เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 494 สุดยอด ยังดีที่ไม่ได้ด่าพวกเขาด้วย
บทที่ 494 สุดยอด ยังดีที่ไม่ได้ด่าพวกเขาด้วย
พอถึงเวลากลับ ความรู้สึกเกรงใจที่มาขอกินอาหารของคนทั้งสองพลันหวนคืนมา จึงอาสาช่วยพวกเขาขนของ
แต่พอเห็นตะกร้าบนหลังสัตว์ร้ายยักษ์ ต๋าเอ๋อร์ก็ต้องตกตะลึงอีกหน
“สิ่งนี้มีประโยชน์มาก”
แม้ถูกวางไว้บนหลังเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ แต่ก็ยังเหลือที่ให้คนนั่ง ทั้งยังบรรทุกของได้มากขึ้น
เสี่ยวเป่าฉีกยิ้มกว้าง “พวกเรามีเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ช่วยแบกของแล้ว ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้วล่ะ”
ต๋าเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ต่างมองอานั่วซือด้วยสายตาอิจฉา เขาเป็นคนเดียวในเผ่าที่มีสัตว์ร้ายยักษ์ในครอบครองมากที่สุด
พวกต๋าเอ๋อร์ยังต้องออกลาดตระเวนต่อ จึงเอ่ยลาพวกเสี่ยวเป่าก่อนจากไป
หลังจากกลับถึงเผ่า เสี่ยวเป่าก็ถามอาลู่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
“เจ้าเอาของไปให้ท่านหมอผีแล้วหรือ ไม่ได้เอ่ยถึงข้าใช่หรือไม่”
อาลู่พยักหน้า “ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าแน่นอน เพียงแต่…”
เขาเล่าเรื่องที่บังเอิญเจอเสวี่ยและสิ่งที่นางพูดกับเขา เล่าจบเขาก็เกาหัว ท่าทางเหมือนกำลังรู้สึกผิด
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของพวกเจ้าที่ทำให้ข้าเริ่มรู้สึกว่านางดูแปลก ๆ หรือเป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
เขาเป็นคนเถรตรง ก็เลยไม่อยากเก็บไปคิดเล็กคิดน้อย
“เจ้าไม่ได้คิดมากไปหรอก”
ถึงอย่างไรเสี่ยวเป่าก็อยู่ในวังมานาน แม้วังหลังของท่านพ่อจะไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายหรือสร้างปัญหาให้ท่านพ่อบ่อยนัก แต่ข้อพิพาทระหว่างพระสนมกับนางกำนัลมีออกบ่อย เหตุเพราะความต่างทางอารมณ์และนิสัยที่ไม่ตรงกันหรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ จึงเกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
คนพวกนั้นเล่ห์เหลี่ยมเยอะเสียยิ่งกว่าอะไร พูดคุยกันแต่ละครั้งก็อ้อมไปอ้อมมา ครั้งแรกที่เสี่ยวเป่าเห็นสนมสองคนปะทะคารมด้วยวาจาจิกกัดเสียดสีกันไปมา นางก็พลันค้นพบว่าตนเองฟังไม่เข้าใจสักประโยค สุดท้ายเหล่าพี่ชายต้องอธิบายให้ฟัง นางถึงได้เข้าใจ พวกพี่ ๆ ยังบอกอีกว่าอย่าเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปใกล้ ไม่เช่นนั้นอาจโดนลูกหลงเอาได้
คำพูดของเสวี่ยต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะเชื่อ แต่จะว่าไปแล้ว เล่ห์เหลี่ยมของนางยังเทียบกับเหล่าสนมในวังหลังหรือเหล่าขุนนางในราชสำนักไม่ได้ด้วยซ้ำ
“นางคงอยากให้เจ้าบอกเรื่องขิงกับนาง จากนั้นก็จะหาโอกาสบอกเรื่องนี้กับท่านหมอผี ความดีความชอบก็จะตกเป็นของนาง ที่ข้าคาดเดาเช่นนี้ก็เพราะเรื่องที่อานั่วซือเคยเล่าให้ฟัง ส่วนนางคิดจะทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ อันนี้ข้าเองก็ไม่รู้”
อาลู่ยังคงไม่เข้าใจ “แต่นางจะทำเช่นนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน”
เสี่ยวเป่า “เหตุผลนั้นเดาได้ง่ายมาก เพราะหากนางเป็นคนนำเรื่องนี้ไปบอกท่านหมอผี นางก็จะได้ผลงาน หลังจากนั้นท่านหมอผีก็จะยิ่งให้ความสำคัญกับนาง หากนางลองใช้วิธีนี้รักษาผู้คนได้จริง ผู้คนในเผ่าก็จะยิ่งเคารพนับถือนาง
ผู้คนที่นางรักษาและครอบครัวของพวกเขาจะซาบซึ้งใจ นั่นเท่ากับว่านางค้นพบยาตัวใหม่ที่รักษาไข้ได้ คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับนาง เคารพนับถือและสนับสนุนนาง ซึ่งมันจะทำให้ผู้คนเชื่อฟังคำสั่งนาง และคอยปกป้องนาง
แต่ต่อให้วิธีนี้รักษาไม่ได้ผล ถึงอย่างไรคนป่วยไข้ในถ้ำก็ไม่ได้ป่วยแค่วันสองวัน แม้จะใช้ผู้อื่นทดลองยาไปเรื่อย ๆ ก็จะไม่ทำให้นางเสียผลประโยชน์ แน่นอนว่าข้าคาดเดาทั้งหมดนี้ เพราะนิสัยเห็นแก่ตัวและทะเยอทะยานของนาง ข้าเพียงลองวิเคราะห์คร่าว ๆ เท่านั้น เจ้าเองก็ฟังหูไว้หูเถิด ยังไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้”
ฟัง ‘การวิเคราะห์แบบคร่าว ๆ’ ของเสี่ยวเป่าแล้ว อาลู่ก็ถึงกับอึ้ง
มันก็แค่ยาที่เพิ่งค้นพบ แต่กลับก่อให้เกิดเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนเช่นนี้
เขารู้สึกว่าหัวตัวเองรับเรื่องพวกนี้ไม่ไหวแล้ว
และเขายัง… มองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาหวั่นกลัว
เจ้าเป็นแค่เด็กไม่กี่ขวบ รู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร!
แต่เสี่ยวเป่าเชิดหน้าภาคภูมิใจ
แม้คราแรกที่ดวงจิตของข้ามาจุติในชาติภพนี้จะไร้เดียงสา ทว่าจากตอนนั้นจนบัดนี้ก็นับว่ามีชีวิตมานานพอควร นางจึงเรียนรู้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในใต้หล้านี้ได้เร็วกว่าเด็กทั่วไป การเติบโตทางจิตใจย่อมต้องแตกต่างจากเด็กทั่วไปเป็นธรรมดา
จะหาว่านางเอาเปรียบหรือขี้โกงก็ได้
อาลู่จากไปด้วยสีหน้าแปลก ๆ ด้านเสี่ยวเป่าก็กลับไประดมพลทั้งอานั่วซือและชาวเผ่าเทียนกู่น่ามาช่วยฟอกหนังสัตว์ที่นางแลกมาได้
นมอัดเม็ด นมผง และเนื้อตากแห้งของนางเป็นที่นิยมสำหรับคนในเผ่ามาก นางจึงนำไปแลกหนังสัตว์มาได้จำนวนมาก
แม้การฟอกหนังสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชคดีที่เผ่าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง
เสี่ยวเป่าจึงตัดสินใจจ้างงานพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาจะได้ค่าตอบแทน
แต่ปัญหาก็คือ แม้ของที่นางเอามาจะมีไม่น้อย แต่นางก็ไม่อาจนั่งกินนอนกินได้ อีกอย่างนางมีย่ามสะพายหลังเพียงสองใบ หากมีของเยอะเกินไป อาจถูกสงสัยเอาได้
ฉะนั้นต้องหาวิธีอื่น
และในค่ำคืนนี้ หลังจากโหยหาการอาบน้ำมานานนม ในที่สุดเสี่ยวเป่าก็ได้อาบน้ำสมใจ
โชคดีที่เผ่านี้มีช่างไม้ แต่สิ่งที่พวกเขาทำส่วนใหญ่เป็นลูกศรและหอก รวมถึงชามไม้ ถังไม้ และสิ่งที่ใช้เก็บของ
แม้ช่างไม้ที่นี่จะไม่ได้มีฝีมือประณีต แต่อ่างอาบน้ำที่เสี่ยวเป่าต้องการก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป
แค่นางต้องอธิบายรายละเอียดให้ช่างไม้เข้าใจ
อ่างอาบน้ำสร้างเสร็จภายในวันเดียว แม้ผลงานที่ออกมาจะไม่ได้สวยงามและประณีต แต่เสี่ยวเป่าก็ไม่จู้จี้จุกจิก ขอแค่น้ำไม่รั่วก็พอแล้ว
คืนนั้นนางต้มน้ำร้อนเพื่อผสมน้ำอาบ แล้วนางก็แช่น้ำนานจนหนำใจ
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวเป่าจึงตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น รู้สึกสบายตัวไปทั้งตัว
จิตใจก็แจ่มใส แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าจู่ ๆ จะมีผู้หญิงในเผ่ามาพบนาง
“เจ้าคือน้องสาวที่อานั่วซือพากลับมาจากข้างนอกอย่างนั้นน่ะหรือ”
หญิงนางนั้นเชิดหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งปนเหยียดหยาม
แต่พอเสี่ยวเป่าเงยหน้ามอง เพราะความสูงที่ต่างกัน ประจวบกับอีกคนยืนเชิดหน้า เสี่ยวเป่าจึงมองเห็นเพียงจมูกของอีกฝ่าย
“เสวี่ย เป็นนางคนนี้นี่แหละ”
เสี่ยวเป่าแอบได้ยินคนข้าง ๆ กระซิบบอกนาง
อ๋อ ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเสวี่ย หญิงงามที่สุดในเผ่า
“อืม เป็นข้าเองเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านคือผู้ใด”
นี่คือเผ่าของคนอื่น เสี่ยวเป่าจึงต้องรักษามารยาท
แม้น้ำเสียงที่คนผู้นี้ใช้เอ่ยกับนางจะทำให้นางรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“เจ้าเอาของพวกนั้นมาจากที่ใด เพราะเจ้าอ้างตัวว่าเป็นน้องสาวของอานั่วซือ คนในเผ่าจึงไม่ไล่เจ้าออกไป นั่นหมายความว่าพวกเขาจำใจยอมให้เจ้าอยู่ แต่เจ้าก็ไม่รู้ความเอาเสียเลย ถ้าอยากเป็นคนในเผ่าเรา ก็ควรจะมอบของเหล่านั้นให้ส่วนรวมมิใช่หรือ
เหตุใดต้องให้ผู้อื่นเอาของมาแลก หนังสัตว์พวกนั้น พวกเขาได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกาย เสี่ยงอันตรายล่ามา คนมาขออาศัยอย่างเจ้าไม่เคยบริจาคสิ่งใดให้เผ่า ไยถึงกล้าเอามันไปใช้”
เสี่ยวเป่า “???”
นางไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่ อ้างศีลธรรมเพื่อบังคับผู้อื่น?
แย่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มาดี!
ทั้งยังพาพรรคพวกมาด้วยไม่น้อย แถมทุกคนยังจ้องเสี่ยวเป่าเป็นตาเดียว ไม่มีผู้ใดคิดจะเข้ามาช่วยเสี่ยวเป่าเลย
คนนอกที่พึ่งเข้ามาในเผ่า อีกคนเป็นหญิงงามในเผ่า และอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งหมอผีคนต่อไป แม้นางจะยังไม่ได้รังแกเสี่ยวเป่า แต่เสี่ยวเป่าก็จะไม่เอาตัวเข้าไปใกล้เสวี่ย
เสี่ยวเป่าถอยหลังสองก้าว ก่อนจะเอ่ยถามอีกคนด้วยแววตาใสซื่อ “ข้าได้กินเนื้อของเจ้าหรือไม่”
เสวี่ยอึ้งกับคำถามของเสี่ยวเป่า ก่อนจะส่ายหัว
“แล้วข้าได้กินเนื้อหรือเสบียงของเผ่านี้หรือไม่”
นางส่ายหน้า
เสี่ยวเป่ายกยิ้ม ทำได้ดีมาก
“เจ้าก็รู้นี่นาว่าข้าไม่ได้กินอาหารของเจ้าหรือของเผ่าเลยสักนิด ข้าโตมาได้ขนาดนี้เป็นเพราะเจ้าหรือเผ่านี้เลี้ยงดูอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือล้วนไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เจ้าก็ยังจะเรียกร้องน้ำใจจากข้า ให้ข้าเสียสละของของข้าให้ส่วนรวม เพื่อผู้ใดเล่า เพื่อเจ้าหรือ
ไม่รู้ว่าเจ้าโตมาอย่างไรถึงได้เพ้อฝันขนาดนี้ เมื่อครู่เจ้าพึ่งจะบอกว่าข้ามาใหม่ ยังไม่มีผู้ใดยอมรับ พวกเจ้าไม่ยอมรับข้า แต่อยากให้ข้าเสียสละของของตนเองให้พวกเจ้า เป็นข้าที่ดูโง่เง่าหรือเป็นเจ้าที่หน้าหนาเกินไป”
เสี่ยวเป่าพูดจาฉะฉาน ด่าทอด้วยคำพูดที่คนในเผ่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ใช่แค่เสวี่ยที่มองนางด้วยแววตางุนงง แต่รวมถึงทุกคนที่อยู่ที่นั่น
เสี่ยวเป่ายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังชี้นิ้วไปที่ตัวพวกนางแล้วชี้ตนเอง “เจ้าดูความสูงที่แตกต่างกันระหว่างเราสิ ตัวก็ใหญ่กว่ายังกล้ารังแกเด็ก ไม่อายบ้างหรือ หากข้ายอมมอบของให้พวกเจ้า พวกเจ้ายังจะกล้ารับหรือไม่ ยังจะกล้ารับของจากเด็กอย่างข้าหรือไม่
คนในเผ่าเสี่ยงชีวิตเพื่อหนังสัตว์พวกนั้น แต่ข้าก็แบกข้าวของพวกนั้นมาไกลถึงที่นี่เหมือนกัน ตัวเจ้าเองทำเป็นพูดดีไป แต่เคยเสียสละของสิ่งใดให้ส่วนรวมบ้างหรือไม่ ยังไม่เคยหรือ
อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดจะให้เผ่า นั่นก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์มากน่ะสิ เหตุใดถึงยังกล้าอยู่ที่เผ่านี้ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่เคยทำประโยชน์อันใดให้ส่วนรวมเลย”
เมื่อถูกเสี่ยวเป่าใช้น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าววาจาเสียดสี เสวี่ยที่ไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อนก็พลันโมโหจนหน้าแดง เหล่าคนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ เห็นว่าเด็กคนนี้สู้คน อีกทั้งยังรู้จักเอาตัวรอด
หึ…
สุดยอด ยังดีที่ไม่ได้ด่าพวกเขาด้วย
“นี่เจ้า เจ้า…”
เสวี่ยโกรธจนตาแดง
ผู้คนที่ชื่นชอบเสวี่ย ใช้โอกาสนี้ก้าวออกไปข้างหน้า ทว่ายังไม่ได้ทำอันใด เสี่ยวเป่าก็เริ่มแกล้งร้องไห้เสียงดังทันที
“ฮื่อ… พวกท่านแกรังแกเด็ก ทำเกินไปแล้ว!”
ผู้คนที่ชื่นชอบเสวี่ย : …
ไม่ใช่เรา เราไม่ได้… เราไม่ได้ทำอันใดเลยนะ!
พวกเขาแทบอยากจะตะโกนออกไป