เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 495 ขัดแย้ง
บทที่ 495 ขัดแย้ง
เสี่ยวเป่าจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการใช้คำพูดทำให้ผู้คนโกรธจนตายนั้นเป็นอย่างไร หลังจากกล่าววาจาเสียดสีให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น เสี่ยวเป่าก็เริ่มแกล้งทำเป็นอ่อนแอทันที
นางเป็นเด็กตัวคนเดียว ส่วนอีกฝ่ายอายุมากกว่านาง
เด็กน้อยร้องไห้น่าสงสารขนาดนี้ ผู้ใดยังจะกล้ารังแกนางอีก
ไม่กลัวคนอื่นประณามอย่างนั้นหรือ
แม้พวกเขาจะเป็นเผ่าที่มีวิถีชีวิตล้าหลัง แต่พวกเขาก็ยังต้องรักษาหน้าตาของตน ผู้ใหญ่รังแกเด็กเป็นเรื่องไม่สมควร พวกเขาอาจถูกคนในเผ่าประณามเอาได้
เสวี่ยโกรธมาก นางไม่เคยเสียหน้าขนาดนี้มาก่อน
ในเมื่อพวกเขาไม่อาจรังแกเด็กหญิงตัวเล็ก ฉะนั้นนางที่เป็นหญิงเหมือนกัน คงให้บทเรียนนังเด็กแปลกหน้าคนนี้ได้สินะ!
เสวี่ยง้างมือขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ลังเล
เอาละ นางเองก็พร้อมแล้ว หากคนตรงหน้ากล้าตีนางจริง ๆ เสี่ยวเป่าก็จะไม่มัวเล่นลิ้นอีกต่อไป!
แต่ก่อนที่เสี่ยวเป่าจะได้ระเบิดพลัง หอกเล่มหนึ่งก็พุ่งเฉียดใบหูของเสวี่ย
หญิงสาวกรีดร้องตกใจ รีบก้าวถอยสองก้าว
พวกเขามองตามทิศทางที่หอกจากมา ก็พบว่าเป็นอานั่วซือที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“อานั่วซือ!”
เสวี่ยแผดเสียงดังลั่น “เจ้าเกือบจะฆ่าข้าเพื่อคนนอกอย่างนาง ข้าคือว่าที่หมอผีประจำเผ่าเชียวนะ!”
เสี่ยวเป่าเริ่มมีน้ำโห เจ้ายังไม่ได้เป็นหมอผีด้วยซ้ำ แต่กลับจองหองพองขนถึงเพียงนี้!
คนเป็นหมอผีควรต้องน่านับถือ ซึ่งนางไม่ใช่
นางคงไม่รู้ตัวว่ากำลังหาเหาใส่หัว เจ้าเป็นแค่ว่าที่หมอผีประจำเผ่า แต่ข้าเป็นองค์หญิงจริงแท้แน่นอน
เสี่ยวเป่าวิ่งกลับเข้าไปในกระโจมท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน ก่อนจะออกมาพร้อมสมุนไพรมากมาย
“นำสิ่งนี้ไปตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงรักษาบาดแผลและห้ามเลือดได้ สิ่งนี้รักษาอาการไอ แก้ปวดฟัน รักษาอาการปวดข้อปวดกระดูก ซึ่งเป็นโรคที่มักจะเกิดอาการปวดเข่ายามที่อากาศหนาวเย็น ส่วนอันนี้คือ…”
เดิมทีนางไม่คิดจะเปิดเผยความสามารถของตน และนางก็ไม่ได้ต้องการขัดแย้งกับเสวี่ยแต่อย่างใด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาหาเรื่องก่อน นางเองก็ไม่รังเกียจที่จะตอบโต้เสวี่ยให้หน้าหงาย
“แล้วก็สมุนไพรพวกนี้ทำให้ผิวสัตว์นุ่มและอบอุ่นขึ้นได้ อันนี้คือหัวไชเท้า มันกินได้ หากฝังไว้ใต้ดินจะเก็บได้หลายเดือน ส่วนเห็ดจะเก็บได้นานขึ้นเมื่อนำไปตากแดด หากต้องการนำมาทำอาหาร เพียงแช่น้ำทิ้งไว้สักพัก จากนั้นก็นำไปทำอาหารได้เลย…”
ชาวเผ่าฉางเซิงเทียนและเผ่าเทียนกู่น่าที่อยู่บริเวณนั้น “…”
ทุกคนจ้องเจ้าตัวเล็กพร้อมอ้าปากค้าง
เรื่องที่นางพูดเมื่อครู่ พวกเขาฟังผิดหรือไม่
อาลู่และอานั่วซือ “…”
เจ้าไม่ได้กำชับกับพวกเราหนักหนาหรอกหรือว่าให้ปิดบังความสามารถของนาง อย่าพึ่งให้ผู้ใดรู้
แม้เสี่ยวเป่าจะโกรธจึงอารมณ์ร้อน แต่นางก็ไม่ได้โง่
สิ่งที่นางต้องระวังคือเสวี่ย ทว่านับตั้งแต่นางหยิบสมุนไพรและอาหารออกมาป่าวประกาศว่านางรู้จักอาหารชนิดอื่นที่กินได้ ผู้คนในเผ่าจะต้องหันมาปกป้องนาง
เพราะคนในเผ่าให้ความสำคัญกับอาหารเป็นอย่างมาก
หมอผีคนปัจจุบันนิสัยค่อนข้างดี ทั้งปู่ของอานั่วซือยังเห็นดีเห็นชอบ แต่เสวี่ยผู้นี้ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นหมอผี ยังแทบไม่เห็นหัวคนอื่น หากนางได้เป็นหมอผีขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไร
“ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือ!”
ท่ามกลางความเงียบจนน่าขนลุก ร่างแก่ชราร่างหนึ่งฝ่าฝูงชนออกมายืนประจันหน้ากับเสี่ยวเป่า
“ท่านหมอผี”
ผู้คนในบริเวณนั้น หรือแม้แต่เสวี่ยที่มาหาเรื่องเสี่ยวเป่าก็ยังให้ความเคารพผู้เฒ่าคนนี้อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าพูดจริงหรือ หญ้าพวกนั้นมีสรรพคุณอย่างที่เจ้าบอก แล้วก็อาหาร…”
“ท่านหมอผี นางโกหกเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
เสียงของเสวี่ยเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกอย่างมันเหมือนจะไปกันใหญ่เกินกว่าที่นางคาดไว้
“นางเป็นแค่เด็ก จะไปรู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร นางโกหก! เห็ดนั่นมีพิษ มีคนเคยกินแล้วตาย ลืมกันหมดแล้วหรือ”
หลังจากได้ยินคำเตือนของเสวี่ย หลายคนเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป บ้างก็เริ่มสังเกตว่าเห็ดมันคุ้น ๆ
“จริงด้วย หลินตายเพราะกินสิ่งนี้”
“มันมีพิษ กินไม่ได้!”
พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เสวี่ยก็ปลุกปั่นผู้คนในเผ่าอย่างรวดเร็ว กระยิ้มกระย่องในใจ เป็นเจ้าที่มอบโอกาสนี้ให้ข้าเองกับมือ!
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาดุร้ายจากทุกคน แต่เสี่ยวเป่าก็ไม่ตื่นตระหนกสักนิด
“เห็ดบางชนิดมีพิษจริง”
เสี่ยวเป่ายังพูดไม่จบ เสวี่ยก็รีบแทรกขึ้นมาทันที “เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งนี้มีพิษ แต่ก็ยังจะสนับสนุนให้พวกเรากินมัน เจ้าคิดจะวางยาพิษคนทั้งเผ่าอย่างนั้นหรือ!”
เสี่ยวเป่า “ข้ายังพูดไม่จบ!”
บางคนหลงกลคำยุยงของนางจึงทำท่าจะก้าวเข้าหาเสี่ยวเป่า ทว่า…
“บรู้ว…”
“โฮก!”
เสือ หมาป่า กระทั่งสัตว์ร้ายยักษ์ต่างก็ออกมายืนอยู่ข้างหลังเสี่ยวเป่า ยืนประจันหน้ากับคนในเผ่า
เสวี่ยถอยหลังอย่างตื่นตระหนก เบี่ยงตัวหลบข้างหลังคนผู้หนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่หยุดพูด “อานั่วซือ เจ้าจะเปิดศึกกับคนในเผ่าเพื่อคนนอกอย่างนางน่ะหรือ เจ้ากล้าทรยศเผ่าที่ชุบเลี้ยงเจ้าจนโตถึงเพียงนี้จริงหรือ!”
อานั่วซือเหลือบมองเสวี่ยด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้พวกมันไม่ฟังข้า”
“เหลวไหล เจ้าทำให้หมาป่ายักษ์และสัตว์ร้ายยักษ์เชื่องแล้ว หากพวกมันไม่ฟังเจ้า เหตุใดพวกมันถึงยังเชื่อฟังนาง!”
เพียงเสี่ยวเป่ากวักมือ หมาป่ายักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เดินมาหานางแล้วยื่นหัวให้นางสัมผัส
“ที่เจ้าพูดก็ถูก ตอนนี้พวกมันเชื่อฟังข้า”
เสี่ยวเป่าหยิบเห็ดขึ้นมาอีกหน “เห็ดมีสองประเภท มีพิษและไม่มีพิษ ซึ่งเห็ดที่ข้าเก็บมาล้วนไม่มีพิษ”
เสวี่ย “แค่เจ้าบอกว่ามันไม่มีพิษ มันก็จะไม่มีพิษอย่างนั้นหรือ เจ้าตั้งใจจะวางยาพิษคนในเผ่าเราอย่างแน่นอน!”
“ช่วยเงียบก่อนจะได้หรือไม่ ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าใจร้อนอยากลงโทษข้า อยากฆ่าข้าซะเหลือเกิน หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นภัยต่อเจ้า จึงคิดจะกำจัดข้าเหมือนที่เจ้าเคยผลักศิษย์คนหนึ่งของท่านหมอผีเข้าไปในฝูงสัตว์ร้ายอย่างนั้นน่ะหรือ”
เสวี่ยรีบแก้ตัวเสียงสั่น “เหลวไหล! ข้าไม่ได้ผลักข่าลาเข้าไปในฝูงสัตว์ร้ายเสียหน่อย นางไม่ระวังเองต่างหากเล่า!”
“แต่มีคนเห็นนะ”
“ผู้ใด!”
เสี่ยวเป่า “ดูเจ้าสิ เจ้ายอมรับเองด้วยซ้ำ หากเจ้าถูกใส่ร้ายจริง สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำไม่ใช่การถามว่าผู้ใดเห็น แต่ควรจะเป็นคำปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเจ้าไม่ได้ทำ”
เมื่อทุกคนคิดตามคำพูดเสี่ยวเป่าก็พลันรู้สึกว่าเหมือนจะเป็นจริงอย่างที่นางพูด!
ในตอนนั้นเอง แม้แต่หมอผียังมองเสวี่ยด้วยสายตาจับผิด
“ข้าจำได้ว่าข่าลาก็บอกเช่นนั้น แต่ตอนนั้นเสวี่ยบอกว่าพยายามจะดึงข่าลาแต่ช่วยนางไว้ไม่ทัน ข่าลาจึงตกลงไปท่ามกลางฝูงสัตว์ร้ายจนต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง ข่าลาไม่พอใจที่เสวี่ยช่วยไว้ไม่ได้ จึงตั้งใจใส่ร้ายเสวี่ย”
ยามนั้นเสวี่ยยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ แต่ข่าลาที่กำลังผิดหวังเรื่องความรัก สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ ไม่อาจปักใจเชื่อได้ทันที แต่ทั้งสองยืนกรานในคำพูดของตน หมอผีจึงไม่รู้จะเชื่อผู้ใด
ต่อมาบรรดาผู้ที่ชื่นชอบเสวี่ยต่างช่วยกันยืนยัน พวกเขาจึงไม่ได้พยายามตามหาความจริงและปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
บัดนี้สีหน้าของเสวี่ยไม่สู้ดีนัก นางไม่คิดว่าเสี่ยวเป่าจะพูดเก่งขนาดนี้ ที่ผ่านมานางเป็นคนที่ช่างพูดและเสแสร้งเก่งที่สุดในเผ่านี้!
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีคนเห็น แล้วตอนที่ข่าลาบอกว่าข้าเป็นคนผลัก เหตุใดคนผู้นั้นไม่ออกมาพูดช่วยนางเล่า”
“จริงด้วย เจ้าจะกล่าวหาเสวี่ยลอย ๆ ไม่ได้นะ อีกอย่างนางเป็นคนนอก เหตุใดทุกคนถึงเชื่อคนนอกผู้นี้มากว่าคนในเผ่าอย่างเสวี่ย”
ผู้ที่ชื่นชอบเสวี่ยลุกขึ้นมาปกป้องนาง จ้องเสี่ยวเป่าอย่างดุเดือด
อานั่วซือ “นางเป็นน้องสาวของข้า แล้วก็… คนที่เห็นก็คือข้า”
เขาตะคอกเสียงเย็นชา “ตอนนั้นพวกเจ้าไม่ได้ยอมรับข้าเข้าเผ่า ถึงข้าบอกไป พวกเจ้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี”
เสวี่ยที่เริ่มตั้งสติได้แล้ว “เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้ากับนางเป็นพวกเดียวกัน เจ้ากำลังโกหกช่วยนางเป็นแน่”
เสี่ยวเป่า “เหตุใดเขาต้องช่วยข้าที่เป็นคนนอก พึ่งมาอาศัยในเผ่าได้ไม่กี่วัน แล้วข้าก็ไม่เคยรู้จักเจ้าหรือข่าลามาก่อน เป็นเจ้าที่มาหาเรื่องข้าก่อนเอง ทุกคนก็เห็น และข้ากับอานั่วซือคงไม่เอาเรื่องของเจ้ามาป่าวประกาศ หากเจ้าไม่ได้มาหาเรื่องข้าก่อน ฉะนั้นทุกคนลองเดาดูสิว่าข้ารู้เรื่องของข่าลาได้อย่างไร”
ผู้คนในเผ่าเริ่มสับสนกับคำพูดเสี่ยวเป่า พวกเขาไม่เคยคิดเรื่องที่มันซับซ้อนขนาดนี้มาก่อน
เสี่ยวเป่ากล่าวต่อ “เป็นอานั่วซือที่เล่าเรื่องข่าลากับเสวี่ยให้ข้าฟัง แต่สาเหตุของเรื่องนี้ก็คือขิง”
เสี่ยวเป่าเล่าเรื่องที่เกิดจากขิง “เดิมทีข้าอยากจะเก็บตัวเงียบ ๆ ไม่คิดขัดแย้งกับคนในเผ่า ข้าจึงถามอาลู่กับอานั่วซือว่าท่านหมอผีเป็นคนอย่างไร”
พูดถึงตรงนี้ นางก็หันไปขอโทษหมอผี “ข้าต้องขออภัยท่านหมอผีด้วยนะเจ้าคะ มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรสงสัยท่าน”
แต่หมอผีโบกมือไม่ถือสานาง เทียบกับพวกคนสมองทึบในเผ่าแล้ว หมอผีอย่างเขาอยู่มานาน ผ่านโลกมาเยอะ จึงเข้าใจความกังวลของเสี่ยวเป่า
“ต่อมาอานั่วซือได้เล่าเรื่องเสวี่ยกับข่าลาให้ข้าฟัง ทั้งยังเตือนให้ข้าระวังเสวี่ย ก่อนที่นางจะมาหาเรื่องข้าในวันนี้ ข้าตั้งใจจะเก็บตัวเงียบ ๆ พยายามหลีกเลี่ยงนางให้มากที่สุด แต่ผู้ใดจะคิดว่านางจะมาสร้างปัญหาให้ข้าถึงหน้าประตู ข้าหาได้รู้ล่วงหน้าเสียหน่อยว่านางจะมาหาเรื่องข้าเมื่อใด ทุกคนคิดว่าข้าขอให้อานั่วซือเล่าเรื่องนางกับข่าลาให้ฟังเพื่อจะใช้เล่นงานนางหรือเจ้าคะ”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แสร้งทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้น ดูน่าสงสารกว่าเสวี่ยเสียอีก
“ข้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง เหตุใดข้าถึงเอาสิ่งของไปแลกหนักสัตว์ไม่ได้ ก็ข้ากลัวหนาว ข้าจึงเอาของไปแลกหนังสัตว์มาไว้ใช้ห่มนอน หากข้าไม่เอาของไปแลก พวกเขาจะยอมให้หนังสัตว์แก่ข้าหรือ
อีกอย่างนี้มันเรื่องของใครของมัน แต่เหตุใดเสวี่ยถึงกล่าวหาข้าที่เอาของของตนเองไปแลกหนังสัตว์มาใช้เพื่อความอยู่รอดว่าเป็นการแล้งน้ำใจ การที่ข้าไม่มอบของส่วนตัวให้ส่วนรวมเป็นความผิดร้ายแรงมากหรือเจ้าคะ หรือว่าพวกท่านทุกคนล้วนมอบของที่หามาได้ด้วยตนเองให้ส่วนรวมอย่างนั้นหรือ ที่แท้เป็นข้าที่โง่เขลา ไม่รู้ความเองจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
คิดจะเสแสร้งทำตัวน่าสงสารใช่หรือไม่ เช่นนั้นมาดูกันว่าผู้ใดจะเสแสร้งเก่งกว่ากัน!
ฟังนางพูดจนจบ คนในเผ่าพลันรู้สึกละอาย
ผู้ใดบ้างจะไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว หากให้ส่วนรวมหมดพวกเขาจะเอาอะไรกินอะไรใช้
หมอผียังถามเสวี่ยด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “นี่คือสิ่งที่เผ่าสอนเจ้าหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่ามีกฎเช่นนี้ในเผ่าเราด้วย”
ทรัพย์สินส่วนรวมของเผ่าคือสิ่งที่ได้กลับมาจากการออกล่าร่วมกัน สิ่งใดที่หามาได้ด้วยตนเองนอกเหนือเวลานั้นถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ที่เผ่านี้มีกฎบังคับให้ผู้คนมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้ส่วนรวมตั้งแต่เมื่อใดกัน