพิงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายพร้อมกับวางจานเมล็ดแตงโมไว้บนหัวเข่าและเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
ดวงตาของสาวน้อยเป็นประกาย ท่าทางขณะชมการแสดงพึงพอใจไม่น้อย
เผ่าเทียนกู่น่าคนหนึ่งประจันหน้ากับอานั่วซือ
สายตาของทั้งคู่จ้องมองกัน จากนั้นการต่อสู้ท่ามกลางผืนหิมะก็เริ่มต้นขึ้น
มันเป็นการปะทะทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงดังกร๊อบขณะที่กำปั้นของทั้งสองพุ่งชนกัน นั่นต้องเป็นเสียงของกระดูกเป็นแน่
ทว่าทั้งคู่ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาเพียงแยกจากกันชั่วครู่ จากนั้นก็เข้าประชิดตัวของอีกฝ่ายอีกครั้ง
ทั้งสองไม่เคยผ่านการฝึกฝนอย่างจริงจัง อีกทั้งรูปแบบการต่อสู้ก็ดุร้ายและป่าเถื่อน ล้วนแต่อาศัยประสบการณ์ตลอดหลายปีในการล่าสัตว์และเอาตัวรอดทั้งสิ้น
แต่ต้องขอบอกเลยว่าการต่อสู้ด้วยพละกำลังที่เท่าเทียมกันเช่นนี้มันช่างน่าตื่นเต้นจริง ๆ
เสี่ยวเป่ากินเมล็ดแตงโมด้วยท่าทางตื่นเต้นคึกคัก ถึงขั้นลุกขึ้นปรบมือให้กับการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
อานั่วซือเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มวัย รูปร่างหน้าตาก็เรียกได้ว่ารูปงาม ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนกล้ามเนื้อสวยงามเป็นมัดของเขาแม้แต่คนเดียว
ลำพังแค่การปะทะเพียงอย่างเดียว เผ่าเทียนกู่น่าก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิด้อยไปกว่าผู้ใด
ด้วยเหตุนี้สายตาที่พวกเขามองอานั่วซือจึงเต็มไปด้วยความเทิดทูนบูชายิ่งกว่าเดิม