เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 91 ตัวใหญ่เท่านี้!
บทที่ 91 ตัวใหญ่เท่านี้!
บทที่ 91 ตัวใหญ่เท่านี้!
ตอนนั้นเอง หนานกงฉีรุ่ยที่อยู่ด้านหน้าก็พูดออกมาอย่างแช่มช้า
“อาจารย์ น้องแปดยังเด็กนักจึงไม่เข้าใจ เมื่อครู่เขาถามข้าว่า ‘อันคัมภีร์กวีนิพนธ์ทั้งสามร้อย หากอธิบายด้วยประโยคเดียว’ หมายความว่าอย่างไร”
หนานกงฉีจวินไม่เข้าใจสิ่งใดเลย ได้แต่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกล่าวยืนยันเสียงแข็ง “ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น!”
อาจารย์ชราปรายตามองไปทางองค์ชายแปด
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มาเรียนกันต่อเถิด หากองค์ชายแปดมีคำถามอันใดก็สามารถถามชายชราผู้นี้ได้โดยตรง”
ในที่สุดก็รอดพ้นจากการเทศนา หนานกงฉีจวินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เขาตบไหล่พี่เจ็ดด้วยความซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ
“พี่ชายที่แสนดี ข้าจะเป็นน้องชายที่ดีให้ท่านไปตลอดชีวิต!”
นอกจากจะไม่รู้ว่าตนเองเพิ่งโดนขุดหลุมใส่ ยังกล่าวขอบคุณผู้ที่ขุดหลุมใส่อีกด้วย
หนานกงฉีรุ่ยรับคำขอบคุณของน้องชายที่แสนดีอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากมีมารยาทก็หยุดพูดเสีย”
หนานกงฉีจวินรีบพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “โอ้ ได้ ๆ”
อ่า…หลังจากที่ถูกดึงเคราจนอาจารย์ไปฟ้องเสด็จพ่อครั้งที่แล้วจนได้รับคำตักเตือน เขาก็ไม่กล้าดึงเคราอาจารย์อีก
หนานกงฉีเฉินที่เห็นเรื่องราวทั้งหมด “…”
เขาแน่ใจว่า น้องเจ็ดรู้ว่าน้องแปดไม่สามารถท่องบทเรียนได้ จึงทำเช่นนี้โดยเจตนา จุดประสงค์ก็เพราะอยากดูท่าทางกระวนกระวาย เพื่อแก้แค้นที่พูดคุยจนทำให้ถูกอาจารย์ตำหนิ
ในที่สุดก็ได้เวลาเลิกเรียน ทว่าพวกเขายังไม่ทันออกจากห้อง ก็มีเจ้าตัวน้อยน่ารักโผล่หัวเข้ามาจากด้านนอกห้องหนังสือ
หนานกงฉีจวินเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น เนื่องจากยังคงพะวงถึงกลิ่นนั่นจึงไม่เลิกสอดส่องมองหา เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบกับเจ้าก้อนแป้งที่โผล่หัวเข้ามา
“น้องหญิง!”
เมื่อเขาร้องออกมา ทุกคนในห้องหนังสือก็หันไปมองโดยพลัน
“ท่านพี่~”
เจ้าตัวน้อยยกมือขึ้นโบกราวกับแมวกวัก
“เสี่ยวเป่า”
“เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่กัน?”
“มาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”
พริบตานั้นเอง ทุกคนล้วนวิ่งไปทางหน้าประตูอย่างคึกคัก
องค์ชายห้าหนานกงฉีหลิงวิ่งได้ไวที่สุด เขากระโดดข้ามออกมาจากหลังโต๊ะ ตรงเข้ากอดน้องสาวตัวนุ่มนิ่มเป็นคนแรก
“ข้าแย่งน้องสาวมาได้คนแรก ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หนานกงฉีหลิงที่กำลังกอดคนอยู่หัวเราะออกมาด้วยความโอ้อวด
หนานกงฉีจวินเท้าเอวตะโกนออกมาด้วยความไม่ยินยอม “หากข้าไม่อายุน้อยกว่าพี่ห้าหลายปี ท่านจะเร็วกว่าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หนานกงฉีเฉินเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ใช่แล้ว!”
หนานกงฉีหลิงส่งเสียงฮึดฮัด “พวกเจ้าก็แค่อิจฉาความแข็งแรงของคนที่โตแล้วอย่างข้า ตอนที่ข้ายังเด็กเท่าเจ้าก็ปีนต้นไม้ได้เร็วกว่าลิงแล้ว!”
ยิ่งพี่น้องมาก ยิ่งเสียงดังเริงร่า
“พี่ห้าปล่อยเสี่ยวเป่าลงนะ เสี่ยวเป่าจะเอาเฉ่าเหมยให้พวกท่าน”
หนานกงฉีหลิงเอ่ย “เฉ่าเหมย? นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าปลูก? เมื่อวานก็ส่งลูกท้อจากวัดต้าเซี่ยมาให้พวกเรา วันนี้ก็เอาเฉ่าเหมยมาให้อีก เหตุใดน้องสาวข้าถึงแสนดีเพียงนี้”
ขณะที่เขาพูดก็ถูไถกับแก้มของน้องสาวตัวนุ่มในอ้อมแขน
เฮ้อ…น้องสาวตัวน้อยของเขาไม่เพียงนุ่มนิ่ม ยังตัวหอมอีกด้วย
เมื่อคลอเคลียเสร็จแล้ว หนานกงฉีหลิงก็วางร่างน้อย ๆ ในอ้อมแขนลง
“บัดซบ! ผึ้งตัวใหญ่มาจากที่ใดกัน!”
เพิ่งจะวางน้องสาวลง เขาก็ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้น หนานกงฉีหลิงหันมองตามเสียงก่อนจะหลุดเสียงสบถออกมา เขาคว้าหาสิ่งที่อยู่ใกล้มือมาตีมันทันที
เสี่ยวเป่าร้องออกมา “ท่านพี่อย่า!!!”
ยังดีที่นางพญาผึ้งสามารถเคลื่อนหลบได้อย่างรวดเร็ว ทว่ามันก็เกิดความโกรธขึ้นมา พุ่งตรงไปยังหนานกงฉีหลิง
“เฟิงเฟิง*[1]อย่าต่อยพี่ห้านะ!”
การเคลื่อนไหวของหนานกงฉีหลิงก็ไม่ได้เชื่องช้า เมื่อผึ้งพุ่งเข้ามา เขาก็วิ่งกระโดดขึ้นลงไปมาราวกับวานร
ตามมาด้วยเสียงโครมคราม ทั้งห้องหนังสือเละเทะด้วยฝีมือหนึ่งผึ้งหนึ่งคน
เมื่อหลีรุ่นผู้เป็นอาจารย์ของวิชาต่อไปเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบเข้ากับห้องอันเละเทะวุ่นวาย หากไม่ใช่เพราะเห็นเหล่าคนที่อยู่ข้างในนั้น เขาคงจะสงสัยว่าตนเองมาผิดที่เสียแล้ว
ขณะนั้นเอง เหล่าองค์ชายและหนึ่งองค์หญิงน้อยที่อยู่ในห้องหนังสือล้วนจับจ้องไปทางราชครูที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตู
ทุกคน “…”
เสี่ยวเป่าประคองเฟิงเฟิงไว้ในมือ ก่อนจะซ่อนเอาไว้ด้านหลังตนเอง หนานกงฉีหลิงที่มีความผิดก็หดคอ
เพียงแต่…หลังจากที่เขาสงบศึกกับผึ้งตัวนั้นภายใต้คำอธิบายของน้องสาว ห้องเรียนก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้ไปแล้ว
“ท่านราชครู”
หลายคนประสานเสียงแสดงความเคารพ
หลีรุ่นกวาดตามองพวกเขาหลายครั้ง ก่อนจะเดินช้า ๆ เข้าไปนั่งลง
“บอกมาว่าผู้ใดที่สู้กัน?”
หนานกงฉีเฉินยิ้มระรื่น “ไม่มีผู้ใด ไม่มีผู้ใด พวกเราพี่น้องล้วนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จะมาต่อสู้กันได้อย่างไร จริงหรือไม่”
คนอื่นต่างพยักหน้า
หนานกงฉีหลิงเอ่ย “ท่านราชครูเข้าใจผิดแล้ว เป็นข้าที่เพิ่งเห็นผึ้งตัวใหญ่ จึงวิ่งไล่จนห้องเรียนอยู่ในสภาพเช่นนี้”
นี่นับว่าเป็นการกล่าวความจริง เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าผึ้งตัวนั้นถูกน้องสาวนำเข้ามา
หลีรุ่นยิ้มเย็น “ผึ้งหรือ? ผึ้งตัวใหญ่แค่ไหนกันถึงทำให้องค์ชายห้าต้องวิ่งไล่?”
เสี่ยวเป่ายกนางพญาผึ้งในมือออกมาด้วยความใสซื่อ เสียงของเจ้าก้อนแป้งดังกังวาน
“ตัวใหญ่เท่านี้!”
หลีรุ่นเห็นผึ้งตัวใหญ่ที่อยู่ในมือเล็ก ๆ ของนางแล้วก็แทบหายใจไม่ออก
คนอื่น ๆ “…”
เหตุใดเจ้าต้องนำมันออกมาด้วย!
“เร็วเข้า องค์หญิงโยนมันออกไปเร็วเข้า!”
หลังจากเขาตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้โยนผึ้งออกไป แต่วางมันเอาไว้บนหัวของเสี่ยวไป๋
จากนั้นนางก็ไปยืนอยู่กับเหล่าพี่ชายด้วยท่าทางว่าง่าย ดวงตาใสซื่อคู่หนึ่งเปล่งประกายมองมาทางเขา
หลีรุ่นตกตะลึงจนพูดกับนางไม่ออก เขาได้แต่โบกมือปัด ๆ “ไปจัดโต๊ะเรียนให้เรียบร้อย”
“ขอบคุณท่านราชครู!”
ทุกคนต่างรีบแยกย้ายไปทันที
เสี่ยวเป่าเองก็เดินตามหลังพี่ชายไปช่วยจัดโต๊ะและเก็บตำราทั้งหมดที่ตกอยู่บนพื้น
หลังจากไม่มีสิ่งใดให้ตนเองทำแล้ว นางก็หยิบตะกร้าเล็ก ๆ ที่วางเอาไว้ขึ้นพร้อมกับหยิบเฉ่าเหมยลูกใหญ่ออกมา แล้วใช้เท้าสั้น ๆ วิ่งไปยังด้านหน้าห้อง
หลีรุ่นมองดูเจ้าก้อนแป้งที่งดงามละเอียดอ่อนดังหยกสลักวิ่งมาหา จากนั้นก็วางผลไม้สีแดงที่ไม่รู้จักไว้บนโต๊ะของเขา
“ท่านราชครู ข้าให้ท่านได้ลองทาน”
เด็กน้อยเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนิ่ม แววตาที่มองมาจริงใจเป็นพิเศษ ทั้งหมดทำให้คนไม่อาจหักหาญใจปฏิเสธสิ่งใดกับนางได้
“นี่คือ?”
หลีรุ่นมองไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเขาแล้วเงียบไปชั่วครู่ องค์หญิงน้อยต้องการติดสินบนเขาอย่างเปิดเผยงั้นหรือ?
เสี่ยวเป่ามองหน้าเขาตาแป๋ว “นี่เป็นเฉ่าเหมยที่ข้าปลูกเอง จำนวนที่เพิ่งสุกมีไม่มากนัก จึงแบ่งให้ท่านราชครูได้เพียงลูกเดียว เสี่ยวเป่าต้องขออภัยท่านราชครู เป็นเพราะเฟิงเฟิงทำให้เหล่าพี่ชายและท่านราชครูต้องเดือดร้อน”
คำขอโทษนี้ให้ความรู้สึกนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
หลีรุ่นพลันรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “องค์หญิงน้อยนับว่ามีน้ำใจ คำขอโทษของท่าน ขุนนางเฒ่าผู้นี้จะขอรับเอาไว้ ท่านลงไปนั่งเรียนกับเหล่าพี่ชายเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลีรุ่น ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
“ขอบคุณท่านราชครู”
พูดจบแล้วนางก็วิ่งลงไปแจกจ่ายเฉ่าเหมยให้กับเหล่าพี่ชายอย่างมีความสุข
[1] เฟิงเฟิง (蜂蜂) แปลว่า ผึ้งธรรมดา