เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 5 บิดาไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว (รีไรท์)
บทที่ 5 บิดาไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว (รีไรท์)
บทที่ 5 บิดาไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว (รีไรท์)
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่าเข้ามาในวังหลวง นางก็เอาแต่นั่งอยู่ตรงธรณีประตูแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก โดยหวังว่าจะได้พบกับบิดาของตนเองในสักวัน
ทว่านางก็ต้องผิดหวัง ผ่านมาหลายวันแล้ว นางยังไม่ได้เจอบิดาเลย
โครก~!
ท้องร้องคำราม ปากเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าค่อย ๆ คว่ำลง ไม่นานดวงตากลมโตคู่นั้นก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ไม่ต่างจากลูกสุนัขน่าเวทนาตัวหนึ่งที่ถูกทิ้ง
“องค์หญิงของเรายังรอฝ่าบาทอยู่อีกหรือ”
เสียงปริศนาดังขึ้น เสี่ยวเป่าหันกลับไปมอง จึงพบว่าเป็นนางกำนัลที่นำอาหารมาให้ตน
วันแรก ๆ นางได้กินดีอยู่ดี อิ่มหมีพีมันอยู่หรอก ทว่าตั้งแต่วันที่สาม เสี่ยวเป่าก็พบว่าอาหารที่พวกเขานำมาให้ล้วนเย็นชืด แต่ตราบใดที่ยังกินได้ก็พอใจมากแล้ว นางไม่เคยจู้จี้จุกจิกกับอาหารเลยสักครั้ง
สิ่งที่มากเกินไปคือเช้านี้ อาหารที่วังนำมาให้นางล้วนเป็นของเน่าเสีย นางจะทานได้อย่างไร เสี่ยวเป่าจึงหิวมาจนถึงตอนนี้
“นึกว่าจะเป็นไข่ทองคำ*[1] ที่ไหนได้ กลับไม่เห็นฝ่าบาทมาประทับที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว โชคไม่ดีจริง ๆ ที่พวกเราต้องมาคอยส่งอาหารให้เจ้าทุกวัน”
นางกำนัลกลอกตาใส่เด็กหญิง นางโยนหมั่นโถวในมือลงพื้นแล้วกล่าวถ้อยคำดูถูกออกมา
“กินซะสิ องค์หญิงน้อย”
แม้ปากจะเรียกองค์หญิงน้อย แต่นางกลับไม่มีความเคารพสักกระผีกเดียว ซ้ำยังทำท่าดูถูกเหยียดหยามไม่ไว้หน้า
เสี่ยวเป่ามองอาหารที่นางกำนัลโยนมาก็พบว่าเป็นหมั่นโถวก้อนแข็ง ๆ นางหยิบมันไว้ในมือแล้วบิออก พินิจดูแล้วก็พบว่ามันแข็ง กัดเพียงครั้งเดียวฟันคงได้หัก
เด็กน้อยโกรธมาก นางพองแก้มป่องเหมือนปักเป้า “ข้ากินมันไม่ได้หรอกนะ!”
เสี่ยวเป่าผิดหวังจนน้ำตาพานจะไหลอยู่ร่อมร่อ ดวงตาแดงก่ำราวกับกระต่ายตัวน้อย นางลุกขึ้น ชนนางกำนัลจนก้นจ้ำเบ้าแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลคนนั้นกรีดร้อง รีบลุกขึ้นจากพื้น พล่ามสาปแช่งพลางมองหาเสี่ยวเป่า แต่ไร้วี่แววของเด็กน้อยให้เห็นอีก
นางพลันตื่นตระหนกขึ้นมา หากเด็กน้อยคนนี้เข้าไปในสถานที่ที่นางไม่สมควรเข้าไปเล่า…
เมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนผู้ต่ำต้อย ใบหน้าของนางก็ซีดเซียว มือรีบหยิบของกินที่ตกอยู่บนพื้นแล้ววิ่งหนีไป ตอนนี้ นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ถ้านางไม่ตะกละ กินอาหารขององค์หญิงน้อยจนหมด นางคงไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นนี้
ผู้ใดจะไปคิดว่านางเด็กน้อยหน้าตานุ่มนิ่มคนนี้จะมีความร้ายกาจถึงเพียงนี้
แต่สิ่งที่นางเกลียดยิ่งกว่าคือ สถานะที่แท้จริงของเสี่ยวเป่า
“เหตุใดถึงได้ชอบก่อความวุ่นวายจังเลยนะ! เหอะ รู้อย่างนี้ปล่อยให้อดตายอยู่ข้างนอกเสียก็ดี”
นางกำนัลโกรธมากเสียจนสบถออกมา แต่นางก็เตรียมข้อแก้ตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นเพราะองค์หญิงน้อยต้องการหลบหนีออกไปเองด้วยความซุกซน นี่ไม่ใช่ความผิดของนางอย่างแน่นอน
เสี่ยวเป่าวิ่งหัวทิ่มหัวตำ พระราชวังใหญ่เกินไปและนางก็เพิ่งมาที่นี่ หลังจากวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ตาก็ลายไปหมด
นางไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน
แต่ไม่นานนัก เสี่ยวเป่าผู้หิวโหยจนท้องร้องก็ได้กลิ่นหอมหวานลอยผ่านจมูกที่ไวเป็นพิเศษ มันหอมยวนเย้าเสียจนน้ำลายไหลออกมา
เสี่ยวเป่าใช้จมูกน้อย ๆ สูดกลิ่น ดวงตายังคงแดงก่ำ ขนตางอนงามยังคงชื้นน้ำตา
นางก้าวขาสั้น ๆ ไปตามกลิ่นหอม วิ่งมั่วไปเรื่อย ๆ จนเห็นตำหนักอันโอ่อ่า
ตอนนี้เป็นยามราตรีกาล ข้างในจุดโคมไฟแล้ว บริเวณรอบ ๆ ก็เงียบสงบ
เสี่ยวเป่าหิวมากในขณะนี้ นางไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมตำหนักอันสวยตระการตา เด็กน้อยเดินเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง ก่อนจะใช้สองมือเล็ก ๆ แง้มประตู พลันเห็นสิ่งของมากมายวางอยู่บนโต๊ะ อาหารหลากหลายจานหน้าตาน่าทานและสวยงาม
ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเปล่งประกายระยิบระยับ
เด็กหญิงแอบมองไปรอบ ๆ
ไม่มีใครอยู่ที่นี่!
“เสี่ยวเป่าหิวมาก แอบกินสักหน่อยคงไม่เป็นไร”
เด็กหญิงพึมพำเบา ๆ ก่อนจะย่องเข้าไปด้วยขาสั้นป้อม
สุดท้ายนางก็ทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป เด็กหญิงรู้สึกผิดอยู่มาก ใบหน้างามงดปรากฏริ้วแดงพาดผ่านด้วยกำลังประหม่า
เสี่ยวเป่าปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ เจ้าตัวน้อยต้องยืนบนเก้าอี้เพื่อหยิบของบนโต๊ะมาดู
นางหยิบแป้งทอดชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือมาแล้วนั่งลงกินด้วยความหิว
กัดเพียงครั้งเดียว ดวงตาของเด็กหญิงก็สว่างวาบ แก้มขาวนวลราวหิมะพลันเปล่งปลั่งขึ้นมา สีหน้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
อร่อยมาก!
แม้ว่านางจะอายุเพียงสามขวบ แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็กินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้อาหารหกแม้แต่คำเดียว
หลังจากกินขนมแป้งทอดติดต่อกัน นางก็กระหายน้ำเล็กน้อย เสี่ยวเป่ามองไปที่กาน้ำชาบนโต๊ะ ยืนบนเก้าอี้แล้วเขย่งเท้าเอื้อมไปหามัน
มือของเจ้าตัวน้อยเพิ่งแตะที่จับของกาน้ำชาเท่านั้น กระบี่เล่มยาวทอแสงเย็นเยียบก็ทาบลงมา จ่อที่คอของนางอย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง ศีรษะค่อย ๆ หันไปมองทางด้านข้าง ก็พบกับดวงตาสีเข้มแลดูมืดมนคู่หนึ่ง
ทันใดนั้นนางก็สะดุ้งตัวโยน ก่อนจะสะอึกออกมา
ชายคนนี้ถือกระบี่ยาว จ่อคอของเสี่ยวเป่า เขาสวมอาภรณ์สีดำตัวบาง ปล่อยผมสีเดียวกันสยายลงมาราวกับน้ำหมึก ใบหน้าหล่อเหลาเผยกลิ่นอายดุร้ายเย็นชา ดวงตาเรียวรีคู่นั้นจดจ้องไปที่เสี่ยวเป่า เด็กหญิงผู้กล้าเข้ามาขโมยอาหารในห้องบรรทมของเขาผู้เป็นถึงฮ่องเต้
สายตาจับจ้องไปที่คอของเด็กน้อย มันเล็กมากจนเขามั่นใจว่าตนสามารถบีบคอเด็กคนนี้ให้ตายได้ด้วยมือข้างเดียว
หนานกงสือเยวียนปล่อยความคิดอันดำมืดแล่นผ่านไปขณะจ้องมองนางอย่างเย็นชา
“เจ้ามาจากตำหนักใด?”
พูดไปก็ขมวดคิ้วไปว่า คนในวังรับตัวนางกำนัลเข้ามาตั้งแต่อายุยังน้อยเพียงนี้เลยหรือ?
ฆ่าทิ้งดีหรือไม่?
ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี เขาไม่ได้นอนมาสองสามวันแล้ว ในใจจึงเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เสี่ยวเป่ารู้สึกกลัวชายคนนี้ นางได้แต่มองเขาทั้งน้ำตา
“ข้า…ข้าไม่รู้”
หยดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เสี่ยวเป่ามาหาบิดา แต่บิดาไม่สนใจเสี่ยวเป่า… เขาไม่ต้องการข้าอีกต่อไป ข้าหิวมาก ขอโทษที่กินอาหารของท่านนะเจ้าคะ”
หนานกงสือเยวียนเข้าใจคำพูดที่ไม่ต่อเนื่องกันของเด็กน้อย แล้วจู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
บุตรสาวของเขาที่เพิ่งถูกพาตัวกลับมาอายุเท่าไหร่แล้วนะ?
เขาได้ยินจากหลินเจิ้งชิงมาว่าดูเหมือนจะอายุสามขวบ
เมื่อมองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้า หนานกงสือเยวียนก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าว่างเปล่า
นี่อาจเป็นบุตรสาวบ้านนอกของเขาก็เป็นได้
“บิดาของเจ้าไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว” จู่ ๆ หนานกงสือเยวียนก็เอ่ยวาจาไร้หัวคิดออกมา
เขามองเด็กหญิงที่กำลังมองตอบกลับมาด้วยความงุนงง
หลังจากที่เสี่ยวเป่าตั้งสติได้ จู่ ๆ นางก็อ้าปากกว้างแล้วร้องออกมาเสียงดัง
“คนโกหก คนขี้โกง บิดาไม่ต้องการเสี่ยวเป่าได้อย่างไร ท่านแม่บอกว่าขอแค่เสี่ยวเป่าเชื่อฟังผู้ใหญ่ บิดาก็จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน ท่านลุงหลินก็บอกว่าบิดาไม่ว่าง ฉะนั้น ไม่…ไม่ใช่ว่าบิดาไม่ต้องการเสี่ยวเป่าสักหน่อย…”
[1] ไข่ทองคำ หมายถึง นางเอกเป็นตัวนำโชค