เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 499 อันตรายยามค่ำคืน
บทที่ 499 อันตรายยามค่ำคืน
“พวกคนข้างนอกจะชอบเจ้านี่หรือ”
พวกเขามองดูเสื้อผ้าที่เสี่ยวเป่าสวมใส่ที่ดูดีกว่าของพวกเขามิรู้กี่เท่า
เสี่ยวเป่า “ผู้คนข้างนอกอาจไม่สนใจเนื้อผ้าของพวกเจ้า แต่ฝ้ายปุยเมฆนี้จะต้องมีคนชอบไม่น้อยแน่”
หมอผีรู้สึกเบาใจที่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น
ทว่า…
“นอกจากสิ่งนี้ พวกเจ้ายังมีข้าวของอย่างอื่นอีกหรือไม่ การมายังฉางเซิงเทียนมันอันตรายเกินไป หากว่าไม่คุ้มค่า พวกคาราวานก็คงไม่มา”
หมอผีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “สีย้อมผ้าพอได้หรือไม่ สีย้อมผ้าของพวกข้าสีไม่ตกด้วยนะ”
พวกเขาใช้ดอกหญ้าในการย้อมสีผ้าฝ้าย มิหนำซ้ำหญ้าชนิดนี้ยังให้สีของดอกที่แตกต่างกันออกไป เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่ทำให้สีตกทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ
จากนั้นหมอผีก็พาเสี่ยวเป่าไปดูข้าวของชิ้นอื่น ๆ และเจอเขากับเครื่องเทศชนิดหนึ่ง เป็นกลิ่นของสนที่ต้าเซี่ยไม่มี
ไม้พวกนั้นถูกพวกเขานำไปทำเป็นเชื้อเพลิงด้วย
เสี่ยวเป่า “ไม้นั่นก็ใช้แลกเปลี่ยนได้นะ”
อีกอย่างราคาของมันก็คงไม่น้อยทีเดียว เครื่องเทศเป็นสินค้าหรูหรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ว่า…
“ไม้นั่นค่อนข้างมีราคา แต่ว่าพวกเจ้าอย่าได้ตัดไม้ทำลายป่าเพียงเพราะความโลภเชียว หากว่าผืนป่าถูกทำลายจนไม่เหลือจะต้องถูกเทพฉางเซิงเทียนลงโทษแน่”
หมอผีตื่นตัวในทันที
“พวกข้าทราบแล้ว”
“ไม้ชนิดนี้ถ้าหากมีเยอะ พวกเจ้าจะตัดมาบ้างก็ได้ แต่จำไว้ว่าต้องปลูกต้นกล้าทดแทนด้วย”
เสี่ยวเป่าไม่พบสิ่งของน่าสนใจอีก เมื่อนางกลับไปแล้ว อานั่วซือก็กลับมาพร้อมกับคนเฒ่าคนแก่ที่พิการ อีกทั้งยังนำเถาวัลย์เส้นหนากลับมาเป็นจำนวนมาก
นางสอนให้คนเหล่านี้ต้มเถาวัลย์สีเขียวเพื่อยืดอายุการใช้งาน
ตราบใดที่ไม่ใช่ทักษะจำพวกอาวุธที่อาจสั่นคลอนต้าเซี่ยในภายหลัง เสี่ยวเป่าก็ไม่รังเกียจที่จะถ่ายทอดวิชาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดำรงชีวิตให้
เกือบทุกคนในแถบชนบทของต้าเซี่ยต่างก็รู้กลวิธีในการทอตะกร้า
ทว่าผู้คนที่นี่ใช้ถุงหนังสัตว์ในการบรรจุข้าวของ
นอกจากจะสิ้นเปลืองหนังสัตว์โดยใช่เหตุแล้ว ยังจุของได้นิดเดียว
พวกเขาเองก็เห็นตะกร้าของเสี่ยวเป่าที่อยู่ด้านนอกกระโจมเช่นเดียวกัน หากว่ามีตาก็ต้องเห็นถึงประโยชน์ของมัน
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเป่าจะสอนวิธีทอตะกร้า พวกเขาต่างก็รู้สึกขอบคุณนางด้วยความซาบซึ้งใจ
หากว่ามีเจ้าสิ่งนี้ พวกเขาก็จะสามารถนำไปแลกเป็นเสบียงกับชนเผ่าอื่นหรือแม้แต่กับคนบางกลุ่มในเผ่าของตนเอง หรืออย่างแย่ที่สุดก็ยังนำไปใช้เก็บของป่าได้
หนังสัตว์เป็นของหายาก พวกเขามิอาจใช้หนังสัตว์ที่ได้จากการล่าทุกครั้ง และแน่นอนว่ายิ่งทำใจไม่ได้หากต้องนำมาทำเป็นเข็มขัด
เถาวัลย์นี้ช่างมีประโยชน์จริง ๆ
ฟ้ามืดแล้ว บรรดาผู้คนก็เริ่มทยอยกลับออกไป
อานั่วซือพุ่งตัวมาหานางราวกับสุนัขตัวใหญ่ พลางจ้องตาปริบ ๆ
“มองอะไรของเจ้า”
นางเผลอพูดภาษาถิ่นออกไปโดยไม่รู้ตัว
อานั่วซือ “???”
สำเนียงประหลาดนัก
“ข้าหิวแล้ว”
“หิวก็ไปทำอะไรกินสิ”
เสี่ยวเป่า “ก็ได้ แต่ข้าเบื่อเนื้อย่างแล้ว ข้าอยากกินน้ำแกงเนื้อ เจ้ามีหม้อหรือไม่”
อานั่วซือลุกขึ้นอย่างว่องไว “ข้าจะไปหามาให้”
ชายหนุ่มกระตือรือร้นมากทีเดียวหากว่าเป็นเรื่องกิน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับหม้อดินเผาสีเหลืองหนึ่งใบ
“เจ้าไปเอามาจากไหน”
เสี่ยวเป่าถามอย่างสงสัย
อานั่วซือ “ข้ายืมมาจากผู้เฒ่า”
ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าของหม้อใบที่ถูกยืมจามออกมาขณะอยู่ภายในถ้ำของตน จากนั้นก็ตามด้วยเสียงสาปแช่ง
“ไอ้เจ้าลูกหมา หากทำหม้อดินของข้าแตกล่ะก็ ข้าจะหักขาเจ้าทิ้งเสีย!”
ทางด้านเสี่ยวเป่าก็ตั้งหม้อและต้มน้ำเป็นที่เรียบร้อย
อานั่วซือรับหน้าที่หั่นเนื้อและหัวไชเท้า ส่วนเสี่ยวเป่ารับผิดชอบเรื่องการต้ม
เขาเชื่อฟังทีเดียว มิหนำซ้ำยังทำตามคำสั่งทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็ง
เพียงแต่เนื้อติดกระดูกในครั้งนี้ทำให้เขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก
แบบนี้มันจะอร่อยหรือ
ทว่าหลังจากนั้น…
เขาก็ต้องถอนคำพูด
หม้อที่เต็มไปด้วยเนื้อ ใส่หัวไชเท้าลวกและเห็ด…
ทันทีที่สุกจนได้ที่กลิ่นหอมก็พวยพุ่งออกมา
อานั่วซือนั่งยองตรงหน้าหม้อพร้อมกับตาที่เป็นประกายราวกับสุนัขตัวโต พลางเติมฟืนลงในเตาที่เรียบง่ายอย่างรู้งานโดยที่เสี่ยวเป่าไม่ต้องเหนื่อยบอก
กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำเอาชาวเทียนกู่น่าที่กลับจากล่าสัตว์ต้องกลืนน้ำลาย
ทว่าอานั่วซือที่ยังไม่ได้ลิ้มลองหวงอาหารของตัวเองน่าดู ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้กินก่อนเขาเป็นอันขาด!
‘ยกเว้นนางไว้หนึ่งคน’
ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนทำอาหาร หากว่าไม่แบ่งให้ แล้วต่อไปนางไม่ทำให้กินอีกจะทำเช่นไร
เสี่ยวเป่ามิล่วงรู้ความเจ้าเล่ห์ของเขา หลังจากที่กล่าวทักทายชาวเทียนกู่น่าแล้ว ก็บอกให้พวกเขายกหม้อของตัวเองมาปรุงอาหาร รวมทั้งแบ่งปันส่วนผสมและเครื่องปรุงรสอื่น ๆ
อานั่วซือเจริญอาหารยิ่ง อีกทั้งชาวเทียนกู่น่าก็กินจุไม่น้อย หม้อใบนี้จึงใหญ่ไม่พอเลี้ยงคนจำนวนมาก จะดีกว่าหากให้พวกเขาลงมือทำเอง
หลังจากถูกปรนนิบัติรับใช้ในพระราชวังอยู่หลายปี มาตอนนี้ต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนางก็มิได้รังเกียจเลยสักนิด ทั้งยังไม่รู้สึกลำบากที่ต้องหุงหาอาหารกินเอง…อ้อ รวมเจ้าสุนัขตัวโตนี้ด้วย
ถึงอย่างไรหลายสิ่งก็จำเป็นต้องให้เขาช่วยจัดการดูแล เลี้ยงดูเพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไร
แต่หากจะขอให้นางทำอาหารให้คนอื่น ก็ดูจะทำลายภาพลักษณ์ที่สง่างามในฐานะองค์หญิงเพียงคนเดียวแห่งต้าเซี่ยไปเสียหน่อย อีกอย่างนางก็คร้านที่จะทำด้วย
ทำอาหารให้คนตั้งมากมายขนาดนั้น เด็กผู้หญิงอย่างนางเนี่ยนะ
ชาวเทียนกู่น่ากลับมาพร้อมกับหม้อดินเผาขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าที่พวกเขาใช้อยู่ในตอนนี้ ล้วนเป็นของที่แลกมาจากต้าเซี่ยทั้งสิ้น
ขณะที่พวกเขากำลังเติมน้ำและเตรียมที่จะปรุงอาหารกันอย่างแข็งขัน หม้อของเสี่ยวเป่ากับอานั่วซือก็พร้อมให้ลิ้มลอง
น้ำแกงร้อนทำให้เสี่ยวเป่าต้องกินช้า ๆ ท่วงท่าดูอ่อนช้อยสง่างาม
นี่เป็นลักษณะนิสัยที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อยในช่วงเวลาตลอดหลายปี ดูมีชีวิตชีวากว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบรรดาพระชายาในวังหลวง แต่เมื่อเทียบกับชาวเผ่าที่ดูหยาบกระด้างเหล่านี้… เรียกได้ว่าสง่างามแบบที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกระดากอายเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่นอานั่วซือ
เขารีบร้อนกินจนลืมวิธีจับตะเกียบที่เสี่ยวเป่าเคยสอน จัดการปักตะเกียบลงในชามและยกซดจนปากเต็มไปด้วยคราบมัน!
เสี่ยวเป่า : …มูมมามเหลือเกิน
หากว่าเยว่หลีได้เห็นคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับตนเองกินเหมือนสุนัขเช่นนี้จะใจสลายหรือไม่นะ
“ค่อย ๆ กินก็ได้ ไม่มีใครแย่งเจ้าเสียหน่อย”
อานั่วซือพูดพร้อมกับอาหารเต็มปาก “ก็มันอร่อยนี่”
“ใช้ตะเกียบ!”
น้ำเสียงฟังดูน่ากลัวทีเดียว
อานั่วซือ “….อื้อ”
จากนั้นก็หยิบตะเกียบอย่างไม่เต็มใจนัก ท่าทางคีบเนื้อค่อนข้างทุลักทุเล
ใครเป็นคนคิดค้นท่านี้กัน ไม่เห็นหรือว่ามันเสียเวลากิน!
ชาวเทียนกู่น่ามองมาที่พวกเขา เห็นอานั่วซือราวกับสุนัขที่ถูกฝึกให้เชื่อง
ชายหนุ่มคนนั้นมิได้มีท่าทางเช่นนี้ยามที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา
เยือกเย็นและโหดเหี้ยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ล่าสัตว์ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเหมือนสัตว์ป่า
หลังจากกินอาหารเย็น เสี่ยวเป่าก็พาเฮยไป๋อู๋ฉางและเจ้าหมาป่ายักษ์ออกไปเดินเล่น
เจ้าสัตว์ร้ายมิได้ไปด้วยเนื่องจากพวกมันเดินเสียงดังตึงตังเกินไป
ทว่าแม้จะไร้เงาของเจ้าสัตว์ร้ายยักษ์ แต่เด็กตัวน้อยอย่างนางมีสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์เดินตามเป็นพรวน ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องหวาดหวั่น
ไม่เว้นแม้แต่เสวี่ย ทว่านางกลับโกรธยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นเช่นนั้น
เจ้าหมาป่ายักษ์ตาบอดหรืออย่างไร เหตุใดถึงเชื่อฟังคำสั่งของคนนอก!
แต่ทว่าสำหรับชนเผ่าของพวกเขาหมาป่ายักษ์เป็นดั่งสัตว์เทพ นางจึงมิกล้าพูดออกไป ได้แต่จ้องมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาริษยา
หากว่าหมาป่ายักษ์พวกนั้นเชื่อฟังนางบ้างก็คงจะดี
เฮยไป๋อู๋ฉางหันไปมองด้วยรับรู้ได้ถึงแรงอาฆาต และแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย
เสวี่ยรีบซ่อนตัวข้างหลังชายที่มาตามติดตนด้วยความหวาดกลัว
เสี่ยวเป่าลูบหัวพวกมันเบา ๆ พลางเหลือบมองเสวี่ย จากนั้นก็พาพวกมันออกเดินต่อ
เมื่อถึงเวลากลางคืน เสี่ยวเป่าก็เข้านอนพร้อมกับเจ้าเสือยักษ์ทั้งสองภายในกระโจมเช่นเดิม
ค่ำคืนเงียบสงบไร้ผู้คน เสียงลมพัดกลบการเคลื่อนไหวบางอย่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิท
ทันใดนั้น กระโจมของเสี่ยวเป่าก็ถูกดาบกรีดจนฉีกขาดเป็นทางยาว
“จัดการเสือสองตัวนั้นก่อน”
ผู้มาเยือนมีสองคน พวกเขามั่นใจในฝีมือการล่าสัตว์ของตนจึงมิได้ใส่ใจเสือสองตัวที่มากับเสี่ยวเป่า
บัดนี้เฮยไป๋อู๋ฉางที่สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายก็ลุกขึ้นยืนและกระโจนเข้าใส่ผู้บุกรุกทันที
ผ้าใบกระโจมถูกกรงเล็บของพวกมันฟันฉับในพริบตา
เสียงคำรามของเสือดังก้องไปทั่วท้องฟ้าอันมืดมิดจนเสี่ยวเป่าสะดุ้งตื่น
เงาดำบุกเข้ามาโดยอาศัยจังหวะที่เฮยไป๋อู๋ฉางวิ่งออกไป เสี่ยวเป่าตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยพลิกตัวหลบฝ่ามือที่เอื้อมมาหวังจะจับตัวนาง จากนั้นก็หยิบถุงใส่ยาพิษออกมาจากความว่างเปล่าและโยนออกไป
“แค่ก ๆ…”
เสี่ยวเป่าอาศัยจังหวะนี้วิ่งหนีอย่างว่องไวจนไม่ทันได้สวมรองเท้า
มือสังหารวิ่งไล่หลังมา พลางเอื้อมมือเกาตัวไม่หยุดหย่อน
มิหนำซ้ำยิ่งเวลาผ่านไป อาการคันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“หยุดนะ เจ้าโยนอะไรใส่ข้า!”
ขณะที่คนผู้นั้นตะโกนลั่น เสี่ยวเป่าก็เผลอเหยียบโดนก้อนหินจนล้มคมำไปข้างหน้าด้วยความเจ็บปวด
มือสังหารวิ่งเข้ามาทันและเอื้อมมือไปหวังจะจับตัวนาง
เสี่ยวเป่าหลับตาปี๋
แต่ทันทีที่ก้มตัวลง หอกด้ามหนึ่งก็พุ่งปักเข้าที่ไหล่จนซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
เสี่ยวเป่าหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นอานั่วซือ
เขายืนบนหลังของเจ้าหมาป่าโดยมีฝูงหมาป่ายักษ์อยู่เบื้องหลัง
หมาป่ายักษ์เข้าโอบล้อมในทันที
ไม่นานหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง ชาวเผ่าก็ถือคบเพลิงและรีบมายังที่เกิดเหตุ
อานั่วซืออุ้มเสี่ย0วเป่าที่ล้มลงบนพื้นขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงราวกับสัตว์ป่าจ้องมองคนทั้งสามที่ถูกหมาป่ายักษ์ขย้ำอย่างเยือกเย็น
เสี่ยวเป่าหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นอานั่วซือ
เขายืนบนหลังของเจ้าหมาป่าโดยมีฝูงหมาป่ายักษ์อยู่เบื้องหลัง
หมาป่ายักษ์เข้าโอบล้อมในทันที
ไม่นานหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้อง ชาวเผ่าก็ถือคบเพลิงและรีบมายังที่เกิดเหตุ
อานั่วซืออุ้มเสี่ยวเป่าที่ล้มลงบนพื้นขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงราวกับสัตว์ป่าจ้องมองคนทั้งสามที่ถูกหมาป่ายักษ์ขย้ำอย่างเยือกเย็น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
การมาถึงของหัวหน้าเผ่าทำให้คนผู้นั้นรู้สึกโล่งใจ
พวกเขาถือคบเพลิงเข้าไปใกล้และเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยทั้งสามซึ่งเป็นสมาชิกในเผ่า หนึ่งในนั้นอาการหนักทีเดียว เลือดท่วมไปทั้งตัว ทั้งยังใช้เล็บเกาตัวเองไม่หยุดราวกับคนบ้า ดูน่าสะอิดสะเอียนยิ่ง
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ใบหน้าของหัวหน้าเผ่าก็ย่ำแย่ขึ้นมาทันใด