เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 508 ฟังข้านะ สมองเจ้ามันไม่ใช้งานได้ไม่ดี
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 508 ฟังข้านะ สมองเจ้ามันไม่ใช้งานได้ไม่ดี
บทที่ 508 ฟังข้านะ สมองเจ้ามันไม่ใช้งานได้ไม่ดี
เสี่ยวเป่ากับสองหนุ่ม พร้อมเสือทั้งห้า ย่อมเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน
แต่ที่น่าตื่นตาที่สุดเห็นทีจะเป็นภาพบรรยากาศเมืองหน้าด่านที่เสี่ยวเป่าห่างหายไปแรมปี บัดนี้นางกลับมาแล้ว!
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนเคยเห็นพวกเขา”
“ข้าไม่ได้เห็นเสือตัวนี้มาเกือบปีแล้ว”
“เหตุใดมันเพิ่มจากสองเป็นห้า!”
“ข้าคุ้นหน้าแม่นางน้อยผู้นั้นยิ่งนัก คุณหนูหนานกง ไม่สิ… องค์หญิงกลับมาแล้วหรือ หายไปอยู่ที่ใดนานเป็นปี”
แม้จะห่างหายกันไปนานเป็นปี แต่หลายคนก็ยังจำเสี่ยวเป่าได้
ที่คนในเมืองนี้จดจำนางขึ้นใจไม่ใช่แค่เพราะนางเป็นเทพธิดาตัวน้อย แต่เพราะทุกครั้งที่นางมาที่นี่ นางมักพาเสือตัวใหญ่ตามมาด้วย
ผู้คนในเมืองหน้าด่านมีความกล้าหาญอยู่ในสายเลือด ตอนแรกพวกเขาก็กลัว แต่พอเห็นบ่อยเข้า พวกเขาก็เริ่มปรับตัวให้คุ้นชิน นอกจากจะไม่กลัวแล้ว เด็กบางคนยังแทบจะวิ่งเข้าไปสัมผัสพวกมันด้วยซ้ำ
เพียงแต่ถูกองครักษ์ของเสี่ยวเป่าขวางเอาไว้เสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นที่รู้กันถ้วนทั่วทั้งเมืองหน้าด่านแล้วว่าฝ่าบาทคือผู้ที่นำทัพต้าเซี่ยออกรบชนะซยงหนู และเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากพวกคนชั่ว!
พวกเขาจึงพลอยรู้ตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเป่าไปด้วย ล้วนทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน
ที่แท้องค์หญิงก็เป็นกันเองมาก!
ตอนนี้องค์หญิงที่หายตัวไปนานถึงหนึ่งปีได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ทั้งยังมีเสือคู่บารมีเพิ่มอีกสามตัว
“ท่านยายหวังกำลังตัดเสื้อผ้าอยู่หรือ”
เมื่อเสี่ยวเป่าพบคนคุ้นเคยก็ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป
ตอนนี้ทุกคนรู้จักตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว เมื่อนางทักทาย พวกเขาก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิม
“องค์หญิงท่านกลับมาแล้ว พวกเราคิดว่าท่านไปจากเมืองหน้าด่านแล้วเสียอีก”
เสี่ยวเป่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงหรอก อยู่ที่นี่ข้าคือเสี่ยวเป่า ได้ยินพวกท่านเรียกองค์หญิงแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ”
“ท่านอาหลิว แป้งทอดที่ท่านทำอร่อยที่สุด เหลือให้ข้าด้วย”
หญิงที่ถูกเรียกว่าท่านอาหลิวตื่นเต้นจนพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าว “ได้เลยองค์หญิง ข้าจะเก็บไว้ให้”
พูดจบนางก็รีบเร่งมือทำแป้งทอดให้เสี่ยวเป่า แต่พอเสี่ยวเป่าจะจ่ายเงิน นางกลับไม่ยอมรับ เสี่ยวเป่าไม่ได้มาขอกินเสียหน่อย รับเงินไปเถิด!
ยื้อยุดกันอยู่นาน สุดท้ายก็ต้องรับเงินจากเสี่ยวเป่าอยู่ดี นางยื่นแป้งทอดสองชิ้นให้อานั่วซือ เพราะเห็นว่าเขาอยากกินมันมานาน ส่วนเยว่หลีแบ่งกับนางคนละครึ่งชิ้น
“กินให้น้อยหน่อย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีท้องเหลือให้กินอย่างอื่น”
เยว่หลี : …
เยว่หลีค่อย ๆ กินแป้งทอดครึ่งชิ้นในมือพลางมองอานั่วซือด้วยความเจ็บใจ ด้านอานั่วซือกัดไปไม่กี่คำแป้งทอดก็หมดแล้ว ถึงขั้นเรียกร้องอยากได้เพิ่ม
เรื่องกินของคนคู่นี้ช่างต่างกันลิบลับ
เสี่ยวเป่าตีมืออานั่วซือที่คิดจะแย่งแป้งทอดครึ่งชิ้น “ข้างหน้ายังมีอีกเยอะ อย่าเพิ่งกินจนอิ่ม ไม่อย่างนั้นเจ้าจะกินอย่างอื่นไม่ได้นะ”
แต่สมองของอานั่วซือกลับคิดว่าถึงตนจะอิ่มก็ยังยัดลงไปได้อีก
เสี่ยวเป่าดุเสียงเข้ม “เจ้าก็ไม่ได้โง่นะ ทำไมแค่นี้ถึงไม่รู้เรื่อง”
อานั่วซือ : …
ก็ได้
เขาเหลือบมองศีรษะกลมสวยของเยว่หลีด้วยความอิจฉา
เสี่ยวเป่าแวะซื้อของกินตลอดทาง มีทั้งแป้งแผ่น เนื้อเสียบไม้ย่าง ขนมอบไส้เนื้อ อาหารเส้นหลากหลายประเภท เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวนึ่ง ถังหูลู่ มันเผา เกาลัดคั่ว และอีกมากมาย
อานั่วซือกินจนอิ่มหมีพีมัน โชคดีที่เขาเชื่อฟังเสี่ยวเป่า ที่นี่มีของกินเยอะมาก หากเขากินแป้งทอดจนอิ่ม คงต้องเสียดายที่ไม่ได้กินของอร่อย ๆ อย่างอื่นด้วย!
ระหว่างเดินซื้อของ ทุกคนที่รู้จักเสี่ยวเป่าก็เข้ามาทักทายไม่ขาดสาย เสี่ยวเป่าเองก็ทักทายกลับอย่างอบอุ่น
ทันทีที่เสี่ยวเป่าทักทายกลับ พวกเขาก็ยิ่งดีใจจนเนื้อเต้น องค์หญิงจำพวกเขาได้!
ผู้คนทักทายนางไปตลอดทาง แต่ในเวลาเพียงหนึ่งปี เมืองหน้าด่านก็เปลี่ยนไปมาก เมื่อต้าเซี่ยบุกยึดซยงหนูได้สำเร็จ แนวชายแดนอย่างเมืองหน้าด่านจึงมีคนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเพิ่มมากขึ้น
พอคนเหล่านั้นเห็นเสี่ยวเป่าและเสือตัวใหญ่รอบตัวนาง ปฏิกิริยาแรกคือหวาดกลัว มีคนไม่น้อยคิดว่านางเป็นอันธพาล พาสัตว์ป่าออกมาทำร้ายผู้คน
ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดอย่างนั้น เพราะก่อนหน้านี้มีผู้นำของเผ่าเล็ก ๆ ในดินแดนทุ่งหญ้าต้องการลองดี ด้วยการพาหมาป่ามาทำร้ายผู้คนที่เมืองหน้าด่าน จนทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บหลายคน แต่แล้วผู้นำคนนั้นก็ถูกหน่วยลาดตระเวนตัดศีรษะทันที
ก่อนตายคนผู้นั้นร้องขอชีวิตจากทหารลาดตระเวน โดยบอกว่าที่ผ่านมาเผ่าของพวกเขามีสัมพันธ์อันดีกับต้าเซี่ยมาตลอด แค่คนชั้นต่ำไม่กี่คนบาดเจ็บ ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต
หลังจากนั้นเผ่าของพวกเขาก็ราบเป็นหน้ากลอง เพราะหนานกงฉีหลิงพาคนไปกวาดล้าง
เสี่ยวเป่ารู้เรื่องนี้จากบ่าวรับใช้ในจวนแล้ว นางจึงเตรียมการมาอย่างดี ด้วยการใส่ตะกร้อครอบปากให้พวกมันก่อนออกมา
ตะกร้อครอบปากที่ว่าครอบหน้าเจ้าเสือไว้เกินครึ่ง อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผู้คนอุ่นใจขึ้น
แต่เสี่ยวเป่ารู้ดีว่าการพาพวกมันเดินในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนเป็นเวลานานไม่ใช่เรื่องดี จึงตั้งใจไว้ว่าแค่จะพาอานั่วซือมาซื้ออาหาร ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่งเล่นที่ปลอดผู้คน จะได้ปล่อยให้เสือของนางวิ่งเล่นด้วย
เมื่อเสี่ยวเป่าและพรรคพวกจากไป คนที่ไม่รู้จักนางก็ปรี่เข้ามาถามคนที่ทักทายเสี่ยวเป่าว่าคือผู้ใด
“ท่านผู้นั้นอย่างไรเล่า องค์หญิงของฝ่าบาท”
คนผู้หนึ่งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจระคนโอ้อวด
ผู้ใดจะคิดว่าเด็กน้อยผู้มีรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาทราวกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่มักจะเข้ามาพูดคุยกับพวกเขาอย่างเป็นกันเอง แท้จริงแล้วคือองค์หญิง ทั้งยังเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในอาณาจักรต้าเซี่ย
คนที่ไม่รู้จักเสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง “นางเป็นองค์หญิงจริง ๆ อย่างนั้นเองหรือ แล้วพวกเจ้าก็รู้จักกับองค์หญิงด้วย!”
ยิ่งได้ยินเช่นนั้น เหล่าคนที่เคยใกล้ชิดเสี่ยวเป่าก็ยิ่งถูกอกถูกใจ ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่ยังเคยนั่งแทะเมล็ดแตงโมกับองค์หญิงด้วย!
คนแปลกหน้ามองพวกเขาด้วยความอิจฉา พวกเขาก็อยากคุยกับองค์หญิงเหมือนกัน!
“ข้าได้ยินว่าองค์หญิงเป็นผู้มอบเมล็ดพันธุ์และข้าวของอื่น ๆ ให้เราด้วย”
“องค์หญิงต้องเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติยังโลกเพื่อช่วยคนยากจนอย่างเราเป็นแน่”
“เพราะมีสิ่งของที่องค์หญิงทรงมอบให้ ชีวิตเราถึงดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องรัดเข็มขัด อดอาหารจนตายอีกแล้ว”
“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา องค์หญิงก็เช่นกัน”
“องค์ชายก็เช่นกัน เป็นองค์ชายรองที่ลดภาษีที่ดินให้เรา ทั้งยังอนุญาตให้เราบุกเบิกพื้นที่รกร้างเป็นที่ทำกินด้วย”
“องค์ชายสี่และองค์ชายห้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่าบาท กล้าหาญยิ่งนัก”
“คันไถ กังหันน้ำ แล้วก็เตียงเตาล้วนเป็นองค์ชายสามที่คิดค้นขึ้น เพราะของพวกนี้ ความเป็นอยู่ของเราจึงดีขึ้นและบุกเบิกพื้นที่รกร้างได้เร็วขึ้น ทั้งยังมีถังฟาดข้าวที่ช่วยให้เราเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย”
“ไม่ใช่แค่ในเมืองหน้าด่านของเรา ในหนังสือพิมพ์ระบุไว้ว่าองค์ชายใหญ่ยังทรงลดภาษีให้เมืองอื่น ๆ ด้วย พื้นที่ใดเกิดภัยแล้ง เขาก็จะรีบส่งคนไปช่วยทันที ไม่ปล่อยให้ผู้คนต้องทอดทิ้งบ้านเกิดเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่น มิหนำซ้ำยังสร้างสำนักศึกษาหลายแห่ง เมืองหน้าด่านของเราก็ด้วย ถึงตอนนั้นลูกหลานของเราก็จะได้เล่าเรียน”
ปัจจุบันหนังสือพิมพ์ถูกกระจายไปทั่วต้าเซี่ยแล้ว ผู้คนจึงเริ่มสนใจการอ่าน หากมีราชโองการใด ๆ ก็จะแจ้งไว้ในหนังสือพิมพ์เพื่อให้คนธรรมดาอย่างพวกเขารับรู้กันถ้วนทั่ว จะได้ไม่ถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลอกเก็บภาษีเพิ่ม
นับว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว
“ต้าเซี่ยดีจริง ๆ”
ทุกคนใบหน้าเปื้อนยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ในยามที่พวกซยงหนูยังอยู่ ชาวเมืองหน้าด่านขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ซ้ำยังต้องอยู่อย่างหวาดระแวง กลัวว่าหากพวกซยงหนูบุกโจมตี พวกเขาจะไม่มีที่ซุกหัวนอน หรือแม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้
ทว่าตอนนี้ทั้งเสบียงและเครื่องนุ่งห่มล้วนเพียงพอ พวกซยงหนูก็ถูกฝ่าบาทของพวกเขาปราบปรามจนสิ้นซาก ปลายดาบที่เคยจ่อหัว บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ผู้คนในเมืองหน้าด่านไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้มาก่อน
พวกเขาจึงรักใคร่เทิดทูนฝ่าบาท องค์หญิง และองค์ชายที่ทรงงานหนักเพื่อพวกตน
ต้าเซี่ยอยู่ดีกินดี ในยามนี้ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ องค์ชาย หรือองค์หญิงก็ดีที่สุด
ดีเพียงใดน่ะหรือ
ผู้คนในสองอาณาจักรใกล้เคียงถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อรู้เรื่องนี้
พวกเขาเกลียดตัวเองที่ไม่เกิดเป็นชาวต้าเซี่ย พวกเขาไม่อยากทนใช้ชีวิตหิวโหย ซ้ำร้ายยังต้องทุกข์ทนกับภัยพิบัติ ถึงขั้นตั้งตารอว่าต้าเซี่ยจะบุกโจมตีอาณาจักรของตนเมื่อใด!
บางคนถูกข่มเหงจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและคนในตระกูลร่ำรวย พวกเขาจึงต้องลี้ภัยมาเป็นขอทานที่ต้าเซี่ย
ด้วยเหตุนี้ หลายเมืองในต้าเซี่ยจึงประสบปัญหาจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น
ซึ่งจะต้องมีการตรวจตราและจัดระเบียบอย่างดี ห้ามหละหลวมเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเกิดมีสายลับลอบเข้ามาปะปนจะทำอย่างไร
เสี่ยวเป่าไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนางกำลังเล่นอยู่ที่นอกเมืองกับคนสองคน เสือห้าตัว และนกยูงอีกสองตัว
อานั่วซือพอใจมาก ขอเพียงมีอาหาร เขาก็อยู่ได้ทุกที่ ยามนี้ในมือและรอบตัวจึงเต็มไปด้วยอาหาร แน่นอนว่าในปากก็ยังเคี้ยวไม่หยุด
ถึงจะกินเยอะมาก แต่หน้าท้องของเขายังคงแบนราบ ไม่รู้ว่าอาหารไปอยู่ที่ใดหมด
เยว่หลีก็พอใจมากเช่นกัน ทว่าภายนอกเขาดูเหมือนไม่สนใจอะไรเลย
ราวกับคนที่กำลังคิดอะไรในหัวอยู่ตลอดเวลา
เสี่ยวเป่าจึงเอ่ยถาม
เยว่หลีนั่งยองพลางใช้กิ่งไม้วาดรูปแบบค่ายกลลงบนพื้น
“ข้าจำมันไม่ได้ทั้งหมด ข้าจึงพยายามนึกอยู่ น่าจะเป็นค่ายกลอันนี้แหละ”
เสี่ยวเป่า : …
นางรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
แต่เสี่ยวเป่าก็อดเตือนไม่ได้
“หากถูกฟ้าผ่าจริง ๆ เจ้าอาจไม่ใช่คนที่รอด!”
เจ้าเองก็รู้ว่าร่างกายเจ้าอ่อนแอมิใช่หรือ
เยว่หลีพยักหน้า “ข้ารู้ ข้าจึงคิดจะเปลี่ยนมัน เพื่อให้อานุภาพจากสายฟ้าฟาดพุ่งไปที่เขามากกว่า”
ใบหน้าซีดเซียวของเยว่หลีเชิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“ข้าเพียงต้องศึกษาเพิ่มอีกสักหน่อย ข้าจะต้องทำได้แน่”
เสี่ยวเป่า “…อืม ข้ารู้อยู่แล้วละ”
รู้ว่าเจ้าฉลาดมาก มีตั้งสองสมองในร่างเดียว!
………………………………………