เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 510 รักษาอาการป่วยของหนานกงสือเยวียน
บทที่ 510 รักษาอาการป่วยของหนานกงสือเยวียน
พวกเขาไม่อาจปล่อยให้อานั่วซือไปไหนมาไหนตามอำเภอใจได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นจะต้องก่อเรื่องไม่หยุดแน่
หนานกงสือเยวียนจึงจับเขาโยนเข้าไปในค่ายทหาร
ร่างกายของอานั่วซือแข็งแกร่งเหนือผู้ใด ค่ายทหารจึงเหมาะสมที่สุดแล้ว แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนสร้างความปั่นป่วน หนานกงสือเยวียนได้มอบตำแหน่งนายร้อยให้ จะได้ไม่ต้องออกมาสร้างปัญหาอีก!
อานั่วซือที่ถูกโยนเข้าค่ายทหาร “…”
ไม่มีปัญหา คุมคนเพียงร้อยคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร อย่างไรเขาก็เคยทำให้หมาป่าทั้งฝูงยอมศิโรราบมาแล้ว
หากคิดจะขึ้นเป็น ‘จ่าฝูง’ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเอาชนะทุกคนให้ได้
หากวิวาทกับคนข้างนอก บางครั้งอาจต้องสู้กับผู้มีอํานาจบาตรใหญ่ แต่การต่อสู้ในค่ายทหารสามารถทำได้อย่างเปิดเผยและตัดสินอย่างเท่าเทียม
วันแรกที่อานั่วซือมาที่ค่ายทหาร ผู้คนล้วนไม่เชื่อว่าความสามารถของเขาเหมาะสมกับตำแหน่ง ยิ่งเห็นว่าแตกต่างจากชาวจงหยวน พวกเขาก็ยิ่งสบประมาท เอ่ยปากท้าประลอง
ท่ามกลางสายตาหลายคู่
พวกเขาทั้งหมดมองอานั่วซืออย่างระมัดระวัง
ทุกคนดูหมิ่นเขา
“เจ้าเด็กน้อยอ่อนหัดมาทำอันใดที่นี่ เกิดอันใดขึ้นกับผมและตาของเขา ไยถึงเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงให้คนเช่นนี้มาอยู่ในค่ายซีต้าของเราได้อย่างไร”
“เจ้าเด็กหัวขาว… การเป็นนายร้อยมันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ คิดจะควบคุมเรา ก็ต้องสู้กับเราก่อน หากเอาชนะเราได้ เราถึงจะเชื่อฟังเจ้า หากแพ้เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งการเรา ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง ห้ามยุ่งเกี่ยวกัน ตกลงหรือไม่”
คนที่เหลือเริ่มส่งเสียงโห่ร้องฮึกเหิม สิ่งที่สำคัญที่สุดในค่ายทหารคือความสามารถ
ต้องมีความสามารถถึงจะได้รับการยอมรับ หากเป็นเพียงหมอนปักลาย ข้างในมีแต่แกลบ*[1] เกรงว่าคงจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
ต่อให้เป็นลูกหลานผู้ดีมีอำนาจ เหล่าทหารเฒ่าหนังเหนียวเคี้ยวยากก็ล้วนมีวิธีจัดการ
อานั่วซือที่เริ่มฟังภาษาจงหยวนออกแล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งเดือดดาล
ทั้ง ๆ ที่ยังมีความทรงจำชาติก่อน แต่เขาทำได้เพียงเฝ้าดู เพราะสมองไม่สามารถเรียนรู้ จดจำ แล้วนำไปใช้ได้ เขาจึงพูดภาษาจงหยวนไม่ได้ แต่ก็พอเริ่มฟังเข้าใจแล้ว
เจ็บใจยิ่งนัก!
จากนั้นอานั่วซือที่กำลังโมโหจนไฟแทบลุกก็เอาชนะทุกคนที่ท้าทายเขา เขาไม่ชอบเสียเวลา จึงให้ทุกคนเข้ามาพร้อมกันทีเดียว
หลังจากอานั่วซือชนะการประลอง
ชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งของเขาก็เป็นที่เลื่องลือ ทั้งยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นใบ้
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อานั่วซือก็จำใจลงหลักปักฐานอยู่ที่ค่ายซีต้าต่อไป
ในขณะที่อานั่วซือเริ่มตั้งหลักได้ ในที่สุดยาที่เจี่ยเจินและเสี่ยวเป่าเตรียมไว้ให้หนานกงสือเยวียนก็พร้อมแล้ว
เพียงต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม สถานที่พร้อม และคนพร้อมก่อน ถึงจะทำการรักษาอาการป่วยของหนานกงสือเยวียนได้
และเวลานั้นก็คือหลังงานเลี้ยงฉลอง
หลังจากจัดการกับศัตรูคู่แค้นอย่างพวกซยงหนูได้สำเร็จแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักต่างดีอกดีใจ
นี่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความผาสุกร่มเย็น
หนานกงสือเยวียนปูนบำเหน็จให้ทุกคนที่ร่วมรบปราบศัตรู แม้แต่ทหารชั้นผู้น้อยก็ยังได้รับรางวัลเป็นเงิน
เกลือเหล็กล้นมือ ค้าขายต่างแดน เครื่องเคลือบลายคราม เหล้าผลไม้หลากหลายชนิด และทรัพยากรถ่านหินจำนวนมาก ทั้งพืชผลก็อุดมสมบูรณ์ ด้วยต้าเซี่ยมีทุกสิ่งที่กล่าวมา ท้องพระคลังจึงไม่ว่างอีกต่อไป!
นอกจากปูนบำเหน็จให้ผู้มีผลงานกันถ้วนทั่ว หนานกงสือเยวียนยังได้มอบราชกิจน้อยใหญ่ให้องค์รัชทายาทสานต่อ จากนั้นตัวเขาเองก็เริ่มเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการกำจัดกู่ในตัว
หนึ่งวันก่อนการผ่าตัด เสี่ยวเป่าเป็นกังวลจนนอนแทบไม่หลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อได้พบหน้าท่านพ่อ เจ้าตัวเล็กก็จับมือเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ท่านพ่อ ข้ากลัว”
ก่อนหน้านี้นางต้องผ่านความลำบากตรากตรำเพื่อตามหายามาให้เขา แต่นางก็ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด
ตอนนี้ทุกอย่างใกล้จบลงแล้ว แต่เสี่ยวเป่ากลับเริ่มหวาดกลัว
หนานกงสือเยวียนลูบหัวนางด้วยความรักใคร่พลางใช้เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความมั่นใจ
เสี่ยวเป่าก้มหน้า “แต่เสี่ยวเป่าควบคุมความกลัวของตัวเองไม่ได้”
นางดูเป็นกังวลมากจนใบหน้าเริ่มซีดเซียว เจี่ยเจินถึงกับมองด้วยความอ่อนใจ
“เจ้าคอยอยู่ข้างนอกนี่แหละ”
“ไม่!”
เสี่ยวเป่ารีบส่ายหัวพร้อมยืนกรานว่าจะเข้าไปด้วย
นางยังต้องใช้พลังวิญญาณปกป้องหัวใจของท่านพ่อไว้
หากเป็นเมื่อก่อน เจี่ยเจินอาจมั่นใจเพียงเจ็ดในสิบส่วน
แต่หลังจากได้รู้จักวิธีการผ่าตัดหลากหลายรูปแบบที่เจ้าศิษย์ตัวน้อยสรรหามาจากที่ใดก็ไม่อาจรู้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจี่ยเจินจึงตั้งใจศึกษาอย่างหนัก เมื่อคราวอยู่ที่เมืองหน้าด่าน เขาก็ได้ลองใช้วิธีการนี้รักษาทหารบาดเจ็บหรือผู้ป่วยบางคนไปแล้ว ตอนนี้ความมั่นใจเปลี่ยนจากเจ็ดเพิ่มเป็นเก้าในสิบ เขาเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่
เสี่ยวเป่าพยายามทำใจให้สงบก่อนเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้
หลังจากยาสลบออกฤทธิ์ เสี่ยวเป่าก็มองท่านพ่อที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงพร้อมจับมือเขาไว้
ระหว่างที่เจี่ยเจินทำการผ่าตัด นางหลับตาเพราะไม่กล้ามอง
แต่ยังคงใช้พลังวิญญาณช่วยรักษาหัวใจท่านพ่อไว้อย่างต่อเนื่อง
ด้านนอก ทุกคนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เหล่าพี่ชายและท่านอาทั้งสอง หรือแม้แต่บุตรชายของท่านอาทั้งสองก็อยู่ที่นี่ด้วย
หากไม่นับเหล่าพระสนมในวังหลัง คนที่อยู่ตรงนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นชาย
หนึ่งชั่วยามต่อมา…
คนข้างนอกแทบรอไม่ไหว อยากจะบุกเข้าไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แล้วประตูที่ปิดสนิทอยู่นานก็เปิดออก
เจี่ยเจินกลับออกมาพร้อมโถใบเล็กเท่าฝ่ามือ แน่นอนว่าข้างในนั้นคือกู่ แต่โถใบเล็กปิดฝาไว้แน่นจึงไม่มีผู้ใดได้เห็น
พอเห็นคนออกมา ทุกคนก็กรูเข้าไปถามทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เจี่ยเจินยกมือห้าม “อยู่ให้ห่างข้าหน่อย สิ่งนี้ยังมีพิษร้ายแรงนัก อย่าเข้ามาใกล้”
เมื่อได้ยินเขาบอกอย่างนั้น ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน รีบแยกย้ายกันไปทันควัน
ไม่ใช่ว่าเพิ่งเอามันออกจากตัวฝ่าบาท แล้วเอามาใส่ตัวพวกข้าแทนนะ
“ฝ่าบาทปลอดภัยดี เพียงแต่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกาย หากร่างกายทั้งภายนอกและภายในหายดีแล้ว ก็จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้”
เจี่ยเจินเตือน “พวกท่านมีกันไม่น้อย อย่าเข้าไปพร้อมกันทั้งหมด อากาศอาจถ่ายเทไม่สะดวก และหากมีเสียงดังเกินไปจะรบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาท ให้เข้าไปได้เพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น”
พวกเขาจึงตกลงกันว่าให้องค์รัชทายาทและเซี่ยหวงกุ้ยเฟยเข้าไปก่อน
เสี่ยวเป่าและเยว่หลียังอยู่ข้างใน
เยว่หลีกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ ส่วนเสี่ยวเป่ายังคงถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในตัวท่านพ่อไม่หยุด
แต่เพราะนางทำเช่นนั้นอยู่นานแล้ว ใบหน้าจึงซีดเซียวจนน่าตกใจ
“เสี่ยวเป่าพอแล้ว เสด็จพ่อปลอดภัยแล้ว”
หนานกงฉีซิวดึงมือเสี่ยวเป่าออกมากุมไว้
“เจ้าดูสิ เสด็จพ่อหายใจสม่ำเสมอดี เขาไม่เป็นอันใดแล้ว”
เสี่ยวเป่าตอบอืมพลางมองสำรวจคนบนเตียง
แม้ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนจะซีดเล็กน้อยและยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็ยังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บาดแผลก็ไม่มีเลือดออกมาแล้ว
เยว่หลี “เสี่ยวเป่าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
แม้คนอื่นจะมองไม่ออก แต่เขามองออกว่าเจ้าตัวเล็กใช้พลังวิญญาณไปมากเพียงใด
จะว่าไปก็แปลกนัก อาจเป็นเพราะเขาแอบลักลอบมาที่นี่ เขาจึงไม่มีพลังวิเศษอันใดติดตัวมาที่ชาติภพนี้ด้วย
แม้แต่ร่างก็ยังแบ่งออกเป็นสองส่วน
ช่างโชคร้ายจริง ๆ
เสี่ยวเป่าไม่ยอมออกไปไหนทั้งนั้น นางจึงผล็อยหลับบนตั่งที่ถูกเตรียมไว้ในห้อง
เหลือเพียงองค์รัชทายาทและเซี่ยหวงกุ้ยเฟยที่คอยอยู่ดูแลนาง ส่วนเยว่หลีก็ต้องกลับไปพักเช่นกัน
หลับไปนานพอควร เสี่ยวเป่าก็ตื่นขึ้นมากลางดึก
ทันทีที่รู้สึกตัว นางก็รีบวิ่งไปดูท่านพ่อบนเตียง
“ตื่นแล้วหรือ มากินโจ๊กก่อนเถิด”
เซี่ยหวงกุ้ยเฟยกวักมือเรียกเสี่ยวเป่า
“เสด็จพ่อของเจ้ายังไม่ฟื้น ท่านหมอเจี่ยเพิ่งมาตรวจดูอาการพระองค์ บอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะฟื้น”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า กวาดตามองท่านพ่อของนางตั้งแต่หัวจรดเท้าจนแน่ใจว่าเขาไม่มีสิ่งใดผิดปกติถึงเดินมาหาเซี่ยหวงกุ้ยเฟย
“ขอบพระทัยเซี่ยหวงกุ้ยเฟยเพคะ ลำบากท่านแล้ว”
“ลำบากอันใดกัน ในฐานะหวงกุ้ยเฟย ควรต้องดูแลฝ่าบาทอยู่แล้ว”
เสี่ยวเป่ากินโจ๊กจนหมด พี่ใหญ่ของนางก็เข้ามา
พร้อมกับอาหารที่ตั้งใจเตรียมมาให้นาง
“เจ้ากลับไปพักเสียเถิด พวกเราจะอยู่เฝ้าทางนี้ให้เอง”
เสี่ยวเป่าที่รู้สึกว่าเรี่ยวแรงของตนกลับมาแล้วเงยหน้ามองพี่ชาย
“ตอนนี้เสี่ยวเป่าตาสว่างมาก!”
นางเพิ่งตื่นนอน อยู่จนเช้าก็ยังได้!
เซี่ยหวงกุ้ยเฟยเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของนางก็หัวเราะ
เสี่ยวเป่าก็หัวเราะเช่นกัน ตอนนี้กู่พิษในตัวท่านพ่อหายไปแล้ว มันเหมือนก้อนหินที่ใหญ่ที่สุดในใจนางก็หายไปเช่นกัน
เที่ยงวันนั้น หนานกงสือเยวียนตื่นขึ้นมาตามที่คาดการณ์ไว้
เสี่ยวเป่าทั้งดีใจและโล่งอก
“ท่านพ่อ ท่านพ่อรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ”
นางพยายามถามเสียงเบา ๆ เพราะกลัวว่าหนานกงสือเยวียนจะตกใจ
หนานกงสือเยวียนรู้สึกว่านอกจากหัวใจที่ยังเจ็บอยู่ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เขาจึงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร”
เสี่ยวเป่าคอยกระซิบอยู่ข้าง ๆ “ท่านพ่ออย่าเพิ่งขยับนะเพคะ เดี๋ยวเจ็บแผล ท่านพ่อหิวหรือไม่ กินอะไรสักหน่อยนะเพคะ”
เสี่ยวเป่าพูดพลางส่งพลังวิญญาณเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจท่านพ่ออีกครั้ง
โจ๊กจากห้องเครื่อง รสชาติดีมาก
แต่หนานกงสือเยวียนยังกินมากไม่ได้
สองสามวันผ่านไป เพราะมีพลังวิญญาณของเสี่ยวเป่าคอยช่วยรักษา ร่างกายของหนานกงสือเยวียนจึงดีขึ้นทันตา และหัวใจของเขาก็ไม่เจ็บอีกต่อไป
เจี่ยเจินประหลาดใจมาก “หายเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
อุทานเสียงดังก่อนจะหยิบยามายื่นให้เขา
“ฝ่าบาทรีบเสวยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กินยาที่เหลืออยู่ต่อไปอีกประมาณหนึ่งเดือน พระองค์ก็จะหายเป็นปกติ”
ยาเม็ดนี้ทำจากตัวยาที่พวกเขาช่วยกันตามหามาจนครบ มันอาจเป็นยาที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้เลยก็ว่าได้ แต่คนผู้เดียวที่กินมันได้คือหนานกงสือเยวียน เพราะมันถูกทำขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่าจะอ่านหนังสือให้ฟังนะเพคะ”
เสี่ยวเป่ามาพร้อมกับหนังสือที่นางไปตามหามาจากหอตำรา เป็นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘ไซอิ๋ว’ ทุก ๆ วันนางจะคัดเรื่องเล่าสองสามเรื่องมาอ่านให้ท่านพ่อฟังแก้เบื่อ
ในขณะที่นางหยิบหนังสือขึ้นมาเตรียมจะอ่าน หางตานางก็เหลือบไปเห็นหัวหลายหัวโผล่มาทางหน้าต่าง
พวกเขามาที่นี่เพื่อฟังเรื่องเล่า
นับตั้งแต่รู้ว่าเสี่ยวเป่าจะมาเล่าเรื่องให้เสด็จพ่อฟัง พวกเขาจึงมารอฟังด้วยทุกวัน แต่พวกเขาไม่อยากรบกวนเสด็จพ่อ จึงยินดีที่จะฟังอยู่ข้างนอก
เสี่ยวเป่า : …
เอาเถอะ ตามใจพวกท่าน
นางเริ่มอ่านเรื่องเล่าที่ตนเลือกมา
ก่อนหน้านี้นางไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นตำราหาเรื่องเล่าและคัดลอกมาอ่านให้ท่านพ่อฟังแก้เบื่อในช่วงพักฟื้น ลายมือของนางนับวันก็ยิ่งวิจิตรงดงาม
ตอนนี้นางมีเวลาว่างเหลือล้น สามารถคัดลอกได้สี่ถึงห้าบทต่อวัน
แต่เสียงของเสี่ยวเป่าไม่ดังมากพอ คนที่อยู่ทางหน้าต่างจึงไม่ค่อยได้ยิน
หนานกงฉีจวินเสนอตัวทันที “น้องหญิงส่งมันให้ข้า เดี๋ยวข้าอ่านให้ฟัง”
เสี่ยวเป่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมันให้เขา
“พี่แปด ให้ท่านอ่าน”
ดีแล้วละ นางกำลังเจ็บคออยู่พอดี
หนานกงฉีจวินยิ้มแฉ่งแล้วเริ่มอ่านอย่างลื่นไหล
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทำเสียงให้เข้ากับเนื้อเรื่อง สมจริงมากทีเดียว!
เสี่ยวเป่า “!!!”
ให้ตายเถอะ หากรู้เร็วกว่านี้ ข้าคงรีบให้ท่านอ่านให้ฟังตั้งนานแล้ว!
[1] หมอนปักลาย ข้างในมีแต่แกลบ หมายถึง ดูดีแต่เปลือกนอก ข้างในไม่ได้ความ
………………………………………