เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 492 สมุนไพร
บทที่ 492 สมุนไพร
เนื้อตากแห้งที่เสี่ยวเป่านำออกมาสามารถทำให้ทั้งสองคนประหลาดใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย รู้สึกว่าการพานางไปหาไหมเหมันต์แล้วได้รับเพียงเนื้อตากแห้งก็นับว่ากำไรแล้ว
จากนั้นต๋าเอ๋อร์ก็พยักหน้าตกลงอย่างไม่ลังเล ทว่าไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นยามที่พวกเขาออกไปล่าสัตว์ครั้งหน้า ยังเหลือเวลาอีกประมาณสิบวัน
เสี่ยวเป่าเห็นพ้อง นางเองก็จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อน
ในวันนั้นเองถ้ำของอานั่วซือและคนเผ่าเทียนกู่น่าก็ขุดจนเสร็จ
สำหรับเสี่ยวเป่า นางไม่ได้วางแผนจะอาศัยอยู่ที่นี่ถาวร ดังนั้นนางจึงยังกางกระโจม ทว่าคราวนี้เป็นกระโจมที่ใหญ่กว่าเดิม
นางวิ่งไปในเผ่า ใช้นมผง ลูกกวาด และนมอัดเม็ดแลกเปลี่ยนหนังสัตว์จำนวนไม่น้อยมา
หลังจากนั้นนางก็พาหมาป่ายักษ์และเหล่าสัตว์ร้ายยักษ์คุ้มกันตัวเองมุ่งหน้าเข้าป่า ตั้งใจจะทำการรวบรวมสมุนไพร
เป้าหมายของนางคือการหาพืชและหินแร่ที่สามารถขจัดไขมันบนหนังสัตว์ และทำให้หนังสัตว์นุ่มขึ้น
โลกแห่งนี้อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ต่างจากโลกก่อนที่พืชจำนวนมากสูญพันธุ์ไปแล้ว ดังนั้นเพียงมองหาไม่นานก็พบสิ่งที่นำมาใช้กับหนังสัตว์ได้ตามจุดประสงค์ของนาง
ทว่าหากพบสมุนไพรอื่น ๆ นางก็คัดเอามาด้วย ใช้สำหรับทำยารักษาอาการป่วยหรือบาดเจ็บ รวมทั้งยาถอนพิษได้ด้วย
“เจ้าเก็บหญ้าเหล่านี้ไปทำสิ่งใด”
อานั่วซือเองก็มาด้วย อีกทั้งอาลู่ที่เห็นพวกเขาและกลุ่มสัตว์ร้ายก็ตามมาอย่างหน้าไม่อาย
พวกเขาทั้งสองต่างอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากยามนางขุดสมุนไพรขึ้นมา
อานั่วซือสนใจพลั่วอเนกประสงค์ในมือของนางมาก อาลู่เองก็เช่นเดียวกัน อุปกรณ์ที่อยู่ในมือของนางมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก เหล่าเด็กชายมักสนใจเรื่องนี้เป็นธรรมดา
แม้คนในเผ่าจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เครื่องไม้เครื่องมือกลับเรียบง่ายธรรมดายิ่ง นอกจากมีด หอก กับธนูแล้ว อุปกรณ์อื่น ๆ ก็ไม่ได้รับการพัฒนา อีกทั้งยังไม่มีแนวคิดด้านการเพาะปลูก ล้วนดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เท่านั้น
ดาบไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ เนื่องจากแร่เหล็กนั้นหายาก อีกทั้งช่างตีเหล็กยังหายากยิ่งกว่า
พลั่วอเนกประสงค์ในมือเสี่ยวเป่าจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากเด็กหนุ่มทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“นี่คือสมุนไพร แต่ละอย่างล้วนให้ผลที่แตกต่างกัน เช่นในมือข้าคือผักกาดน้ำ สามารถรักษาอาการไอ นี่คือมะแว้งนก บรรเทาพิษร้อน ทั้งยังเป็นผักป่าที่ได้รับความนิยมชนิดหนึ่ง บำรุงตับ กระเพาะอาหาร และสายตา นี่คือ…”
เดิมทีสายตาของพวกเขาจับจ้องทางพลั่วเอกประสงค์สารพัดประโยชน์ของเสี่ยวเป่า แต่พวกเขาก็ค่อย ๆ ถูกคำพูดของเสี่ยวเป่าดึงดูดความสนใจไป
อานั่วซือยังดี อย่างไรเสียในความทรงจำของเขาก็รู้ว่าชาวซยงหนูเองก็มีนักปรุงยา ทว่าก็ยังแปลกใจเล็กน้อยที่เสี่ยวเป่ายังเด็กนักแต่กลับมีความรู้มากถึงเพียงนี้
ส่วนอาลู่อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุดไปแล้ว นี่ไม่ใช่หญ้าธรรมดาหรือ เหตุใดจากคำพูดของเด็กผู้นี้กลับมีสรรพคุณมากมาย อีกทั้งดูเหมือนนางจะรู้มากกว่าสิ่งที่หมอผีรู้อีก!
“อ่า ที่นี่มีขิงด้วย!”
เสี่ยวเป่าพ่นลมหายใจออกมาระหว่างลงแรงขุดขิง “สภาพอากาศที่นี่น่าอัศจรรย์เสียจริง ด้านนอกหุบเขาเป็นดินแดนน้ำแข็ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยพืชพรรณมากมายอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง”
“ขิงสามารถรักษาอาการไอและเป็นไข้ได้ นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องปรุงสำหรับอาหารผัดได้ด้วย…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร สิ่งนี้สามารถรักษาไข้ได้”
ก่อนที่เสี่ยวเป่าจะทันพูด อาลู่ก็ร้องออกมาเสียงหลง พลันจับจ้องมองนางด้วยสายตาร้อนแรง
“เจ้าพูดเรื่องจริงหรือ สิ่งนี้สามารถรักษาไข้ได้จริงหรือไม่ หลายคนในเผ่าตอนนี้มีไข้ พวกเขาล้วนถูกขังอยู่ในถ้ำ หมอผีบอกว่าพวกเขาถูกคำสาป”
เสี่ยวเป่า : …
นี่ฟังดูเหมือนร่างทรงลวงโลกยิ่งนัก
“พืชนี่สามารถรักษาไข้ได้จริงหรือ เจ้าสามารถไปดูพวกเขาได้หรือไม่”
ไม่น่าแปลกใจที่อาลู่จะร้อนใจถึงเพียงนี้ น้องชายเขาเองก็อยู่ในถ้ำแห่งนั้นด้วย
ฟังจากเรื่องเล่าที่เสี่ยวเป่าพูดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าหากจะมีผู้ใดช่วยเหลือคนที่เป็นไข้เหล่านั้นได้จริง ๆ คนผู้นั้นก็ย่อมเป็นแม่นางน้อยผู้นี้
พูดแล้วดูไร้สาระไปบ้าง แต่อาลู่เชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง ถึงน้องหญิงที่อานั่วซือพากลับมาด้วยจะดูเด็กยิ่ง แต่กลับรู้เรื่องต่าง ๆ กว่าพวกเขามาก
เสี่ยวเป่าเอ่ย “ก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องรับรองว่าหมอผีผู้นั้นจะไม่มาสร้างความยุ่งยากให้กับข้า”
นางไม่ได้โง่ แน่นอนว่านางเต็มใจช่วยเหลือคน แต่ก็ย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง นางยังต้องนำยากลับไปให้ท่านพ่อ
แม้ว่านี้จะเป็นเพียงเผ่าหนึ่ง ไม่อาจเทียบได้กับเมืองหนึ่งของต้าเซี่ยได้ แต่ตนก็อยู่ในเขตของพวกเขา
ทั้งหมอผีและหัวหน้าเผ่าต่างก็เป็นผู้อยู่จุดสูงสุดของเผ่า
หากนางบุ่มบ่ามไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นจนไปยั่วยุและคุกคามตำแหน่งของหมอผีเข้า เช่นนั้นหากหมอผีมีใจคอคับแคบและไม่ปล่อยนางไปจะทำเช่นไร
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นดินแดนของผู้อื่น นางควรจะระมัดระวังตัวให้ดี
อาลู่และอานั่วซือต่างมีจิตใจเรียบง่าย ฟังแล้วไม่เข้าใจถึงจุดที่นางต้องการจะสื่อออกมา
เสี่ยวเป่าจ้องไปทางอานั่วซือด้วยความรู้สึกเกลียดชังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า
ใบหน้าเหมือนกัน แต่สมองของเยว่หลีทำงานได้รวดเร็วกว่ามาก ทั้งยังมีความทรงจำดีเลิศ สามารถเข้าใจทุกสิ่งได้ในคราวเดียว ส่วนเจ้านั้น ทุกอย่างล้วนใช้เป็นแต่กำลัง
เมื่อเทียบกันแล้ว เยว่หลีฉลาดกว่ามาก
ทั้งสองงงงวยอย่างยิ่ง
เสี่ยวเป่าจึงต้องอธิบายให้ทั้งสองฟังอย่างชัดเจน
“ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าหมอผีของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร หากข้ารักษาคนเหล่านี้ได้ ทั้งยังนำสมุนไพรไปให้ แล้วตัวข้าได้รับการขอบคุณและความเชื่อใจจากผู้อื่น แม้ว่าครั้งเดียวไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของหมอผีได้ แต่หากข้าสามารถรักษาคนที่หมอผีของพวกเจ้ารักษาไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นคนที่จิตใจคับแคบมีความริษยา เกรงว่าปล่อยข้าไว้นานไปตำแหน่งของเขาจะถูกสั่นคลอนเข้า เช่นนั้นก็ข้าคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
อาลู่ส่ายหัว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกระมัง ข้ารู้สึกว่าหมอผีเป็นคนดียิ่ง”
อานั่วซือไม่ตอบทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หมอผีเชื่อใจได้ แต่เสวี่ยไม่”
เสวี่ย นางเป็นหญิงงามที่สุดในเผ่าพวกเขา นางกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่กับหมอผี
เหตุผลที่อานั่วซือบอกว่านางไม่อาจไว้ใจได้ เป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นด้วยตาตัวเองว่าเสวี่ยมีใจริษยาศิษย์อีกคนของหมอผีที่เรียนรู้ได้ดีกว่า ยามติดตามขบวนล่าสัตว์ออกไปหาอาหารแล้วเผชิญหน้ากับอันตราย นางได้ผลักคนผู้นั้นเข้าไปในกลุ่มสัตว์ร้าย
แม้คนผู้นั้นจะไม่ตาย แต่ก็สูญเสียขาทั้งสองข้างไป มิอาจร่ำเรียนได้อีก
ตอนที่พวกเขาโต้เถียงกัน อานั่วซือที่รู้เรื่องราวก็ไม่ทำอันใดกับเรื่องนี้
อย่างไรเสียยามนั้นเขาก็ยังเป็นเพียงคนนอก ไม่มีทางที่คนในเผ่าจะเชื่อเขา ดังนั้นจึงไม่ได้ทำสิ่งใด
ฟังเรื่องที่อานั่วซือเล่าแล้ว อาลู่ก็อ้าปากค้าง
เสวี่ยเป็นเทพธิดาในใจบุรุษทั้งหลายในเผ่า แม้ปกติจะวางตัวสูงส่งดูถูกคนจำนวนมาก ทว่าเช่นนี้ก็…
เขาเปิดปากต้องการจะโต้แย้ง “ไม่…”
ทันใดนั้นอานั่วซือก็ตวัดสายตามาอย่างดุร้าย “ข้าไม่ได้โกหก!”
อาลู่กลุ้มใจอยู่บ้าง อันที่จริงแล้วอานั่วซือไม่มีเหตุผลต้องโกหก เขาและเสวี่ยไม่มีความแค้นอันใดต่อกัน
แต่เพราะรู้เช่นนั้น จึงทำให้เขาหดหู่ใจ
เสวี่ยเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เสี่ยวเป่าตบไหล่ของเขา “เช่นนั้นพวกเจ้าก็นำสิ่งนี้ไปมอบให้หมอผี อย่าบอกว่าข้าเป็นคนเล่าเรื่องสรรพคุณของขิง หากดื่มน้ำขิงแล้วยังไม่ดีขึ้น ข้าจะลองไปดูเอง บางทีอาจป่วยเป็นอย่างอื่นก็ได้”
ทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย อาลู่นำขิงจากไปด้วยจิตใจสับสน
สิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นคืออานั่วซือข่มขู่เขาก่อนจากมา หากกล้าพูดเรื่องนี้อานั่วซือจะตามไปฆ่าเขาแน่
อาลู่ : ….
ช่างน่าอึดอัดคับข้องใจเกินไปแล้ว ฮือ…
จากนั้นนางก็ตามหาพืชที่ต้องการต่อ
ครั้งนี้บังเอิญพบเข้ากับพืชที่สามารถกินได้ นั่นคือหัวไชเท้า
ความจริงหัวไชเท้าเองก็เป็นอาหารทั่วไปของเผ่า ทว่าพวกเขากินแค่ส่วนใบเท่านั้น ส่วนที่กินได้จริง ๆ ที่อยู่ใต้ดินนั้นเลยถูกละเลยไป
เสี่ยวเป่าดึงหัวไชเท้าออกมา มันเล็กมาก ขนาดเพียงแค่ฝ่ามือผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่อาจเทียบได้กับหัวไชเท้าในยุคหลังที่นางรู้จักได้
แต่เท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว
เนื่องจากอาหารในยุคหลังผ่านการปรับปรุงมากมายผ่านมายุคแล้วยุคเล่า อีกทั้งยามนางยังไม่กลับเข้าวังยังเคยเห็นหัวไชเท้าขนาดเล็กเพียงนิ้วมือเดียวเท่านั้น
ส่วนที่นี่ล้วนโตเท่าประมาณฝ่ามือ
หัวไชเท้าทนต่ออากาศหนาวได้ แม้ว่าอากาศที่นี่จะค่อนข้างเย็นแต่ดินก็อุดมสมบูรณ์ พืชที่เติบโตขึ้นมาจึงสมบูรณ์อย่างมาก
ตัวอย่างเช่นหัวไชเท้านี่
แม้คนในเผ่าจะกินใบหัวไชเท้า แต่ก็ไม่ได้กินมากนัก เนื่องจากคนจำนวนมากไม่ชื่นชอบในรสชาติ นอกเสียจากจะหิวจริง ๆ จึงจะยอมกิน ไม่ใช่เพียงแค่ผักเหล่านี้ สำหรับพวกเขาอย่าว่าแต่ผักเหล่านี้เลย กระทั่งหญ้ายังกินได้ เพียงแต่ไม่ชื่นชอบกินกัน อาหารหลักของพวกเขาคือเนื้อสัตว์
ดังนั้นหัวไชเท้าที่นี่จึงเติบโตมาได้ดีเยี่ยม ด้วยว่าอยู่ใกล้เผ่าจึงไม่มีอันตรายจากเหล่าสัตว์
เสี่ยวเป่าแปลงร่างเป็นกระต่ายตัวน้อยโดยพลัน เริ่มดึงหัวไชเท้าออกมา หลังจากนั้นเพียงไม่นานก็ได้มาเป็นพวง
นางมองด้วยความตะกละ
อาหารแห้งที่นางนำมานับว่าเพียงพอ แต่อาหารสดไม่มีสิ่งใดนอกจากเนื้อสัตว์ ผักสดมีเพียงมันฝรั่งและมันเทศอันน้อยนิด อีกทั้งมันฝรั่งยังแตกหน่อจนไม่สามารถกินได้แล้ว!
พวกผลไม้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เสี่ยวเป่าอยากกินผักสดมานานมาก
อานั่วซือที่ปกติกินแต่เนื้อสัตว์เป็นพื้นฐานย่อมไม่เข้าใจการแสดงออกของนาง
ของมีจำนวนมากเกินไป พวกเขามีเพียงสองคนทั้งยังไม่ได้นำถุงติดมาด้วยย่อมนำกลับไปได้ไม่หมด อานั่วซือจึงให้นางเอาของออกให้น้อยลง
เสี่ยวเป่า “ข้ามีวิธี!”
หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็พาอานั่วซือตามหาไม้เถาภายในป่า
ยามเห็นพลั่วเล็ก ๆ ในมือของนางเปลี่ยนกลายเป็นมีดหลังจากบิดออกไม่กี่ครั้ง ดวงตาอานั่วสือที่จับจ้องมองมันก็ล้ำลึกยิ่งขึ้น
“สูงเกินไป!”
“ข้าเอื้อมไม่ถึง!”
เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าเขากำลังจับจ้องมองพลั่วอเนกประสงค์ของนางตาเป็นประกาย นางจึงส่งพลั่วอเนกประสงค์ให้เขาเนื่องจากเถาวัลย์อยู่สูงเกินไป นางไม่อาจปืนขึ้นไปได้ หนทางดีสุดคือให้อานั่วซือช่วยเหลือ
อานั่วซือรับมาพร้อมพลิกหลายครั้ง เปลี่ยนให้กลายเป็นพลั่วตามที่เสี่ยวเป่าทำเมื่อครู่ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นจอบ…
ดวงตาของเขาเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ พลางมองไปทางเสี่ยวเป่าอย่างกระตือรือร้นประหนึ่งสุนัขตัวโตได้รับกระดูก
เสี่ยวเป่าถอนหายใจ “เจ้าอยากได้ ข้าให้เจ้าก็ได้”
นางยังมีเหลืออยู่อีก เนื่องจากเตรียมเอาไว้สำรองเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
อานั่วซือที่ได้รับของเล่นใหม่ยิ้มร่าออกมาทันที จากนั้นจึงปีนต้นไม้ประหนึ่งวานรตัวหนึ่ง
ไม่สิ ลิงยังไม่อาจปืนได้คล่องแคล่วเพียงนี้!
เขายังนำเถาวัลย์ที่เสี่ยวเป่าต้องการกลับมาได้อย่างสมบูรณ์
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา…
“พอแล้ว พอแล้ว นี่มันมากเกินไปแล้ว”
เสี่ยวเป่ามองเถาวัลย์ที่ตกลงมาบนพื้นก่อนรีบตะโกนหยุด
อานั่วซือกระโดดลงจากกิ่งไม้ที่สูงเกือบสองจั้ง เสี่ยวเป่าที่มองอยู่ถึงกับผวาตกใจ ทว่าเขากลับสามารถลงพื้นได้อย่างไร้ปัญหาใด
นอกจากนั้นเขายังคงเล่นกับพลั่วอเนกประสงค์ต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น เปลี่ยนมันให้กลายเป็นจอบลองขุดดิน
เสี่ยวเป่าใช้เถาวัลย์เหล่านั้นเริ่มถักทอเป็นตะกร้าสาน
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยทำมาก่อนจึงติดขัดอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร เสี่ยวเป่ามีสูตรโกง!