เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 58 ลงนากันเถอะ
บทที่ 58 ลงนากันเถอะ
บทที่ 58 ลงนากันเถอะ
หนึ่งในชาวนาเฒ่ามองเจ้าก้อนแป้งดุ๊กดิ๊กอายุไม่เกินสามขวบ ขณะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ขออนุญาตซักถามองค์หญิง ต้นข้าวงอกงามดีเช่นนี้ ท่านเพาะด้วยวิธีใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
กับคำถามเช่นนี้ เสี่ยวเป่าย่อมไม่หวั่น
แม้ว่าจะพึ่งพลังวิญญาณของตนเอง แต่นางยังคงพอรู้วิธีเพิ่มพูนผลผลิตอยู่บ้าง
หนึ่งคือคัดสรรต้นกล้า และก่อนจะปลูกลงดิน ควรแช่น้ำอุ่นเพื่อหล่อเลี้ยงต้นกล้าไว้ก่อน รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดก็คือปุ๋ย
ในโลกที่นางถือกำเนิด วิธีเพาะปลูกมีอยู่มากมาย
ตอนที่เสี่ยวเป่าออกท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ เนื่องจากตัวนางเองเป็นภูตพฤกษาอยู่แล้ว จึงสนใจด้านนี้เป็นพิเศษ
“การเพาะต้นกล้านั้นง่ายมาก ขอเพียงพวกเจ้าเลือกเมล็ดพันธุ์ให้ดี เลือกเม็ดที่ใหญ่กลมกลึงที่สุด แล้วแช่พวกมันก่อนปลูกลงดิน พวกมันก็จะงอกต้นอ่อนออกมาได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ก่อนจะต้นกล้างอกออกมา หากสร้างเพิงโปร่งแสงให้พวกมันด้วยก็ดี จำไว้ว่าต้องโปร่งแสง เพราะพืชต้องการแสงแดด หากไร้ซึ่งแสงแดด มันคงงอกออกมาไม่ได้”
“ยังมีอีก หากอยากให้หลังจากนี้ต้นกล้าเจริญงอกงาม เก็บเกี่ยวเสบียงได้มหาศาล จำต้องใช้ปุ๋ย เมื่อพวกมันได้ซึมซับสิ่งดี ๆ ก็ยิ่งมีสารอาหารเพิ่มขึ้น และจะอ้วนจ้ำม่ำแข็งแรงเฉกเช่นเสี่ยวเป่า!”
นางเปรียบเทียบกับตนเอง ทั้งยังจิ้มแก้มกลมของตนเองเบา ๆ ทั้งยังลากราชาพระองค์หนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมแบบกึ่งบังคับ
“ท่านพ่อเลี้ยงเสี่ยวเป่าได้ดียิ่ง ถึงได้จ้ำม่ำอยู่เช่นนี้อย่างไร!”
พูดจบก็จิ้มแก้มกลมกลึงของตนเอง ยิ้มกว้างประดุจบุปผาบานสะพรั่ง น่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
หนานกงหลีอยากเข้าไปอุ้มหลานสาวตัวน้อยขึ้นมาหอมฟอดใหญ่ เหตุใดถึงน่ารักได้ปานนี้นะ!
เมื่อได้ฟังวาจาของเด็กน้อยแล้ว ก็ต้องยอมรับว่ามีเหตุผลอยู่จริง ๆ
หากมิใช่เช่นนั้น เสบียงที่เจริญงอกงามในนาปุ๋ยไหนเลยจะมากกว่า และคุณภาพเยี่ยมยอดกว่า
“ขออนุญาตเอ่ยถามถึงวิธีใช้ปุ๋ยพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ “ปุ๋ยหรือ ต้องใช้อุจจาระของน้องหมู อุจจาระของน้องวัว และ…บลา ๆๆ…”
อุจจาระหลายคำนี้ทำเอาหนานกงหลี และบรรดาองค์ชาย ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายหน้าเขียวกันหมด หนานกงสือเยวียนอุดปากเจ้าตัวเล็กไว้อย่างทันท่วงที
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าท่าทางใสซื่อ
เดิมนาหลวงนั้นอุดมไปด้วยปุ๋ยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้จึงยังไม่ต้องใช้วิธีใส่ปุ๋ยอย่างที่เสี่ยวเป่ากล่าว
ด้วยเหตุนี้ หลังต้นกล้าถูกขนมาจนครบ ก็ได้เริ่มแบ่งนาลุ่มออกมาพื้นที่หนึ่งเพื่อปลูกต้นกล้าเหล่านี้โดยเฉพาะ
องค์ชายทั้งหมด รวมถึงเหล่าโอรสของหนานกงหลีต่างสวมอาภรณ์สีเทาหม่น ชวนให้ไม่ชิน
เสี่ยวเป่ากลับเดินตามหลังท่านพ่อของตนไปอย่างร่าเริง ต่อให้แต่งกายด้วยเสื้อสั้นผ้าดิบ ก็ยังเป็นก้อนแป้งขาวนุ่มก้อนหนึ่ง
ข้อยกเว้นเดียวเห็นจะเป็นหนานกงฉีซิว
ไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าไปหาตั๊กแตนถักจากไหนมาให้เขา
“ท่านพี่เล่นเจ้านี่จะได้ไม่เบื่อ”
ใช่แล้ว นางกลัวท่านพี่ใหญ่อยู่คนเดียวแล้วจะเบื่อ
เมื่อรู้สึกว่าลำพังตั๊กแตนถักตัวเล็กไม่พอให้ท่านพี่ใหญ่ฆ่าเวลา เสี่ยวเป่าจึงวิ่งออกไปอีกครั้ง
“ท่านพี่ใหญ่รอเดี๋ยว เสี่ยวเป่าไปหาสิ่งอื่นมาให้ท่าน”
นิ้วเรียวยาวนวลเนียนดั่งหยกของหนานกงฉีซิวจับตั๊กแตนถัก ไม่ทันใดเรียกน้องไว้ ก็เห็นนางสับขาป้อม ๆ วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงฉีซิว “…”
เมื่อเสี่ยวเป่ากลับมาอีกครั้ง ก็มีสุนัขตัวน้อยนุ่มนิ่มกอดไว้ในอ้อมอก เป็นตัวที่เพิ่งคลอดออกมาได้ไม่กี่เดือน ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ
นี่คือลูกสุนัขสีขาวซึ่งถูกเลี้ยงไว้ในนา ได้รับการดูแลดีใช้ได้ เจ้าเนื้อมาก ทั้งยังสะอาดสะอ้าน เพราะเพิ่งถูกจับอาบน้ำเมื่อวาน
เสี่ยวเป่าอุ้มไปไว้บนตัวท่านพี่ใหญ่
“ท่านพี่ใหญ่ มีลูกหมาน้อยอยู่เป็นเพื่อน ท่านจะได้ไม่เบื่อ~”
ลูกสุนัขส่งเสียงอย่างให้ความร่วมมือ ศีรษะเล็ก ๆ ขนปุยถูมือเขาไปมา
เรียกได้ว่า เจ้าตัวน้อยวุ่นวายเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อเขา
หนานกงฉีซิวมองน้องสาวตรงหน้าที่มองเขาด้วยความห่วงใย หัวใจพลันอ่อนระทวยระคนซาบซึ้ง
นับแต่ที่ขาเดินไม่ได้ คนรอบตัวมักปฏิบัติต่อเขาด้วยความระมัดระวัง ซ้ำยังแสดงท่าทีสงสารอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกคนต่างกลัวแทงใจดำเขา จึงงดเว้นการกล่าวถึงขาของเขาอย่างเคร่งครัด
เสี่ยวเป่าก็นึกสงสารเช่นกัน ทว่านางดูแลเขาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งจริงใจและกระตือรือร้น
เขาไม่รังเกียจความรู้สึกเช่นนี้ กลับสบายใจยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะยามผู้อื่นระมัดระวังไม่ไปแตะโดนความปวดร้าวของเขา เขาก็ต้องพยายามแสร้งว่าตนไม่รับรู้ ไม่ใส่ใจ
กับเสี่ยวเป่า เขากลับรู้สึกว่าเรื่องขาของตนเป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับนาง ราวกับสามารถยืนได้อีกครั้งทุกเมื่อ
หนานกงฉีซิวยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มอ่อนโยน ลูบหัวเสี่ยวเป่าพลางกล่าว
“ขอบคุณเจ้ามาก น้องหญิง”
เสียงนั้นช่างนุ่มนวลเหลือเกิน
เจ้าก้อนนุ่มนิ่มแหงนหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง เอียงศีรษะถูไถไปมาในฝ่ามือของท่านพี่ใหญ่
ต้นกล้าที่นำออกจากวังล้วนเป็นต้นที่เจริญงอกงามดีที่สุด แน่นอนว่าหนานกงสือเยวียนไม่ยอมส่งต้นกล้าเหล่านี้ให้บรรดาบุตรหลานผู้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างของตนย่ำยี
ด้วยเหตุนี้ เหล่าบุรุษที่มิเคยทำงานไร่ก็ได้รับต้นกล้าซึ่งบ่มเพาะในนาหลวงอยู่แล้ว
แม้ต้นกล้าเหล่านี้จะไม่สู้ต้นกล้าที่เสี่ยวเป่าปลูก ทว่ายังใหญ่และดูดีกว่าที่ชาวนาชาวไร่ปลูกอยู่มาก
บรรดาบุรุษสูงศักดิ์ผู้ไม่เคยลงมาในนา หย่อนเท้าเปล่าเปลือยของตนลงไปในนาเพื่อหยั่งเชิง ทันทีที่แตะโดนโคลน ก็หดเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว สีหน้านั้นทั้งบิดเบี้ยวและหวาดผวา
“นั่นมันอะไร แรงสัมผัสประหลาดนัก!”
ขนลุกไปหมดแล้ว
แน่นอนว่ามีผู้กล้าหาญอยากรู้อยากเห็น อย่างเช่นท่านพี่ห้าของเสี่ยวเป่า หนานกงฉีหลิง รวมถึงท่านพี่สี่ผู้ตัวใหญ่สัตย์ซื่อ
หนานกงฉีจวินลงนาด้วย ย่ำไปย่ำมาสนุกใช้ได้
เสี่ยวเป่าถลกขากางเกงขึ้นมาจนถึงต้นขา หาที่อยากลงไปบ้าง
ทว่ายังไม่ทันได้ลงไป ร่างจิ๋วก็ถูกอุ้มขึ้นมา
เสี่ยวเป่าเตะขาป้อม ๆ พลางหันกลับไปมอง…ท่านพ่อนี่เอง
“ท่านพ่อ ปล่อยเสี่ยวเป่าลงไป เสี่ยวเป่าดำนาได้เหมือนกัน!”
นางเชี่ยวชาญมากด้วย!
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองขาขาวนวลสั้นป้อมของนางแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ไม่ได้”
เสี่ยวเป่าตาโตทันที “เพราะเหตุใดเล่า”
หนานกงสือเยวียนวางนางลงบนร่องยก ตัวเขาเองก้าวลงไปในนา
ดินโคลนซึ่งถูกพรวนจนอ่อนนุ่ม เมื่อถูกแช่ไว้ในน้ำ ทันทีที่เขาก้าวลงก็จมลงไปถึงน่อง
หนานกงสือเยวียนบอกนางด้วยประสบการณ์ตรง “ขาเจ้าสั้นเกินไป”
ขืนลงมาจริง ๆ คงมิได้ขยับเขยื้อนไปไหนแน่
เสี่ยวเป่า “…”
คอยดูเถิด ภายหน้า ขาของเสี่ยวเป่าย่อมต้องยาวกว่าขาของท่านพ่อ!
เจ้าตัวน้อยแก้มป่องด้วยความขุ่นเคือง จนกลายเป็นเหมือนซาลาเปา
ฮ่องเต้ยังลงไปในนาแล้ว ผู้อื่นย่อมมิกล้าโอดโอย
ทันทีที่หนานกงหลีก้าวลงไป ก็เกือบล้มลงไปในน้ำกลายเป็นมนุษย์โคลนเพราะทรงตัวไม่อยู่ ยังดีที่ทรงตัวกลับมาได้
จากนั้นก็ได้ยินเสด็จพี่ของตนตรัสว่า
“ในนามีแมลงชนิดหนึ่ง ชอบเกาะอยู่บนผิวหนังของคนเพื่อดูดเลือด อย่าแอบลงมาเชียว”
สีหน้าของหนานกงหลีแข็งทื่อไปในบัดดล ก่อนจะค่อย ๆ ทอประกายความหวาดผวา
“อ๊าก!!! ข้าโดนแมลงกัด เร็วเข้า มาดูทีว่าใช่แมลงดูดเลือดหรือไม่!”