เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 89 เฉ่าเหมยสุกแล้ว
บทที่ 89 เฉ่าเหมยสุกแล้ว
บทที่ 89 เฉ่าเหมยสุกแล้ว
แต่นางเอ่ยเช่นนี้ใช่ว่าคนฟังจะวางใจ ชุนสี่และคนอื่น ๆ ยังยืนหน้าซีดตัวแข็งทื่อเมื่อฝูงผึ้งบินผ่านหน้าพวกนาง ก่อนจะบินตรงไปหาองค์หญิงน้อย
เหล่านางกำนัลหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอก
ทว่านอกจากองค์หญิงน้อยของพวกนางจะไม่กลัวแล้ว เด็กน้อยยังยืดอกรับประกันให้พวกนางมั่นใจอีกด้วย
“ชุนสี่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัว เสี่ยวเป่าเป็นคนเลี้ยงผึ้งพวกนี้ พวกมันย่อมไม่ต่อยคนมั่วซั่ว!”
เสี่ยวเป่าเน้นย้ำอีกครั้งว่าผึ้งพวกนี้ไม่ต่อยจริง ๆ ซ้ำยังจับผึ้งตัวโตที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาแล้วทำปากจู๋ใส่มันอีกด้วย
“ดูสิ”
ชุนสี่ “!!!”
“องค์หญิงของหม่อมฉัน! พระองค์กำลังจะทำให้พวกหม่อมฉันกลัวแทบตายแล้วเพคะ!”
เสี่ยวเป่ามองอีกฝ่ายตาใสซื่อ เหมือนไม่รู้ว่าตนทำอันใดผิด นางแค่ต้องการพิสูจน์เองนะ
แม้วิธีการจะน่ากลัวไปหน่อย แต่นางกำนัลทั้งหลายก็จำใจยอมรับความจริงว่าองค์หญิงน้อยผู้กล้าหาญของพวกนางไม่เกรงกลัวผึ้งพวกนี้สักนิด ทั้งยังควบคุมพวกมันได้ด้วย
น่าอัศจรรย์มาก!
ถึงมันจะอัศจรรย์ แต่พวกนางก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ โดยเฉพาะนางกำนัลที่ยังเป็นแม่นางน้อย คงมีแค่องค์หญิงเท่านั้นแหละที่กล้าหาญเจริญรอยตามฝ่าบาท ไม่รู้จักเกรงกลัวสิ่งใด!
เมื่อเห็นว่าพวกนางยังคงกลัวจนควบคุมสติแทบไม่อยู่ เด็กน้อยจึงให้พวกนางออกไปก่อน
ดูเหมือนว่านับจากนี้ไป นางจะต้องปล่อยให้เจ้าผึ้งงานหาอาหารกันเอง ที่สำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวต่อหน้าชุนสี่และคนอื่น ๆ
เสี่ยวเป่ากับเหล่าผองเพื่อนแช่เม็ดบัวชุดเดิมเพื่อดื่มอีกสามครั้งถ้วน ช่วงหลังรสชาติก็อ่อนลง นางจึงหยิบเม็ดบัวมามอบให้เสี่ยวไป๋และเฟิงเฟิง
พอเสี่ยวไป๋ลิ้มลองเม็ดบัวจนหมดแล้ว มันก็เดินวนรอบตัวเจ้านายตัวน้อย
เพราะเสี่ยวเป่ากำลังกอดโถชาอวิ๋นอู้และเม็ดบัวไว้ในอ้อมแขนเพื่อเอาไปเก็บ จากนั้นองค์หญิงน้อยก็ขอให้ชุนสี่หอบลูกท้อห้าผลใหญ่ไปหาท่านพ่อกับนาง ของดี ๆ เช่นนี้นางย่อมไม่ลืมที่จะแบ่งปันให้ท่านพ่อ อืม… อีกอย่างนางยังต้องไปดูอาการบาดเจ็บของท่านพ่อด้วย
สรุปแล้ว ชุนสี่และฝูไห่กงกงต่างก็ได้รับลูกท้อไปคนละผล คนทั้งสองดีใจจนเห็นฟันแต่ไม่เห็นตา พร้อมกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
คนตัวเล็กเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านพ่อ หลังจากมอบลูกท้อให้สองคนนั้นแล้ว ก็วิ่งตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ ตัวติดท่านพ่อแทบทั้งวัน
ซ้ำยังทำตัวเป็นผู้จัดการตัวน้อย ท่านพ่อนั่งทรงงานอยู่นานสองนานก็ต้องจัดการ ท่านพ่อไม่ยอมกินยาก็ต้องจัดการ พอหมอหลวงจางมาตรวจอาการ นางก็ยังยกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งเฝ้า และจดทุกสิ่งที่ต้องระวังลงในสมุดบันทึกจิ๋ว
ข้อความในสมุดเล่มเล็กนั้นอ่านแทบไม่ออก มีแค่นางเท่านั้นที่อ่านออก แต่บางทีนางเองก็อ่านไม่ออกเช่นกัน
ณ วังหลัง พระสนมทั้งหลายได้รับสิ่งของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แล้ว
พอพระสนมขั้นผินได้ทราบข่าวว่ามีเพียงหวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟย และเฟยทั้งสี่เท่านั้นที่ได้ลูกท้อ เรื่องคราวนี้ไม่รู้ว่ามีสนมต่ำศักดิ์กี่มากน้อยที่ทำลายข้าวของในห้องหับของตนเพื่อระบายอารมณ์
ทว่าอี๋กุ้ยเฟยกลับเป็นหนึ่งในนั้น
ใบหน้านวลงามบึ้งตึง จ้องลูกท้อบนโต๊ะเขม็ง ก่อนจะขว้างถ้วยชาในมือเรียวงามออกไปสุดแรง
“หากข้าไม่ได้มีตำแหน่งกุ้ยเฟย ลูกท้อสักผลฝ่าบาทก็คงไม่คิดจะมอบให้ข้า!”
พระองค์ปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับพระสนมที่ต่ำขั้นกว่า อี๋กุ้ยเฟยนัยน์ตาแดงก่ำ ความเคียดแค้นชิงชังในใจของนางรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น
“พระสนมโปรดระงับโทสะ หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไปจะมิเป็นการดีนะเพคะ”
หมัวมัวลอบมองนางด้วยสายตาหวาดหวั่น นางเองก็เริ่มสิ้นหวังแล้วเช่นกัน
ทั้งที่พระสนมกำลังถือไพ่เหนือกว่าแท้ ๆ องค์ชายรองนั้นชาญฉลาด เมื่อครั้งเยาว์วัยยังเชื่อฟังมารดามาก ทว่าความกระหายในอำนาจและเอาแต่หวาดระแวงผู้อื่นของพระสนมได้ผลักไสองค์ชายรองให้ห่างออกไป
ยามนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่พอพระทัยในตัวพระสนมเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มอบลูกท้อให้เหลียงกุ้ยเฟยสองผล แต่ให้อี๋กุ้ยเฟยเพียงหนึ่งผล ทั้งที่ทั้งสองมีตำแหน่งกุ้ยเฟยเช่นเดียวกัน
การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ก็มิต่างอันใดกับการตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลมิใช่หรือ?
“ระงับโทสะ ๆ เจ้าจะให้ข้าระงับโทสะได้อย่างไร!”
นัยน์ตาสีแดงก่ำของหลี่เซียงอี๋แทบมีเปลวเพลิงลุกโชนออกมา นางหมายมาดไว้ในใจว่า ตนจะต้องคว้าตำแหน่งนั้นมาให้จงได้!
บุตรชายของนางจะต้องได้เป็นโอรสสวรรค์ และนางจะต้องได้เป็นสตรีที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลัง ได้เหยียบย่ำทุกคนที่หัวเราะเยาะเย้ยนาง!
สถานการณ์ในสำนักศึกษานั้นห่างไกลกันลิบลับกับวังหลัง เหล่าพี่ชายได้รับของที่น้องสาวส่งมาให้แล้วก็เจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่
“เจ้านี่ใช่ลูกท้อจากวัดต้ากั๋วหรือไม่ ใช่แล้ว มันต้องใช่แน่ ๆ มีเพียงลูกท้อจากวัดต้ากั๋วเท่านั้นที่จะอร่อยได้เพียงนี้ เสด็จพ่อพาน้องหญิงไปที่นั่นมาหรือ? อ๊า… ข้าก็อยากไปด้วย อยากไปเก็บลูกท้อในวัดต้ากั๋วด้วยตนเอง!”
หนานกงฉีหลิงพูดพร่ำไม่หยุดตั้งแต่ได้รับของกำนัล
หนานกงฉีเฉินเอือมระอาเขาเต็มทน “พี่ห้า ท่านช่วยหุบปากหน่อยจะได้หรือไม่ ข้าหนวกหูจะตายอยู่แล้ว”
พอหนานกงฉีเฉินเอ่ยออกไปเช่นนั้น เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นกว่าเดิม
“เม็ดบัวทองคำขาวนี้ข้ารู้จัก! ข้าบังเอิญเห็นมันในตู้เก็บของของท่านตา เมื่อครั้งกลับไปเยี่ยมท่านตาที่จวน กลิ่นมันหอมมาก ข้าจึงแอบกินไปสามเม็ด…”
เขาไม่มีหน้าจะเล่าต่อว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนั้น
หนานกงฉีรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสริมให้ว่า “จากนั้นเขาก็ต้องวิ่งหนีไม้เรียวใต้เท้าเฮ่อไปทั่วสามตรอก”
ไม่หลงเหลือมาดความเป็นองค์ชายเลยสักนิด
หนานกงฉีหลิงพึมพำ “ก็แค่เม็ดบัวสามเม็ด แต่พวกมันกลับมีค่ามากกว่าหลานชายอย่างข้าด้วยซ้ำ พวกเจ้าพูดเกินจริง!”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความทรงจำที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเม็ดบัวทองคำขาวนี้
หนานกงฉีเฉินกลอกตา “พี่ห้า ท่านจะไปเข้าใจสิ่งใด สิ่งที่ท่านกินไปมันคือเม็ดบัวล้ำค่าตั้งสามเม็ด หากเป็นข้า ข้าก็จะตีท่านเช่นกัน”
“ว่าอย่างไรนะ? เช่นนั้นเจ้าก็ลองตีพี่สักครั้งดูสิ กล้าหรือไม่?”
หนานกงฉีเฉินส่งเสียงฮึดฮัดพลางสะบัดหน้าหนี แล้วหันมาสนใจจดหมายที่น้องสาวเขียน ยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งหัวเราะ
เหล่าพี่น้องคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่องค์ชายสามผู้ชอบอยู่คนเดียวนั้นเอาแต่นั่งจ้องตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในห้องนอน เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี
หนานกงฉีอวิ๋นสูญเสียเสด็จแม่ไปตั้งแต่เด็ก องค์ชายคนอื่น ๆ มักจะได้รับสิ่งของต่าง ๆ ที่เสด็จแม่ของพวกเขาส่งมาให้ บางครั้งก็เป็นเสื้อผ้า บางครั้งก็เป็นอาหาร ของเหล่านั้นล้วนถูกเตรียมมาด้วยความใส่ใจ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่โดดเดี่ยวอยู่ร่ำไป ได้แต่แอบมองพี่น้องและนึกอิจฉาอยู่ในใจ
ทว่าตอนนี้เขาได้รับของที่น้องสาวส่งมาให้ แม้นางจะมอบให้ทุกคน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้ว
หนานกงฉีอวิ๋นค่อย ๆ หยิบของที่น้องสาวส่งมาให้ขึ้นมา รอยยิ้มจาง ๆ พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามที่เศร้าหมองราวกับบุปผางามที่ผลิบานในยามราตรี แม้สีจะจืดจางทว่าสวยงามน่ามอง
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกท้อสุกที่ได้มาเมื่อวานไม่เพียงไม่เน่าเสีย ทว่ายังดูอวบอิ่มและชุ่มฉ่ำอีกด้วย
อีกทั้งยังมีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เฉ่าเหมยและมะเขือเทศของเสี่ยวเป่าสุกแล้ว
ถึงมันจะยังไม่สุกทั้งหมด แต่แค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
ผลไม้สีแดงสดสองชนิดผลิดอกออกผลในเวลาไล่เลี่ยกัน มะเขือเทศนั้นมีขนาดเล็กและกลมมนเหมือนโคมไฟ ส่วนเฉ่าเหมยมีผลกลมรีรูปทรงดูดีมิบิดเบี้ยว แต่ละลูกใหญ่เท่ากำปั้นของเสี่ยวเป่า ผิวเนื้อส่วนที่โคนก้านติดกับผลนั้นเป็นสีขาวเล็กน้อย ส่วนที่เหลือมีสีแดงสด และมีกลิ่นหอมราวกับลูกท้อ
ชุนสี่และคนอื่น ๆ ประหลาดใจที่ได้กลิ่นหอมจากผลเฉ่าเหมย แม้พวกนางจะไม่เคยกินสิ่งที่เรียกว่าเฉ่าเหมย ทว่าเพียงได้เห็นผลสีสวยสดกับกลิ่นหอมเย้ายวนชวนลองนั้น น้ำลายของพวกนางก็แทบหก
วันนี้เสี่ยวเป่ามาที่สวนพร้อมบัวรดน้ำอันเล็กและตะกร้าไม้ไผ่ใบจิ๋ว หลังจากรดน้ำเสร็จ นางก็เริ่มเก็บเฉ่าเหมยผลเกลี้ยงเกลาด้วยอารมณ์เบิกบาน
เก็บเสร็จนางก็นั่งนับของในตระกร้า สรุปว่ามีเฉ่าเหมยสุกทั้งหมดยี่สิบหกลูก และมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะเอาไปทำอาหารหรือกินสด ๆ ก็ได้ทั้งนั้น
เสี่ยวเป่าไม่รอช้าหยิบเฉ่าเหมยลูกหนึ่งเข้าปากทันที เคี้ยวเพียงหนึ่งครั้งรสหวานอมเปรี้ยวกระจายออกมาทั่วทั้งปาก
“อร่อย~”
จากนั้นนางก็ขะมักเขม้นหาบางอย่างในตะกร้าก่อนจะรีบวิ่งไปหาท่านพ่อ
เฉ่าเหมยลูกใหญ่ที่สุดต้องให้ท่านพ่อกิน!