เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 49 อย่าหาว่าพี่รองใจร้ายนะ
บทที่ 49 อย่าหาว่าพี่รองใจร้ายนะ
บทที่ 49 อย่าหาว่าพี่รองใจร้ายนะ
หลังจากบ่นว่าร้อนแล้วคนตัวเล็กก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิ ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องมองขนมบนโต๊ะ
“พี่ใหญ่พี่รอง เสี่ยวเป่าอยากกินอันนั้น”
เจ้าก้อนแป้งขี้เมาชี้นิ้วสั่งชายหนุ่มรูปงามทั้งสอง
หนานกงฉีโม่ว่า “…เจ้านี่มันจริง ๆ เลย ไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้ข้าเช่นนี้นะ”
ถึงจะบ่นแต่ก็ยังป้อนขนมให้คนตัวเล็กอยู่ดี
พอเห็นแก้มขาวอมชมพูป่อง เขาก็นั่งเท้าคางมองนางอย่างเอือมระอา
พลางยื่นมือไปจิ้มเล่นเป็นระยะ ๆ เฝ้ามองเนื้อนุ่มนิ่มยุบขึ้นยุบลง อารมณ์พลันเริ่มดีขึ้นไม่น้อย
เสี่ยวเป่าที่กำลังกินอยู่ถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ ก็รู้สึกไม่พอใจ ส่งเสียงฮึดฮัดพร้อมเบี่ยงหน้าหนี แล้วนางก็หมดความอดทนอ้าปากงับนิ้วพี่รองไม่ยอมปล่อย
หนานกงฉีโม่พยายามขยับนิ้วให้หลุดจากปากนาง ทว่านางกลับส่ายหัวไปมาไม่หยุด
ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
“ปล่อยได้แล้ว”
เสี่ยวเป่าร้องเสียงอู้อี้บอกว่าไม่ปล่อย
“หากไม่ยอมปล่อย อย่าหาว่าพี่รองใจร้ายนะ?”
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้างมองเขาราวกับจะบอกว่า ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้ใจดีนักหรอก
ทันใดนั้น เจ้าก้อนแป้งก็ถูกกัดที่แก้มอย่างกับเป็นซาลาเปา
เสี่ยวเป่า “!!!”
หนานกงฉีซิว “…”
“ทำบ้าอันใดของเจ้า”
คนบนรถเข็นทำหน้าไม่พอใจ พยายามดึงคนตัวเล็กมาอยู่ข้าง ๆ แต่เสี่ยวเป่ายังคงกัดนิ้วของหนานกงฉีโม่ไม่ปล่อย
หนานกงฉีโม่เชิดหน้า “พี่ใหญ่ ท่านไม่เห็นหรือว่าเจ้าตัวเล็กนี่กัดข้าก่อน ข้าก็ต้องกัดคืนสิ”
ในระหว่างที่อธิบาย เขาก็พยายามเอานิ้วออกจากปากของเด็กน้อย
ถึงนางจะเมาและทำตัวโง่งมอยู่เล็กน้อยก็ตาม ทว่าเสี่ยวเป่าก็แค่ดูดนิ้วไม่ได้กัดแรงเสียหน่อย
บรรดาองค์ชายที่เหลือเห็นว่าการเล่นกับน้องสาวดูน่าสนุกดี เพียงพริบตาเดียวนางก็ถูกห้อมล้อมด้วยพี่ชายทั้งหลาย
“น้องหญิง เจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือไม่?”
องค์ชายห้าฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว ยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้านาง
เสี่ยวเป่าหันมองพี่ห้า ในที่สุดก็ปล่อยนิ้วของพี่รอง น้ำลายไหลย้อยลงมาที่มุมปาก
หนานกงฉีโม่เห็นนิ้วที่เต็มไปด้วยน้ำลายก็อ้าปากค้างทำท่าขยะแขยง
ทางด้านหนานกงฉีรุ่ยเองก็รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้น้องสาว
“เด็กดื่มเหล้าไม่ได้ คราวหน้าน้องหญิงห้ามดื่มเด็ดขาด แค่สุราหวานก็ไม่ได้”
ช่างเป็นเด็กที่จู้จี้จุกจิกเสียจริง หนานกงฉีจวินที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มรู้สึกปวดหัวทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย
เพราะเขามักจะถูกพี่เจ็ดบ่นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่อายุห่างกันไม่ถึงสองปีแท้ ๆ แต่พี่เจ็ดผู้นี้กลับชอบกังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เสมอ
พี่ ๆ เข้ากับเสี่ยวเป่าได้เป็นอย่างดี ส่วนองค์ชายสามเองก็ยกจอกสุราดื่มช้า ๆ แววตาที่เคยหม่นหมองบัดนี้เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา
สมควรแก่เวลางานเลี้ยงก็จบลง เสี่ยวเป่าถูกแบกขึ้นหลังของพี่รอง ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อ ทั้งยังเอาแต่บ่นพึมพำร้องเรียกหาท่านพ่อ
หนานกงฉีโม่อาสาเดินไปส่งคนบนหลังที่ตำหนักฉินเจิ้ง โดยมีคนข้าง ๆ เป็นหนานกงฉีซิวที่นั่งรถเข็นตามมาด้วย
สองพี่น้องเดินไปบนถนนเส้นที่มุ่งสู่ปลายทางเดียวกัน แต่ระหว่างทั้งคู่นั้นช่างเงียบเชียบเสียจนบรรยากาศดูวังเวง
“เจ้าทำร้ายท่านหญิงสกุลหลี่”
เป็นหนานกงฉีซิวที่ทำลายความเงียบนั้น
หนานกงฉีโม่แค่นหัวเราะ “แล้วอย่างไร พี่ใหญ่จะรับผิดแทนข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
หนานกงฉีซิวแสดงความขบขันออกมาทางแววตา ตอนนี้ตัวเขาอ่อนโยนราวกับหยกอุ่น ๆ ชิ้นหนึ่ง
“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า”
ทว่ารอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของหนานกงฉีโม่พลันมลายหายไปในพริบตา
“พี่ใหญ่ หากท่านจะห่วงข้ามิสู้ท่านห่วงตนเองไม่ดีกว่าหรือ ท่านคิดว่าคนในราชวงศ์นี้มีความรักใคร่ฉันพี่น้องสักเพียงใดกัน?”
น้ำเสียงของเขาฟังดูเลวร้าย “สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นล้วนต้องหวังครอบครองตำแหน่งนั้นอยู่วันยังค่ำ”
หนานกงฉีซิวไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองต่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด “เสด็จพ่อเคยกล่าวไว้ตั้งนานแล้วว่า ต้องเป็นผู้มีความสามารถจึงจะได้ตำแหน่งนั้น อีกอย่างข้าที่เป็นเช่นนี้จะเอาสิ่งใดไปสู้กับเจ้า”
หนานกงฉีโม่จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางนึกในใจว่า เขาช่างเป็นคนที่พอใจอะไรง่ายดายเสียจริง ทำราวกับไม่แยแสสิ่งใดเลย
ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ หวังใช้ขนตางอนยาวปกปิดความรู้สึกลึกล้ำเอาไว้
พวกเขาไม่ได้พูดสิ่งใดอีกจนกระทั่งเดินมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง
ฝูไห่กงกงเห็นว่าองค์หญิงน้อยกำลังหลับใหลก็รีบเข้าไปรายงานฝ่าบาท
ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมรอยยิ้ม “องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พวกท่านเข้าไปข้างในก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีซิวพยักหน้า “รบกวนฝูไห่กงกงแล้ว”
พูดจบ องครักษ์ข้างกายก็เข็นองค์ชายใหญ่เข้าไปข้างในห้องโถง
ภายในห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉินเจิ้ง หนานกงสือเยวียนกำลังอ่านพระราชสารจากเมืองชายแดน นอกจากนั้น ยังมีแม่ทัพน้อยเซี่ย ขุนนางบู๊จำนวนหนึ่ง และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองนั่งอยู่ด้านล่าง
“ถวายพระพรองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามา เหล่าขุนนางก็ยืนขึ้นทักทาย
หนานกงฉีโม่พยักหน้า ขณะที่สายตายังหยุดอยู่ที่บุรุษผู้ที่เขาจับจ้องตั้งแต่ก้าวเข้ามา
หนานกงฉีซิว “ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีโม่ “ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนวางพระราชสารในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปยังเจ้าก้อนแป้งที่อยู่บนหลังองค์ชายรอง
“องค์ชายรอง ส่งองค์หญิงน้อยให้กระหม่อมเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูไห่กงกงกำลังจะอุ้มองค์หญิงน้อยเข้าไปที่ห้องโถงด้านใน กลับต้องชะงักเพราะดวงตาหลายคู่กำลังจ้องมองมา
ฝูไห่กงกงได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรดี “…”
ความกดดันเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างกายเขาแล้ว
เขาหันไปหาองค์เหนือหัวพร้อมสีหน้าแข็งทื่อ “ฝ่าบาท…”
ต้องพาไปที่ห้องโถงด้านข้างหรือไม่? อยู่ดี ๆ สมองก็ไม่ทำงาน
หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ “พาไปที่ห้องโถงด้านใน”
ฝูไห่กงกงรับพระบัญชาและรีบพาองค์หญิงน้อยในอ้อมแขนเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรู้ ทุกคนเห็น “!!!”
แต่ยามนี้พวกเขาไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไร และไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกด้วยคำใด
โดยเฉพาะหนานกงฉีซิวและหนานกงฉีโม่ที่ตกใจจนสติหลุดลอยออกจากร่างอย่างสมบูรณ์
ทว่าฮ่องเต้กลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซ้ำยังสั่งให้คนจัดที่นั่งให้หนานกงฉีโม่ด้วยเสียงเรียบ
“เจ้าสองคนก็อยู่ฟังด้วยกันเถอะ”
โอรสทั้งสองถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ได้ตบแต่งพระชายา พวกเขาจึงยังไม่ได้ออกจากวังไปสร้างจวนเป็นของตน
หนานกงสือเยวียนจึงเตรียมการให้โอรสทั้งสองออกไปอยู่ข้างนอกภายในปีนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งพระชายาหรือไม่ก็ตาม องค์ชายที่โตพอแล้วหากยังอยู่ในวังต่อไป มันจะไม่ดีต่อตัวพวกเขาเอง พอออกไปแล้วก็จะให้พวกเขาเข้าประชุมขุนนางด้วย!
องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองได้แต่มองหน้ากัน ทว่าก็ยอมนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
หนานกงสือเยวียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “แม่ทัพน้อยเซี่ยรายงานสถานการณ์ทางฝั่งของเจ้ามา”
เซี่ยสุยอัน “ตามรายงานจากเมืองชายแดน เมื่อเดือนที่แล้วพวกซยงหนูเริ่มโจมตีหมู่บ้านและตำบลรอบ ๆ เมืองชายแดน ชาวบ้านหลายหมู่บ้านถูกสังหารจนหมด ครึ่งเดือนก่อน กองทัพซยงหนูบุกรุกเมืองอวิ้นเฉิง ทว่ารบกันไม่ถึงสามวัน กองกำลังทั้งหมดก็ถอยทัพทันที…”
หลังจากอธิบายสถานการณ์ของเมืองชายแดนเสร็จสิ้น หนานกงสือเยวียนก็กวาดตามองผู้คนที่อยู่ในห้องโถง
“ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร เหตุใดพวกซยงหนูจึงถอยทัพกะทันหันเช่นนั้น?”
ขุนนางบู๊ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “กระหม่อมคิดว่าพวกคนเถื่อนซยงหนูหวาดกลัวพวกเรา ฝ่าบาททรงพระปรีชาน่าเกรงขาม พวกมันต้องชั่งใจหากจะรบกับเรา”
ไม่ใช่ว่าขุนนางผู้นี้คิดจะประจบสอพลอ เขาแค่ตอบไปอย่างที่ตนคิด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาคลั่งไคล้หนานกงสือเยวียนมาก
ทว่าเซี่ยสุยอันกลับเอ่ยทักท้วง “แต่กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น พวกซยงหนูรู้จักกินแต่ไม่รู้จักฆ่า*[1] หากพวกมันกลัวจริง คงไม่มาโจมตีเมืองชายแดนเช่นนี้”
[1] รู้จักกินแต่ไม่รู้จักฆ่า หมายถึง ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เรียนรู้จากบทเรียน