เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 66 ตื่นนอนยาก
บทที่ 66 ตื่นนอนยาก
บทที่ 66 ตื่นนอนยาก
“ยังตื่นไม่เต็มตาอีกหรือ”
เสี่ยวเป่ากะพริบตา ขนตางอนงามระริกดุจปีกผีเสื้อ
“อ้านอ้อ~” (ท่านพ่อ)
เสี่ยวเป่าผู้ถูกหยิกแก้มนุ่มนิ่มเอ่ยวาจาได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำเท่าใด
นางฟึดฟัดส่ายแก้มไปมากว่าจะเป็นไทจากมือของท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเกาะอยู่บนแขนท่านพ่อต่อไป ชะโงกคอเล็ก ๆ ออกไปมองด้านนอก ดวงตาใสกระจ่างเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน
“ข้าได้ยินเสียงของพวกท่านพี่แล้ว!”
หนานกงสือเยวียนอุ้มนางขึ้น ตอบรับอืมหนึ่งเสียง “พี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าอยู่ด้านนอก”
“ท่านพ่อ ข้าทำเองได้ เสี่ยวเป่าจะทำเอง”
เจ้าตัวน้อยกระดิกขาป้อม ๆ หมายจะลงไป แสดงท่าทางกระตือรือร้นหมั่นเพียรว่าพร้อมสวมใส่อาภรณ์รองเท้าด้วยตนเอง
หนานกงสือเยวียนปรายตามองนาง “ไหวหรือ”
กำลังดูถูกผู้ใดกันอยู่
เสี่ยวเป่าเก่งมากนะจะบอกให้!
กระโปรงที่เตรียมสำหรับวันนี้เป็นสีเขียวอ่อน ซึ่งเป็นสีที่เสี่ยวเป่าชื่นชอบที่สุด
นางฮึดฮัดสวมเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วตั้งใจผูกสายรัดด้วยความขึงขังอย่างยิ่งยวด
“เอ๊ะ สายที่เกินออกมานี่ผูกตรงไหนกัน?”
เจ้าก้อนแป้งจับสายที่เกินออกมาพร้อมหาไปทั่ว ทั้งยังหมุนรอบตัวเองเป็นวงกลม
หมุนตัวประหนึ่งลูกสุนัขหาหางตนเอง ทว่านางหมุนจนเวียนหัวแล้วยังหาไม่พบ
หนานกงสือเยวียนกุมหน้าผาก สติปัญญาของเจ้าตัวเล็กมิได้รับสืบทอดไปจากตนเองแน่นอน
“มานี่”
คราวนี้เสี่ยวเป่าไม่งอแงอีก ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี
หนานกงสือเยวียนสวมใส่กระโปรงตัวน้อยให้นางจนเรียบร้อย เสี่ยวเป่าทำตัวเก่งขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่เหลือเสี่ยวเป่าทำได้แน่!”
หนานกงสือเยวียน “หากว่ารองเท้าและถุงเท้ายังใส่ไม่เป็นอีก เจ้าคงโง่งมจนไร้ผู้ใดทัดเทียม”
เสี่ยวเป่าพองแก้ม นางหาได้โง่งมไม่ สายรัดอาภรณ์เยอะเกินไปต่างหาก
เสี่ยวเป่าทรุดตัวนั่งบนพรมอ่อนนุ่ม เผยเท้าขาวนวลอวบให้เห็น
นิ้วเท้าแต่ละนิ้วเสมือนไข่มุกกลมกลึง ขาวผ่องอมชมพูน่ารักเป็นที่สุด
เสี่ยวเป่ากระดิกนิ้วเท้า สวมถุงเท้าให้ตนเองเสร็จ แล้วก็ใส่รองเท้าให้ตนเองต่อ
“ท่านพ่อดูเอาเถิด เสร็จแล้ว!”
เจ้าก้อนแป้งยื่นขาสั้น ๆ ออกไป ย่ำไปเบื้องหน้าท่านพ่ออย่างแรงเพื่อแสดงผลงานของตน
หนานกงสือเยวียนเคาะหน้าผากนางด้วยแรงอันพอดี “ไปเถิด”
เจ้าตัวน้อยรีบติดตามไปต้อย ๆ ราวกับเป็นหางของท่านพ่อ
ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าหลังจากได้พบกับพี่ชายทั้งสอง
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่รอง~”
เสี่ยวเป่ามุดตัวออกจากหลังท่านพ่อ วิ่งเตาะแตะเข้าไปหาคนทั้งสอง
หนานกงฉีโม่มองผมของนาง “เหตุใดถึงไม่หวีผม ซ้ำยังยุ่งเหยิงถึงปานนี้”
เสี่ยวเป่าสั่นศีรษะไปมา “เพราะอยากเจอพวกท่านพี่อย่างไรเล่า”
ยามชุนสี่เข้ามาหวีผมให้เสี่ยวเป่า หนานกงสือเยวียนเพิ่งเริ่มสอนพระโอรสทั้งสองอ่านฎีกา และทรงราชกิจ
หนานกงฉีโม่เอ่ย “เสด็จพ่อ อีกไม่ถึงเดือนลูกต้องเดินทางไปยังเมืองหน้าด่านแล้ว ยังต้องอ่านฏีกาเหล่านี้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หนานกงสือเยวียน “เช่นนั้นก็จงอ่านให้มาก เมื่อถึงเมืองหน้าด่าน จะมิได้เป็นฝ่ายอ่าน แต่ต้องเป็นฝ่ายเขียน”
หนานกงฉีโม่ “…”
ท่านคือเสด็จพ่อ ท่านว่าอย่างไรก็ตามนั้น!
หลังจากอาบน้ำแปรงฟันหวีผม ก็ถึงเวลาอาหารเช้า
วันนี้นอกจากท่านพ่อแล้ว ยังมีพี่ชายทั้งสองอยู่ด้วย ฮิฮิ…
เสี่ยวเป่ายินดีปรีดาเสียจนเผลอกินเยอะเกินไปอีกแล้ว
นางกุมท้องเล็ก ๆ ไว้มิกล้าให้ท่านพ่อเห็น ครั้งก้าวเดินยังต้องแขม่วอย่างระมัดระวัง
หนานกงฉีโม่มองหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ “ไยเจ้าต้องเดินเขย่งเท้าด้วย”
หนานกงสือเยวียนจิบชาแช่มช้า “กินเยอะเกินไป”
เสี่ยวเป่าคลายแขม่ว ไม่อาจซ่อนพุงน้อย ๆ ไว้ได้อีกต่อไป
“ท่านพ่อรู้ได้อย่างไร”
หนานกงสือเยวียนปรายตามองนางราบเรียบ
เจ้าตัวน้อยรีบประจบสอพลอยกใหญ่
“ว้าว ท่านพ่อสุดยอดไปเลย เรื่องเช่นนี้ยังดูออก เสี่ยวเป่าผิดไปแล้ว เสี่ยวเป่าจะไปย่อยอาหารเดี๋ยวนี้”
หนานกงสือเยวียน “ฝูไห่”
ฝูไห่กงกงนำขวดกระเบื้องเล็ก ๆ ขวดหนึ่งเข้ามาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“องค์หญิงเล็ก เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าก้อนแป้งคอตกในบัดดล จมูกน้อยย่นขึ้นขณะแบมือออก
ฝูไห่เทยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่ฝ่ามือของนาง
เสี่ยวเป่าลองดมดู ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นแสดงความรังเกียจชัดเจน
“ท่านพ่อ เหตุใดถึงไม่ปรุงยานี้ให้หวานเหมือนลูกกวาด”
“ท่านพ่อ หมอหลวงจางก็กินด้วยหรือ คราวก่อนท่านว่าเขาต้องกินเหมือนกับข้า”
หนานกงสือเยวียนเอ่ย “หมอหลวงจางไม่กลัวยาขม”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าบิดเบ้ทันที “ก็ได้ คราวหน้าเสี่ยวเป่าจะไปหาหมอหลวงจาง ให้เขาปรุงเป็นรสหวานเอง!”
นางไม่กินเจ้ายานี่หรอก ขมเกินจะทน
เสี่ยวเป่าพรรณาชักแม่น้ำทั้งห้าหมายจะประวิงเวลา สุดท้ายก็ต้องยอมกินลงไปอย่างไม่เต็มใจภายใต้สายตาของท่านพ่อ
ทันทีที่กินเข้าไป ก็ควานหาน้ำไปทั่ว ลิ้นกระจิริดห้อยออกมาด้วยหน้าตาน่าสงสาร
ฝูไห่กงกงรีบยกผลไม้แช่อิ่มเข้าไป หลังจากนางกรอกเข้าปากถึงดีขึ้นมาก
สายตาน้อย ๆ ชำเลืองท่านพ่อไม่หยุด
จนพี่ชายสองต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างอดมิได้
เมื่อหายขมปากแล้ว เสี่ยวเป่าพลันร่าเริงกระโดดโลดเต้นได้อีกครั้ง ลากพี่ชายทั้งสองโวยวายว่าจะไปตกปลา
นางเห็นนะว่าในแม่น้ำด้านนี้มีปลาอยู่
“ท่านพ่อจะไปด้วยกันหรือไม่เพคะ?”
เสี่ยวเป่าพิงตัวกับเข่าของท่านพ่อติดเป็นตังเม คว้ามือของเขามาทาบบนแก้มนุ่มของตน
น่าเอ็นดูประหนึ่งลูกแมวน้อยติดเจ้าของ
หนานกงสือเยวียนหยิกแก้มนุ่มนิ่มของนาง “ไม่ไป อย่าเข้าใกล้น้ำมากนัก”
เสี่ยวเป่าตอบอืมเสียงอ่อน “เสี่ยวเป่ามีพี่ชายตั้งมากมายคอยปกป้องอยู่!”
ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นดูภาคภูมิใจเหลือแสน
ก่อนออกไปเที่ยวเล่น เสี่ยวเป่าก็ไปเยี่ยมไม้ประดับสองกระถางของตนก่อน
ไม้อวบน้ำนั้นเลี้ยงง่าย เพียงปักลงดินก็เป็นพอ
หลังจากผ่านการบำรุงเพาะเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณของนาง มันก็มีก้านอ่อนแทรกตัวขึ้นจากดินแล้ว อีกไม่ถึงสองวันคงมีใบไม้งอกออกมาใหม่
รากของดอกกล้วยไม้อีกกระถางที่นางปลูกในดินนุ่มก็ค่อย ๆ กลับมามีชีวิตชีวา รอเพียงให้มันมีใบงอก
หลังจากรดน้ำถ่ายพลังวิญญาณให้กระถางทั้งสองแล้ว เสี่ยวเป่าถึงออกไปเที่ยวเล่นกับบรรดาพี่ชาย
ท่านพี่รองหยิบถังหูลู่ออกมาสามสี่ไม้ เจ้าตัวเล็กแปลงกายเป็นหางของเขาทันที ตามติดไปทุกที่ พะเน้าพะนอเรียกหาแต่ท่านพี่
พวกหนานกงฉีเฉินซึ่งอ่อนกว่าเห็นแล้วนึกอุทานว่าท่านพี่รองเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
ไฉนพวกเขาถึงคิดวิธีนี้มิได้!
เมื่อรู้ว่าพวกเขาอยากไปตกปลา หัวหน้าผู้ดูแลก็เตรียมคันเบ็ดตกปลาไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ
“ปลาในแม่น้ำเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นที่สุด องค์ชายองค์หญิงโปรดระวังกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กิจกรรมนี้ท่านพี่ใหญ่เข้าร่วมได้ เสี่ยวเป่ามือถือคันเบ็ดตกปลาแท่งน้อย วิ่งวนเวียนรอบกายเขา
“ท่านพี่ใหญ่ เสี่ยวเป่าเกี่ยวเหยื่อปลาให้”
ขันทีข้างกายหนานกงฉีซิวรีบเอ่ย “องค์หญิง เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่ามิได้โต้แย้ง นางยกเก้าอี้เข้ามานั่งข้างกายพี่ใหญ่ หย่อนคันเบ็ดลงน้ำ แล้วหยิบลูกกวาดออกมาหนึ่งเม็ด
“ท่านพี่ พวกท่านอยากกินลูกกวาดหรือไม่”
วันนี้เป็นอีกวันที่นางอัดถุงเงินของตนเองจนเต็ม
“ข้ากิน!”
พี่ชายหลายคนยกมือขานรับ เสี่ยวเป่ามิได้ขี้งกแม้แต่น้อย แจกจ่ายลูกกวาดให้ทุกคนจนครบ
สุดท้าย นางยัดลูกกวาดเม็ดใหญ่ใส่ปากพี่ใหญ่ “ท่านพี่ใหญ่กินเม็ดนี้ หวานม้ากมาก”
หนานกงฉีโม่อีกข้าง “ของข้าเล่า”
เสี่ยวเป่าหันไป “ท่านพี่มิได้เอ่ยว่าอยากกินเสียหน่อย นี่อย่างไร…ให้ท่าน”