เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 67 ปลาตัวใหญ่ยิ่ง
บทที่ 67 ปลาตัวใหญ่ยิ่ง
บทที่ 67 ปลาตัวใหญ่ยิ่ง
หนานกงฉีโม่จับคันเบ็ดตกปลาด้วยมือเดียว ดวงตาจิ้งจอกมองเจ้าก้อนแป้งด้วยแววตากึ่งยิ้ม
“ข้าหรืออุตส่าห์ให้ถังหูลู่เจ้าไปตั้งหลายไม้ ไม่รู้จักเข้าหาบ้างเสียเลย ในสายตาเจ้ามีเพียงท่านพี่ใหญ่ใช่หรือไม่”
เสี่ยวเป่ารีบวิ่งเตาะแตะเข้าไปกอดแขนเขาอย่างออดอ้อน “มีท่านพี่รองด้วย นี่ให้ท่านพี่รองกิน หวานม้ากมาก”
เสียงเด็กเล็กทั้งละมุนและนุ่มนวล หวานสุดยอด!
พี่ชายที่เหลือซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลันส่งสายตาอิจฉาให้หนานกงฉีโม่ พวกเขาก็อยากให้น้องสาวตัวนุ่มนิ่มเข้ามากอดแขนออดอ้อนเหมือนกัน
หนานกงฉีเฉินตัดสินใจด้วยความเคียดแค้น คราวนี้กลับไปแล้ว เขาจะซื้อถังหูลู่กลับไปด้วยมหาศาล!
หลังจากให้อาหารแก่เหล่าพี่ชายเสร็จ เสี่ยวเป่าก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวน้อย หยิบคันเบ็ดก้านเล็กขึ้นมา
“วันนี้เสี่ยวเป่าจะตกปลาตัวใหญ่ไปให้ท่านพ่อกิน!”
คิดถึงท่านพ่อทุกเวลาจริง ๆ
หนานกงฉีโม่ทำท่าจะเอ่ยบางอย่าง แต่เจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างกายถูกคันเบ็ดในมือดึงไปฉับพลัน รุนแรงเสียจนเกือบถลาลงไปในน้ำ
เขาตาไวมือไว คว้าเจ้าก้อนแป้งไว้ได้
เอ็นคันเบ็ดของเสี่ยวเป่าตึงเปรี๊ยะ จนเกือบลากนางลงน้ำไปด้วย
“ปลา ๆๆ…ปลาตัวใหญ่!”
ร่างเล็ก ๆ ที่ถูกพี่รองอุ้มลอยขึ้นเหนือพื้น เสี่ยวเป่าดึงคันเบ็ดในมือแน่นไม่ยอมปล่อย ขาเล็กป้อมถีบไปมาด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าเล็ก ๆ แดงระเรื่อ
หนานกงฉีโม่เอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์ “ยังจะนึกถึงปลาอยู่อีก ตัวเจ้าเกือบตกลงไปเป็นอาหารปลาแล้วรู้หรือไม่”
คนอื่นรอบข้างต่างเพ่งความสนใจมาที่นี่เพราะเสียงดัง เห็นว่าคันเบ็ดของเสี่ยวเป่าถูกรั้งจนรูปร่างบิดเบี้ยว จวนจะหลุดจากมือนางเต็มที ก็รีบวิ่งเข้ามา
องค์ชายสี่หนานกงฉีอิงเกิดมาพร้อมพละกำลังแห่งเทพเทวา เขารีบคว้าคันเบ็ดที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ในมือของน้องสาวมาไว้ในมือตนเอง
กล้ามเนื้อล่ำสันที่แขนแน่นตึงออกแรง ปลาใหญ่ที่เกือบลากเสี่ยวเป่าลงน้ำถูกดึงขึ้นมาในพริบตา
มันเป็นปลาที่ตัวใหญ่มากจริง ๆ วาดตัวเป็นเส้นโค้งสวยงามแล้วร่วงหล่นลงพื้นหญ้าพร้อมด้วยหยดน้ำมากมาย ขนาดตัวยาวเท่าแขนข้างหนึ่งของเสี่ยวเป่าเลยทีเดียว ซ้ำยังอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม้ถูกลากขึ้นมาบนฝั่งแล้วยังดีดตัวไปมาอย่างมีพลัง
ปลาที่เกิดตามธรรมชาติในแม่น้ำมีเรี่ยวแรงมหาศาล เนื้อแน่นรสโอชะ
ความสุขของการตกปลาอยู่ที่พริบตาที่ปลาเข้ามาติดเบ็ดและถูกดึงขึ้นไป นี่นางเพิ่งหย่อนเบ็ดด้วยซ้ำ คันเบ็ดของผู้อื่นยังเงียบเชียบกันถ้วนหน้า น้องสาวคนเล็กของพวกเขากลับตกปลาตัวโตขนาดนี้ขึ้นมาได้
เด็กหนุ่มทั้งหลายห้อมล้อมน้องสาวและปลาด้วยความตื่นเต้น
“ญาติผู้น้องโชคดียิ่งนัก”
หนานกงฉีเฉินรู้สึกภาคภูมิใจประหนึ่งเขาคือผู้ได้รับคำชม “แน่นอน น้องสาวของข้าตกปลาเก่งที่สุด ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในพระราชวัง ยังเคยจับปลาตัวใหญ่เท่านี้ขึ้นมาด้วยมือเปล่าอีกต่างหาก”
“น้องสาวของเราเปี่ยมด้วยบุญวาสนา”
กลุ่มพี่ชายชมเจ้าตัวเล็กกันคนละประโยคสองประโยค เสี่ยวเป่าก็ยืดอกดูภูมิใจมาก
จากนั้นศีรษะเล็ก ๆ ก็ถูกลูบเบา ๆ เป็นฝีมือพี่รอง
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว หากโชคร้ายกว่านี้อีกหน่อย เจ้าคงต้องตกเป็นอาหารปลาแทน”
เสี่ยวเป่า “…”
นางมองพี่รองของตนด้วยสายตาละห้อย ก่อนจะกระเถิบเข้าไปถูไถออดอ้อน
“มีท่านพี่อยู่นี่นา”
หนานกงฉีโม่ “หากข้าตั้งตัวไม่ทันเล่า”
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วตนเอง นางยอมรับผิดแต่โดยดีท่ามกลางสายตาของพี่รอง
“เสี่ยวเป่าจะไม่เข้าใกล้น้ำขนาดนั้นแล้ว อยู่ห่างออกมาอีกหน่อยดีหรือไม่”
หนานกงฉีอิงเดินเข้ามา “ข้าจะอยู่กับน้องสาว ช่วยน้องสาวตกปลา”
เสี่ยวเป่าระรื่นใหญ่ “ท่านพี่สี่ดียิ่งนัก”
หนานกงฉีอิงเกาะศีรษะหัวเราะ เพียงแต่ดูเด๋อด๋าเล็กน้อย
หลังจากนั้น เสี่ยวเป่าก็เข้าไปนั่งตกปลาในอ้อมอกพี่สี่ นางนั่งสมาธิขดตัวดูสบายใจสุด ๆ
หนานกงฉีอิงตัวใหญ่กำยำ ทว่ามิกล้าออกแรงกับน้องสาวตัวนุ่มนิ่มในอ้อมอกแม้แต่น้อย
เดิมเขามีเรี่ยวแรงมหาศาล จึงกลัวว่าหากไม่ทันระวัง จะเผลอทำให้น้องสาวได้รับบาดเจ็บ
แต่อารมณ์นั้นเบิกบานประหนึ่งสุนัขเริงร่า หากเขามีหาง คงกระดิกรัวจนเห็นเป็นภาพซ้อน
ฝีปากเขามิสู้จะเก่งนัก พูดจาไม่ค่อยจะเป็น ยามเห็นพี่น้องคนอื่นสัพยอกอุ้มน้องสาวเล่น เขาตาร้อนเป็นนักหนา ยามนี้ ในที่สุดก็ตาเขาอุ้มแล้ว ฮ่าฮ่า…
ทว่าหนานกงฉีอิงรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งคอยจดจ้องตนเองอยู่ตลอด พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นพี่สาม
หนานกงฉีอิงเกาศีรษะด้วยความฉงน “เสด็จพี่สาม เหตุใดท่านถึงเอาแต่มองข้าอยู่เช่นนี้”
ซ้ำสายตายังแปลก ๆ อีกด้วย
หนานกงฉีอวิ๋นเบนสายตาตัวเองกลับช้า ๆ
“เปล่า”
หนานกงฉีโม่ที่อยู่ด้านข้างคล้ายคาดเดาบางอย่างได้ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้น พี่น้องทั้งหลายของเขาช่าง…น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ
“อ๊ะ! ท่านพี่สี่ เร็วเข้า มีปลามาติดแล้ว!”
คันเบ็ดของเสี่ยวเป่ากระตุกอีกครั้ง พริบตาที่มีปลามาติด เสี่ยวเป่าตื่นเต้นจนใบหน้าเล็ก ๆ แดงระเรื่อ กระทั่งเส้นผมยังพลิ้วไหวด้วยความเริงร่า
หนานกงฉีอิงไม่ทำให้ผิดหวัง เขาจับคันเบ็ดแล้วออกแรงดึง ปลาใหญ่ที่ตัวมิได้เล็กไปกว่าเมื่อครู่เท่าใดถูกเหวี่ยงขึ้นมา
เสี่ยวเป่าปรบมือยกใหญ่ประหนึ่งแมวน้ำ
“ท่านพี่สี่สุดยอด!”
พูดจบมิวายหันไป หอมแก้มท่านพี่สี่ฟอดใหญ่
หนานกงฉีอิง “!!!”
ดวงตาเขาเบิกกว้าง ร่างใหญ่กำยำแข็งทื่อไปนิดหน่อย
น้องสาว…น้องสาวหอมแก้มเขา
หนานกงฉีเฉินและหนานกงฉีจวินซึ่งหันมาเห็นพอดีถึงกับโมโหจนตาแดง น้องสาวยังไม่เคยหอมแก้มพวกเขามาก่อนเลย!
หนานกงฉีอิงลูบแก้มตนเองป้อย ๆ หัวเราะแหะ ๆ…
ทุกคนในที่นี้ “…”
หน้าตาก็ดี ไยไปอยู่บนตัวเจ้าแล้วถึงดูเซ่อซ่าเสียเต็มประดา
“ท่านพี่สี่ เรามาลุยกันต่อเถิด!”
หลังจากตกปลาใหญ่ขึ้นมาได้สองตัวติด โดยที่คันเบ็ดพี่ชายคนอื่นยังไม่มีวี่แววไหวติง เจ้าก้อนแป้งก็วางมาดด้วยความฮึกเหิม
หนานกงฉีอิงว่าตามน้องสาวทุกอย่าง
“ได้ ๆ”
ว่าไปเป็นเรื่องพิลึกยิ่ง ทุกครั้งที่เสี่ยวเป่าหย่อนคันเบ็ด จะมีปลาเข้ามาติดไม่เกินหนึ่งถ้วยชา ผู้อื่นตกอยู่นานกลับมิมีปลาเข้ามาติดสักตัว
นานเข้า ผู้อื่นก็พอจะตกได้บ้าง เพียงแต่เป็นปลาตัวเล็กเท่านั้น ไม่อาจเทียบกับน้องสาวได้เลย
แม้แต่หนานกงฉีซิวกับหนานกงฉีโม่ที่อยู่ข้างกายนางยังตกได้ไม่มากเท่าใด ผู้อื่นค่อยเบาใจได้บ้าง
อย่างที่คิด…พวกเขานั้นปกติ ผู้ไม่ปกติคือน้องสาวต่างหาก!
ท้ายที่สุด เมื่อนำเศษเล็กเศษน้อยมารวมกันก็เป็นจำนวนไม่น้อย
“เราทำปิ้งย่างรับประทานกันดีหรือไม่”
ใครบางคนเสนอ ก่อนจะได้รับแรงสนับสนุนจากเสี่ยวเป่าเต็มที่
ผู้อื่นย่อมไม่เห็นต่าง เมื่อออกจากพระราชวังแล้ว ย่อมต้องเสพสุขสำราญตามอัธยาศัย นอกจากนี้ยังมีคนมากมายมารวมตัวกันที่นี่ ทำปิ้งย่างกินคงครึกครื้นไม่น้อย
แต่กินเพียงปลาเห็นได้ชัดว่าไม่พอ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขึ้นไปล่าสัตว์บนเขากันเถิด” หนานกงฉีหลิงยังคงคึกคะนองอยู่
แม้ว่าเขาเป็นพระโอรสลำดับที่ห้า แต่มีฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูเก่งกาจที่สุดในหมู่พี่น้อง
น้องแปดยกมือด้วยความตื่นเต้น “ข้าขอไปด้วย”
หนานกงฉีซิวเอ่ย “น้องหก น้องเจ็ด น้องแปดอยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังขี่ม้ายิงธนูไม่เป็น”
ใบหน้าของเด็กชายทั้งสามหม่นหมองลงในบัดดล
องค์ชายใหญ่ปลอบประโลมด้วยเสียงนุ่มนวล “หลังจากกลับไปแล้ว พวกเจ้าสามารถทูลขอเสด็จพ่อว่า อยากเลี้ยงลูกม้าประจำกาย พวกเจ้ายังมีเวลาอีกมาก คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่ดีหรือไม่”
เด็กทั้งสามเชื่อฟังพี่ใหญ่มาก จึงได้แต่พยักหน้า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่ใหญ่”
หนานกงฉีอวิ๋นไม่ได้ไปด้วย เมื่อเทียบกับการออกไปยืดเส้นยืดสาย เขาชอบอยู่ตามลำพังมากกว่า
นอกจากพวกเขาแล้ว เหล่าโอรสของหนานกงหลีผู้ยังมิได้ร่ำเรียนการขี่ม้ายิงธนูก็ได้อยู่ที่นี่
เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้ไปเช่นกัน เมื่อเอ่ยถึงขี่ม้า นางพลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานมัวแต่เล่นกับพวกพี่ชาย จนลืมเรื่องที่รับปากว่าจะให้อาหารม้าไปเสียสนิท