เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 507 หาความปกติจากสองคนนี้ไม่ได้เลย
บทที่ 507 หาความปกติจากสองคนนี้ไม่ได้เลย
แม้ตอนนี้อานั่วซือจะยังเอาสมองกลับคืนมาไม่ได้ แต่เวลากินเขาก็ละทิ้งสมองไปจนหมดสิ้น
ลืมเจ้าเยว่หลีนั่นไปก่อน ตอนนี้เขาสนใจแค่ว่ามีของกินอร่อย ๆ หรือไม่
ผ่านไปไม่นาน อาหารจากในครัวก็ถูกยกเข้ามา เรียกได้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ยังคงกระฉับกระเฉง ส่วนคนอื่น ๆ เข้านอนกันหมดแล้ว
อานั่วซือกินอาหารอย่างมูมมาม
เขาชอบใช้มือ เนื้อติดกระดูกจะใช้ตะเกียบกินได้อย่างไร มันไม่อร่อย
พวกบ่าวรับใช้ลอบมองชายหนุ่มรูปงามกินอาหารอย่างดุเดือด
เหล่านางกำนัล : …หัวใจถึงกับหยุดเต้นกะทันหัน
อานั่วซือดูเหมือนกับเยว่หลีแทบจะทุกอย่าง แค่ดูแปลกกว่า แต่บางครั้งความหล่อเหลาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีผิวและเชื้อชาติ
คนสองคนรูปร่างหน้าตาเหมือนแต่นิสัยต่าง ทว่าทั้งคู่ล้วนดูดีไม่แพ้กัน
จนสาวน้อยทั้งหลายอดเขินใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้ มองแล้วมองอีกไม่มีเบื่อ
แต่พอเห็นภาพที่อานั่วซือกินเลอะเทอะมูมมามขนาดนั้น พวกนางถึงกับผงะ น่าเสียดายความหล่อจริง ๆ เจ้าคิดว่าหน้าตาดีแล้วจะทำตัวน่าเกลียดอย่างไรก็ได้หรือ!
อานั่วซือไม่สนใจสายตาของเหล่านางกำนัล ในสายตาเขามีเพียงอาหารเท่านั้น
ก็มันอร่อยนี่นา คนคนเดียวกินแกะครึ่งตัว ยังไม่รวมขาหมูชิ้นใหญ่อีกขา
กินเยอะเสียจนคนทำอยากจะมองค้อน
อานั่วซือกินจนหนำใจแล้วก็หยัดกายขึ้นหมายจะไปหาเสี่ยวเป่า แต่กลับถูกสั่งให้เข้านอน
ชายหนุ่มคว้ามีดสั้นมาไว้ในมือก่อนจะหันไปถามขันทีผู้หนึ่ง “เยว่หลีอยู่ที่ใด”
ขันทีผู้นั้นฟังภาษาที่เขาพูดไม่เข้าใจ ประจวบกับหวาดกลัวมีดในมือ
“ทหาร มีคนจะฆ่าคน!!!”
อานั่วซือ “…”
รีบซ่อนมีดไว้ทันที อย่ามาใส่ร้ายข้านะ!
ถึงแม้… เขาจะอยากฆ่าเจ้าคนไก่อ่อนเยว่หลีจริง ๆ ก็ตาม
เมื่อไม่มีคนคอยจับตาดูอานั่วซือแล้ว เขาจึงพยายามหาทางไปเอง แต่ไปได้ไม่ถึงไหนก็ถูกจับได้เสียก่อน
“องค์หญิงสั่งไว้ว่าก่อนเข้านอนต้องพาท่านไปอาบน้ำ”
คนมาใหม่คราวนี้เป็นกุนซือที่รู้ภาษาของชาวเผ่าฉางเซิงเทียน จึงมาทำหน้าที่เป็นล่ามให้เขา
อานั่วซือค้านหัวชนฝา “ข้าไม่อาบ ปล่อยข้า!”
กุนซือ “องค์หญิงตรัสว่าหากไม่อาบน้ำก็ห้ามเข้าใกล้นางอีก เพราะองค์หญิงไม่อยากอยู่ใกล้คนตัวเหม็น”
อานั่วซือหยุดดิ้น ก่อนจะยืนขาเดียวแล้วพยายามถอดรองเท้า ยกเท้าขึ้นมาดม
ตอนที่เขาอยู่ภูเขาเขาเหมันต์ แม้ไม่อาบน้ำเท้าก็ไม่เห็นจะเหม็นเลย!
เดี๋ยวนะ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สวมรองเท้านี่นา นั่นเท่ากับว่านี่เป็นความผิดของรองเท้า!
“สภาพอากาศที่นี่แตกต่างจากที่ภูเขาเหมันต์ ต่อให้ท่านไม่สวมรองเท้า ตัวท่านก็ยังเหม็นเหงื่อ”
สุดท้ายเขาก็ต้องยอมจำนนด้วยความจำใจ
กระทั่งถึงยามที่ต้องสัมผัสน้ำเขาก็ยังยื้อยุดอยู่นาน แต่หลังจากได้แช่ในอ่างแล้ว
เขาติดใจจนไม่อยากลุกออกจากอ่างเลย ซ้ำยังเอ่ยปากขอน้ำร้อนอีกถังเมื่อน้ำในอ่างเริ่มเย็น!
กุนซือปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบตึง “ถึงเวลาที่ท่านควรเข้านอนแล้ว”
พูดจบก็หมุนตัวจากไปทันที
อานั่วซือ : …
แต่เขายังอยากแช่น้ำต่อ!
ทว่าสุดท้ายอานั่วซือก็ต้องไปนอน
เช้าวันใหม่ หลังจากตื่นนอน เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกว่าอากาศเริ่มร้อนขึ้นนางจึงทำวุ้นเย็นมากินกับเยว่หลี
นางชอบวุ้นเย็นใส่นมเป็นที่สุด หวานเย็นชื่นใจ ทั้งยังใส่ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นางคนเดียวกินหมดชามใหญ่ ๆ ก็ยังได้
เยว่หลีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั่งหลังตรงตักกินของหวานอย่างเชื่องช้า ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่างาม
เพียงแต่ร่างกายดูผ่ายผอมไปสักหน่อย ผิวขาวจนซีดเหมือนคนป่วย ดูบอบบางเสียจนหากเป็นแก้วก็กลัวจะแตกเอาได้ง่าย ๆ ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องเศร้าใจ
ซึ่งเขาก็ป่วยจริง ๆ
ร่างกายเขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่หนาวเย็นอย่างภูเขาเหมันต์ ซ้ำยังบาดเจ็บ แม้จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการเดินทาง ทว่าก็ยังรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัวอยู่ดี
“แค่ก…”
มิหนำซ้ำยังเป็นหวัด
เสี่ยวเป่าลูบขนเสือตัวใหญ่ทั้งห้าตัวที่กำลังกินวุ้นเย็นอยู่ข้างกายนางเล่น ใช่แล้วละ มีเสือห้าตัว ลูก ๆ ของเฮยไป๋อู๋ฉางโตแล้ว แม้ความสามารถจะยังเทียบชั้นกับพ่อของมันไม่ได้ แต่ทางด้านร่างกายนั้นน่าเกรงขามไม่ต่างกัน
“ข้าว่าเจ้าควรกลับไปกินยา”
แต่เยว่หลีก็ยังไออีกสองสามครั้งก่อนจะยกยิ้มอย่างอบอุ่นเหมือนพี่ใหญ่ ทว่าคำพูดของเขากลับอาบยาพิษ
“ข้าไม่เป็นไร ข้าจะอยู่จนกว่าอานั่วซือจะตาย”
เสี่ยวเป่า : …
เจ้าอย่าพูดประโยคชวนขนลุกด้วยใบหน้าแย้มยิ้มได้หรือไม่
ทันใดนั้นลมแรงจากฝ่ามือใหญ่ของคนผู้หนึ่งก็พัดพาเยว่หลีลอยออกไปไกล อานั่วซือนั่งลงแทนที่เยว่หลีทันที คว้าชามผลไม้ตรงหน้ามากินหน้าตาเฉย
เยว่หลีถูกผลักจนตัวกระเด็นไปนอนที่พื้น จึงไม่สามารถรักษาท่าทางสุขุมสง่างามเหมือนเทพเซียนได้อีกต่อไป
เหล่านางกำนัลรีบรุดเข้าไปช่วยพยุงคนลุกขึ้น ช่างน่าสงสารเสียจริง กลัวว่าใต้เท้าผู้นี้จะถูกทำร้ายจนสิ้นใจไปเสียก่อน!
เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแอของคนผู้นี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องอานั่วซือเขม็ง
เป็นไปได้อย่างไร…
ใบหน้าของอานั่วซือ
หรือนี่… นี่สองคนนี้เป็นพี่น้องกันหรอกหรือ แล้วเหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันหนักขนาดนี้!
เสี่ยวเป่าอึ้งจนลืมกิน ก่อนจะหันไปจ้องอานั่วซือหน้านิ่ง
อานั่วซือไม่รู้สำนึกแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเขาเสียหน่อย”
เยว่หลีปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าพร้อมแค่นหัวเราะในลำคอ
แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เจ้าไม่คิดจะฆ่าข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าอยากฆ่าเจ้า”
อานั่วซือที่กำลังตั้งใจกิน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาปวดท้อง และเจ็บแขน
แต่พอก้มมอง เขาก็เห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวหนังของเขา
อานั่วซือคว้ามีดมากรีดลงบนแขนโดยไม่ลังเล เลือดสีสดไหลออกมาพร้อมกับกู่
ทุกคนรีบเบือนหน้าหนี
นั่นมันกู่นี่นา น่าขยะแขยงยิ่ง
อานั่วซือบดขยี้กู่ที่ว่าด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ส่วนที่อยู่ในท้อง เขาก็ขอยาระบายจากเสี่ยวเป่า หลังจากไปเข้าห้องน้ำและกลับมาพร้อมความโล่งสบาย เขายังดูปกติดีทุกอย่าง
เยว่หลีตีหน้านิ่ง
ไข่หนอนกู่ไม่สามารถทำอันใดกับร่างกายเขาได้
ด้านเหล่านางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นตั้งใจว่าจากนี้ไปจะพยายามอยู่ให้ห่างจากเยว่หลีไว้
ให้ตายสิ! สองพี่น้องนี่มันตัวอันใดกันแน่ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เสี่ยวเป่ายังรู้สึกขยะแขยงจึงทนกินต่อไม่ไหว
“เยว่หลี เจ้าช่วยหยุดใช้กู่ของเจ้าได้หรือไม่ ข้าเห็นพวกมันแล้วกินไม่ลงเลย”
เยว่หลีหน้าหงอยพลางไออีกสองครั้ง แต่ก็ยอมพยักหน้าเข้าใจ
ร่างกายของอานั่วซือสมานเร็วมาก หลังจากเลือดหยุดไหล บาดแผลบนแขนก็เริ่มสมานกัน ดูสบายดีเหมือนคนปกติ ทั้งยังถามเสี่ยวเป่าว่าอาหารที่นางไม่กินแล้ว เขาขอได้หรือไม่
เสี่ยวเป่า : …
หาความปกติจากสองคนนี้ไม่ได้เลย!
เมื่อกินต่อไม่ลงแล้ว เสี่ยวเป่าก็ตั้งใจจะพาอานั่วซือออกไปเดินเล่น
ความจริงแล้วนางเองก็คิดถึงเมืองหน้าด่านมาก วันนี้นางสวมชุดสีแดงสะสวย ซ้ำยังสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน ปากแดงฟันขาว แม้ยังมีก้อนกลมบนใบหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางงามน้อยลงเลยสักนิด!
เสี่ยวเป่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมารอพวกเขา ยามผิวขาว ๆ ปะทะกับแสงแดด ผิวนางก็แทบเปล่งประกายได้ เสี่ยวเป่า เยว่หลี และอานั่วซือต่างกันอย่างชัดเจน เมื่อยืนด้วยกันยิ่งทำให้ผิวของอานั่วซือเด่นชัดขึ้น
เพราะได้ยินเสี่ยวเป่าบอกว่าจะไปข้างนอก อานั่วซือจึงสวมกางเกงขายาว เปลือยท่อนบน และเท้าเปล่า ทว่ากลับโดนเสี่ยวเป่าเตะไล่ให้เข้าไปเปลี่ยนชุด
นางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นต่างหน้าแดงไปตาม ๆ กัน เขามันตัวอันตรายต่อจิตใจหญิงสาวจริง ๆ
“เข้าไปสวมเสื้อผ้าดี ๆ ซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วย!”
เสี่ยวเป่าเท้าเอวไล่อานั่วซือกลับเข้าไปในห้อง ดุราวกับแมวสาวกางเล็บแยกเขี้ยว
อานั่วซือ “ไม่เห็นแปลกตรงไหน อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้ายังจะบังคับให้ข้าสวมชุดพวกนั้นไปทำไมกัน!”
ให้เขาสวมกางเกงในตัวเดียววิ่งเล่นท่ามกลางหิมะหนาในภูเขาเหมันต์ก็ได้ แต่มาบังคับให้เขาสวมเสื้อผ้าหลาย ๆ ชั้น คิดจะทำให้เขาร้อนจนขาดใจตาย แล้วให้เจ้าไก่อ่อนนั่นมายึดร่างของเขาไปอย่างนั้นหรือ
เสี่ยวเป่ายืนขวางประตูไว้ “ที่นี่ไม่เหมือนที่นั่น หากเจ้าแต่งตัวเช่นนั้นออกไปข้างนอก คนจะมองว่าเป็นพวกอันธพาล หากเกิดมีสตรีชอบพอเจ้าแล้วมาแกล้งเดินชนจะทำอย่างไร หรือเจ้าอยากมีภรรยาเป็นคนที่นี่สักสองสามคน!”
อานั่วซือ “ไยข้าต้องทำเช่นนั้น ข้าไม่ได้รู้จักพวกเขาเสียหน่อย”
เสี่ยวเป่ากอดอกไม่เอ่ยคำ เยว่หลีที่อยู่ข้าง ๆ ยกพัดปิดปากไอ ก่อนจะหันกลับมากล่าวเสียงอ่อนโยนแต่แฝงเจตนาชั่วร้าย
“หากชายหญิงถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว ไม่แต่งไม่ได้นะ”
เขามองอานั่วซือตั้งแต่หัวจรดเท้า “หรือเจ้าไม่รู้จักคุณธรรมที่บุรุษพึงมี”
อานั่วซือ “ถูกเนื้อต้องตัวแบบใดกัน ข้าเคยกอดนางด้วยซ้ำ เช่นนั้นข้าควรต้องแต่งกับนางด้วยหรือไม่”
อานั่วซือชี้ไปที่เสี่ยวเป่า
ใบหน้าของเยว่หลีพลันมืดครึ้มทันใด
หนานกงสือเยวียนที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ยินเข้าพอดี ใบหน้าจึงเริ่มตึงขึ้นมาทันที
“เจ้าจะแต่งกับผู้ใด”
เมื่อหนานกงสือเยวียนเดินเข้ามา ทุกคนพลันรู้สึกเหมือนมีเมฆดำลอยเข้าปกคลุม
อานั่วซือสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงกระโดดตรงขึ้นไปบนหลังคา นั่งยอง ๆ อยู่บนนั้นราวกับสัตว์ป่า ดวงตาสีม่วงจ้องชายด้านล่างด้วยความระแวดระวัง
หนานกงสือเยวียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็นพลางกัดฟันถามอีกครั้ง “เจ้าจะแต่งกับผู้ใด”
เสี่ยวเป่ารีบดึงชายแขนเสื้อท่านพ่อไว้ “พวกเราแค่ล้อเล่นกันเฉย ๆ เพคะ”
หนานกงสือเยวียนยังคงจ้องอานั่วซือ “เรื่องแบบนี้ควรเอามาพูดเล่นหรือ”
อานั่วซือเอ่ยตอบ “ก็เขาบอกว่าถูกเนื้อต้องตัวกันแล้วจะต้องแต่งงาน เมื่อคราวที่อยู่ภูเขาเหมันต์ ข้าเคยกอดนางตอนช่วยชีวิตนาง มันก็ถือเป็นการถูกเนื้อต้องตัวกันมิใช่หรือ”
เสี่ยวเป่า “นั่นไม่นับนะ ทำไปเพราะสถานการณ์คับขัน”
อานั่วซือยังคงไม่เข้าใจ “สถานการณ์คับขันคือสิ่งใด”
เสี่ยวเป่า “เอาเถอะ ๆ ถ้าเจ้าไม่ลงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่ต้องไปข้างนอกกับข้า”
อานั่วซือกระโดดลงมา เพราะมีดวงตาเย็นเยียบของหนานกงสือเยวียนจับจ้องอยู่ ชายหนุ่มจึงแนบตัวเข้ากับผนังเพื่อเดินผ่านไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปีนเข้าไปทางหน้าต่าง
ให้สวมเสื้อผ้า เช่นนั้นข้าก็จะสวมเสื้อผ้า…
เขาสวมแค่เสื้อลวก ๆ แล้วออกมา เผยให้เห็นหน้าอกหนา แต่ก็ยังไม่สวมรองเท้าอีกตามเคย
“อันนี้มันทำอย่างไร หลายชั้นเกินไป ข้าไม่อยากสวมมันเลย”
ร้อนก็ร้อน ไยจึงยุ่งยากถึงเพียงนี้!
เสี่ยวเป่าตบหน้าผากตนเองพลางกวักมือเรียกให้คนไปช่วยอีกฝ่ายใส่เสื้อผ้า
หนานกงสือเยวียนรีบเข้าไปคว้าตัวบุตรสาวออกมาจากตรงนั้นทันที
กลัวว่ายิ่งบุตรสาวอยู่กับเด็กเหลือขอนั่นนาน รสนิยมของเสี่ยวเป่าจะยิ่งตกต่ำ
เจ้าคนป่าเถื่อนไร้การศึกษา!
เมื่ออานั่วซือแต่งตัวและออกมา ปรากฏว่าเขาสวมชุดสีดำ ตัวสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
ดูดีไม่มีที่ติ
อีกด้านหนึ่งคือเยว่หลีแต่งกายด้วยชุดสีขาว ดูสง่างามสูงส่งราวกับเทพเซียนเหาะเหินใต้แสงจันทร์ ให้ความรู้สึกอ่อนโยนดั่งต้นหลิวพลิ้วลม
สมองแข็งแรง แต่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก
เขายังสูงน้อยกว่าอานั่วซือประมาณหนึ่งฉื่อ
เหอะ… อยากรู้เสียจริงว่ามังกรวารีทมิฬคิดสิ่งใดอยู่ยามแยกวิญญาณ
คนทั้งสองหันมองหน้ากันแวบเดียวก็เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาจ้องกันด้วยสายตาอยากครอบครองอย่างเปิดเผย
คนหนึ่งอยากได้สมอง อีกคนอยากได้ร่างกาย
………………………………………