เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 85 ลอบสังหาร
บทที่ 85 ลอบสังหาร
บทที่ 85 ลอบสังหาร
ลูกท้อของที่นี่ผลอวบอิ่มสะอาดสะอ้าน เพียงกัดไปหนึ่งคำพลันได้สัมผัสเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมอบอวลในปาก แม้จะกินถึงแกนแล้วก็ไม่รู้สึกขมฝาดเลยสักนิด
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันทีที่ได้ลิ้มรสอันโอชะ แน่นอนว่านางย่อมไม่ลืมเพื่อนตัวน้อยของตน และขอให้ท่านพ่อเก็บลูกท้อให้เสี่ยวไป๋ด้วย
แม้ตะกร้าไม้ไผ่ทั้งห้าใบจะใหญ่มาก แต่ลูกท้อของที่นี่ก็ใหญ่เช่นกัน ต่อให้เก็บจนเต็มตะกร้า ลูกท้อในป่าท้อผืนนี้ก็ยังไม่หมด
นางจึงเลือกเก็บเพียงลูกท้อที่ผลใหญ่อวบอิ่มสีแดงสด
เจ้าอาวาสเห็นลูกท้อห้าตะกร้าใหญ่ที่พวกเขาเก็บมาก็ยอมปิดตาข้างหนึ่ง*[1] ด้วยการเบือนหน้าหนีกลับมา หลับตาสวดมนต์อยู่บนฟูกต่อไป
หนานกงสือเยวียนสั่งให้คนนำลูกท้อทั้งหมดไปไว้ที่รถม้า ส่วนตัวเขาก็เข้าไปนั่งฟังบทสวดในห้องปฏิบัติธรรมของเจ้าอาวาสเหมือนในวันวาน
เดิมทีหนานกงสือเยวียนไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา แต่หลังจากที่เขาถูกเจ้าอาวาสจับไปนั่งฟังท่านสวดมนต์เป็นเวลานาน ความโกรธแค้นในใจก็สงบลง สุดท้ายเขาก็นั่งฟังเจ้าอาวาสอย่างเต็มใจ
เสี่ยวเป่าทำตามท่านพ่อทุกอย่าง นางนั่งขัดสมาธิบนฟูก ลูกตาสีดำเหมือนลูกองุ่นกวาดมองรอบ ๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ และเงี่ยหูฟังเสียงสวดมนต์ของท่านอาจารย์อย่างตั้งอกตั้งใจ
แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่นางก็เป็นเด็กดีด้วยการนั่งนิ่งไม่ส่งเสียงดังรบกวน ผ่านไปไม่นานนางก็เริ่มรู้สึกสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จนกระทั่งบทสวดของเจ้าอาวาสจบลง ท่านจึงหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมอบให้นาง
เสี่ยวเป่า “ท่านอาจารย์มอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวเป่าด้วยเหตุใดเจ้าคะ? แล้วเสี่ยวเป่าต้องโกนผมด้วยหรือไม่?”
นางถามพลางลูบผมดกดำนุ่มสลวยอย่างหวงแหน
เจ้าอาวาสคลี่ยิ้มพร้อมลูบหัวนางเบา ๆ “ไม่ต้องหรอก แค่อ่านก็พอแล้ว”
กล่าวจบ เจ้าอาวาสก็ลุกขึ้นไปหยิบโถดินเผาเคลือบเงาที่มีขนาดเท่าฝ่ามือไม่เล็กไม่ใหญ่สองใบออกมาจากลิ้นชักในห้อง แล้วยื่นให้นาง
เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน แต่หนานกงสือเยวียนรู้เป็นอย่างดี
ของล้ำค่าอีกสองอย่างของวัดต้ากั๋ว
ชาอวิ๋นอู้และเม็ดบัวทองคำขาว
ชาอวิ๋นอู้เติบโตใกล้กับน้ำพุร้อนศักดิ์สิทธิ์บนเขาอู้ซาน พวกมันมีเพียงห้าต้นเท่านั้น เนื่องจากใบชาถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากวัดต้ากั๋วจึงถือได้ว่า เป็นชาชั้นสูงที่มีสรรพคุณรักษาโรคภัย ช่วยให้จิตใจสงบและปลอดโปร่ง
ชาเพียงหนึ่งใบก็ถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหายากยิ่ง แม้กระทั่งในวังยังได้รับชาเพียงหนึ่งหรือสองโถต่อปีเท่านั้น
เม็ดบัวทองคำขาว ตั้งชื่อตามดอกบัวทองคำชนิดหนึ่งที่ผลิบานทุก ๆ เดือนแปดในสระบัวของวัดต้ากั๋ว ดอกบัวจะผลิบานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก่อนจะเหี่ยวเฉา
เม็ดบัวมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เก็บได้นาน ยิ่งเก็บนานยิ่งหอม มีฤทธิ์ขับสารพิษ ช่วยให้หลับสบาย ผ่อนคลายจากความเครียด และความเมื่อยล้า
เมื่อเทียบกับลูกท้อแล้ว สองสิ่งนี้ถือเป็นของล้ำค่าที่แท้จริงของวัดต้ากั๋ว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงและขุนนางจำนวนมากมาที่นี่พร้อมกับทองคำและเงินในมือเพื่อของสองสิ่งนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สมหวังที่จะได้รับชาอวิ๋นอู้และเม็ดบัวทองคำขาวจากวัดต้ากั๋วไป
เสี่ยวเป่ารับโถใบเล็กที่ท่านอาจารย์มอบให้มา และเอ่ยขอบคุณด้วยความนอบน้อม หลังจากนั้นนางก็วิ่งไปหาท่านพ่อพร้อมโถดินเผาใบเล็กสองใบในอ้อมแขน
“ท่านพ่อ ๆ ท่านอาจารย์มอบให้เสี่ยวเป่า”
เจ้าก้อนแป้งเอ่ยเสียงหวานนุ่มนวล
หนานกงสือเยวียน “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาส”
นักพรตเสวียนจีโผล่มาจากที่ใดก็ไม่รู้จู่ ๆ ก็พูดเสียงดัง “มากเกินไปแล้ว มากเกินไปแล้วนะ ฮุ่ยเยวี่ยนลำเอียงเกินไปแล้ว ข้าเคยขอของพวกนี้จากท่านมาตั้งนานแล้ว ท่านก็ไม่มอบให้ข้าเสียที แต่กับเจ้าเด็กนี่พบกันเพียงคราแรก ท่านก็ให้นางไปตั้งสองโถพร้อมกันในคราเดียว”
เสี่ยวเป่าบุ้ยปากพลางเอ่ยเยาะเย้ย “ก็เสี่ยวเป่าน่ารักน่าเอ็นดูกว่าท่านน่ะสิ”
ปากน้อย ๆ นั่นช่างพูดช่างจาจริงเชียว
เจ้าอาวาสตอบเพียงว่า “เสี่ยวเป่ากับข้านั้นมีวาสนาต่อกัน”
“บังเอิญน่ะสิไม่ว่า ข้าเองก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่กับข้ามีวาสนาต่อกัน แต่ข้าเข้าใจผิด เจ้าเด็กนี่ไม่อยากเป็นศิษย์ในสำนักข้า แน่นอนว่านางก็คงไม่อยากเป็นแม่ชีน้อยด้วย จริงหรือไม่?”
เจ้าก้อนแป้งหมุดตัวเข้าไปซบหน้าลงบนตักท่านพ่อ “เสี่ยวเป่าเป็นลูกท่านพ่อ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นนักพรตหรือแม่ชีเลย”
พูดจบ นางก็ก้มมองโถดินเผาใบเล็กสองใบในมือด้วยสีหน้ายุ่งยากอยู่ครู่หนึ่ง
“คราวหน้าเสี่ยวเป่าจะเอาของกำนัลมาให้ท่านอาจารย์ด้วย”
ท่านอาจารย์มอบของให้นาง นางก็มีของให้ท่านอาจารย์เช่นกัน!
ห้องปฏิบัติธรรมของเจ้าอาวาสครื้นเครงมาก นักพรตเสวียนจีดูจะชอบแกล้งเสี่ยวเป่ามาก เขาชอบทำให้คนตัวเล็กโมโหจนแก้มป่อง แทบจะระเบิดอยู่ร่อมร่อ
ทว่าช่วงเวลาสงบสุขนั้นช่างสั้นนัก
‘ฟิ้ว!!!’
เสียงเบา ๆ แหวกอากาศเข้ามา ชั่วพริบตาคนทั้งสามยกเว้นเสี่ยวเป่ารีบลุกขึ้นระวังภัย
หนานกงสือเยวียนดึงมีดสั้นออกมาจากด้านในรองเท้าก่อนจะขว้างมันออกไป ลูกศรจากหน้าไม้ทะลุหน้าต่างเข้ามา อาวุธทั้งสองพุ่งเข้าหากันได้พอดิบพอดี เสียงเหล็กกล้ากระทบกันดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟจากการเสียดสี เป็นลูกศรจากหน้าไม้ที่พ่ายแพ้และหล่นลงพื้นในที่สุด
ทั้งองครักษ์เงาและองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตอบสนองทันที พวกเขาชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว “คุ้มกันฝ่าบาท!”
หลังจากนั้นก็เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง เสียงคมศัสตราเสียดสีกันดังมาจากข้างนอก
เสี่ยวเป่าผู้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนได้แต่ยืนอึ้ง กะ…เกิดอะไรขึ้น?!
“ท่านเจ้าอาวาส รบกวนท่านดูเสี่ยวเป่าให้ข้าที”
หนานกงสือเยวียนชักกระบี่เล่มยาวออกมา และรีบรุดออกไปทันทีที่เอ่ยจบ เสี่ยวเป่าที่เห็นเต็มสองตาว่าท่านพ่อเปลี่ยนไปจากสัตว์ร้ายที่กำลังพักผ่อนอย่างเกียจคร้าน กลายเป็นสัตว์ร้ายที่หมายจะออกล่า
ไอสังหารแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“อมิตาพุทธ”
เสี่ยวเป่าดึงสติตนเองกลับมาได้สำเร็จ นางถึงได้เรียกหาท่านพ่อเสียงตื่นตกใจ “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
เจ้าอาวาสรีบรั้งตัวนางไว้ “เสี่ยวเป่าอย่าได้กังวล เสด็จพ่อของเจ้าจะไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่หากเจ้าออกไปเขาจะเป็นกังวลเอา”
พอเจ้าอาวาสบอกอย่างนั้น แม้เสี่ยวเป่าจะยังกระวนกระวาย แต่นางก็ไม่กล้าวิ่งออกไป ได้แต่ยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ข้างใน
เสียงจากข้างนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ ซ้ำยังมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังเป็นระยะ ๆ ทำให้เจ้าก้อนแป้งยิ่งหน้าถอดสี
“ท่านอาจารย์ ท่านพ่อจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เสี่ยวเป่าปิดหูด้วยมือเล็ก ๆ น้ำตาร่วงหล่นเป็นสายน้ำ
ขณะที่เจ้าอาวาสกำลังจะปลอบนาง จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมคว้าตัวเสี่ยวเป่าหลบมาอีกทาง เสี่ยวเป่าหลบลูกศรอาบยาพิษจากหน้าไม้ได้อย่างหวุดหวิด
พวกเขารีบออกจากห้องปฏิบัติธรรม
สถานการณ์ด้านนอกห้องปฏิบัติธรรมน่าสลดใจยิ่งกว่า เลือดสีสดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เสี่ยวเป่าส่ายหน้าไปมาเหมือนจะเป็นลม จากนั้นนางก็ทำท่าจะวิ่งไปหาท่านพ่อตามสัญชาตญาณ โชคดีที่เจ้าอาวาสคว้าตัวไว้ทัน
หนานกงสือเยวียนเสียสมาธิเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงมาจากห้องปฏิบัติธรรม เขากวาดตามองรอบ ๆ ก็บังเอิญเห็นลูกศรที่พุ่งไปทางเสี่ยวเป่า ตอนนั้นเอง จิตสังหารเหนือการควบคุมพุ่งทะยานขึ้นมาทันที นัยน์ตาของเขาถูกย้อมด้วยสีแดงก่ำ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ด้านหลัง หนานกงสือเยวียนตวัดคมกระบี่บั่นศีรษะคนสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ
เสี่ยวเป่าเพิ่งจะเห็นท่านพ่อตัดศีรษะชายชุดดำด้วยกระบี่เล่มยาว
เสี่ยวเป่า “!!!”
แม้จะกลัว แต่ก็ยังเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ท่านพ่อของตนไม่เป็นอันใด
ชายชุดดำมีกันอยู่ไม่น้อย ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่ท่านพ่อ บางคนเหมือนกำลังมองหาใครบางคน และพวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เจ้าอาวาสเองก็มีวรยุทธ์ จึงปกป้องนางได้
แต่เสี่ยวเป่ากำลังกระวนกระวายใจที่เห็นชายชุดดำจำนวนมากกำลังปิดล้อมท่านพ่อไว้ ท่านพ่ออาจจะบาดเจ็บเอาได้!
ความวิตกกังวลนั้นทำให้นางเหลือบไปเห็นรังผึ้งบนต้นไม้ต้นหนึ่ง พลันเสี่ยวเป่าคิดแผนการบางอย่างได้ในทันที
“ท่านเจ้าอาวาส ไปที่นั่น ใต้ต้นไม้นั่น!”
เสี่ยวเป่าชี้ไปยังต้นไม้ที่มีรังผึ้งพลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อน
เจ้าอาวาสไม่ถามให้มากความ รีบทำตามคำขอของเด็กน้อยด้วยการพานางเหาะไปยังจุดหมาย
[1] ปิดตาข้างหนึ่ง หมายถึง แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้