เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 96 แกงจืดไข่ข้นใส่มะเขือเทศ
บทที่ 96 แกงจืดไข่ข้นใส่มะเขือเทศ
บทที่ 96 แกงจืดไข่ข้นใส่มะเขือเทศ
ณ ค่ายพักแรม ยามค่ำคืน กลิ่นหอมชวนหิวตลบอบอวลไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
ทุกคนชะเง้อคอสูดดมกลิ่นที่โชยมาตามอากาศ “กลิ่นนี้มันคือสิ่งใดกัน ไยหอมหวนถึงเพียงนี้!”
กินอาหารแห้งที่แสนจืดชืดมาก็หลายวัน กลิ่นหอมนี้ช่างยั่วยวนให้จิตใจพวกเขาปั่นป่วนเสียจนไม่อาจกล้ำกลืนกินอาหารแห้งในมือได้อีกต่อไป!
ไม่ใช่แค่ทหารเหล่านั้น แม้แต่พ่อครัวที่กำลังทำแกงจืดไข่ข้นใส่มะเขือเทศเองก็อยากลิ้มลองจนลอบกลืนน้ำลายไม่หยุด
เสี่ยวเป่าภูตพฤกษาตัวน้อยกลับชาติมาเกิด เป็นผู้เพาะพันธุ์มะเขือเทศลูกเล็กพวกนี้ด้วยพลังวิญญาณของนางเอง เสี่ยวเป่าเฝ้าประคบประหงมพวกมันด้วยพลังวิญญาณมาอย่างดี ฉะนั้นเรื่องรสชาติย่อมไม่ต้องพูดถึง
ต่อให้พ่อครัวจะปรุงรสมั่ว ๆ มันก็ยังอร่อยอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นน้ำแกงก็มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจมาก
แม้มะเขือเทศและไข่ไก่จะมีไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าน้ำแกงใส ๆ ไร้ซึ่งสารอาหารใดนอกจากน้ำ
หลังจากน้ำแกงต้มได้ที่แล้ว ก็ถูกยกออกมาแจกจ่าย คนในค่ายรีบกรูกันเข้ามารับไปคนละชามโดยไม่คิดรักษาภาพลักษณ์ของตน แต่ละคนถือชามอย่างระมัดระวังแล้วค่อย ๆ ยกมันขึ้นมาดื่มทีละนิด ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างสบายอารมณ์
“ยอดไปเลย น้ำแกงนี่รสชาติดีขนาดนี้ได้อย่างไร!”
“ข้าก็ไม่รู้ เหมือนเคยได้ยินว่ามันคือผลของต้นไม้ในกระถางที่องค์ชายรองทรงนำมาด้วย ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดต้องนำของไร้ประโยชน์พวกนั้นมาด้วย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าองค์ชายรองทรงมองการณ์ไกลมาก อืม… อร่อยจริง ๆ”
“เจ้าค่อย ๆ กินสิ หมดชามนี้แล้วก็ไม่มีให้เติมแล้วนะ”
หลังจากพ่อครัวเอ่ยเตือนแล้ว ทุกคนก็ละเลียดดื่มน้ำแกงในชามของตน บางคนเห็นว่ามีไข่และมะเขือเทศในชามตัวเองก็ตื่นเต้นดีใจไปครึ่งค่อนวัน
บางคนใส่อาหารแห้งลงในน้ำแกง ทำให้การกินอาหารแห้งในคราวนี้ถือได้ว่ารสชาติดีที่สุดตั้งแต่เคยกินมา นอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังอิ่มอร่อยอีกด้วย
คนอื่น ๆ เห็นอย่างนั้นก็ทำตาม อาหารมื้อนี้นับเป็นมื้อที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยได้กินในระหว่างการเดินทัพ
“หากวันพรุ่งนี้มีน้ำแกงนี้อีกก็คงจะดี”
“เพ้อเจ้อ! มีโอกาสได้ลิ้มลองเพียงหนึ่งครั้งก็เกินพอแล้ว เมื่อก่อนเราออกเดินทัพเคยได้รับของดี ๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน”
ทุกคนพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก รสชาติของน้ำแกงยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นไม่จางหาย
พอหนานกงฉีโม่กับเซี่ยสุ่ยอันได้ลองลิ้มรสน้ำแกงนี้ก็พอใจในรสชาติมาก อีกทั้งผู้บัญชาการสองสามคนที่มาร่วมดื่มกินด้วยก็ชื่นชอบน้ำแกงนี้เช่นกัน
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าผลเล็กจิ๋วนั่นจะนำมาทำเป็นของอร่อยขนาดนี้ได้”
ชายคนนั้นพูดพลางเหลือบมองรถม้าที่อยู่ไม่ไกล
ก่อนหน้านี้ เขาหมางเมินต่อสิ่งที่อยู่บนรถม้าทั้งสองคัน ซ้ำยังคิดว่าองค์ชายรองผู้นี้ทำให้เรื่องราวยุ่งยากวุ่นวาย แต่มาตอนนี้…
เขาสารภาพตามตรงว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไป ที่จริงแล้วสิ่งที่อยู่บนรถม้าสองคันนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า
ตลอดการเดินทางนี้พวกเขาจะได้กินของดี ๆ หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกมันแล้ว!
“องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์พอจะทราบหรือไม่ว่าเฉ่าเหมยกับมะเขือเทศมีเมล็ดหรือไม่มีเมล็ด?”
พอได้ลองลิ้มรสพวกมันแล้ว หลายคนก็เกิดความคิดที่จะปลูกมัน เฉ่าเหมยนั้นถึงจะอร่อย แต่อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ผลไม้
สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว ความอิ่มท้องนั้นย่อมสำคัญกว่า
มะเขือเทศลูกเล็กพวกนั้นไม่เพียงสามารถกินเป็นผลไม้เท่านั้น แต่ยังใช้ทำอาหารได้อีกด้วย ที่สำคัญคือพวกมันทั้งผลิดอกออกผลครั้งละมาก ๆ รสชาติเองก็อร่อยไม่น้อย
หนานกงฉีโม่ค่อย ๆ เช็ดปาก ทุกอากัปกิริยาดูสง่างาม ตรงกันข้ามกับเหล่าบุรุษแข็งกระด้างรอบข้างที่ใช้มือเช็ดปากลวก ๆ
“มี เมล็ดสีดำบนเฉ่าเหมยก็คือเมล็ด ส่วนเมล็ดด้านในผลมะเขือเทศก็คือเมล็ดของมัน”
“หา! เหตุใดพระองค์ทรงไม่รีบตรัสเล่าพ่ะย่ะค่ะ พวกเรากินมันไปหมดแล้ว!” หนึ่งในนั้นตบต้นขาของตนด้วยความเสียดาย
เซี่ยสุ่ยอันปรายตาตำหนิพวกเขา “จะรีบเร่งไปไย คราวหน้ายังมีอีก”
“จริงด้วย เช่นนั้นองค์ชายรอง…”
บุรุษผิวคล้ำหุ่นล่ำบึกทำท่ากระมิดกระเมี้ยนมองหนานกงฉีโม่
หนานกงฉีโม่มุมปากกระตุก “จะพูดสิ่งใดก็รีบพูดมา!”
เขาทนมองท่าทางอุจาดตานั้นไม่ไหวแล้ว
“มะเขือเทศพวกนั้นมีมากถึงเพียงนี้ พระองค์คงจะเสวยไม่หมด พรุ่งนี้พวกกระหม่อมยังจะได้กินของดี ๆ เช่นนี้อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
คนที่เหลือมองเขาตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หนานกงฉีโม่ “เก็บมันแล้วส่งไปให้พ่อครัวก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นพวกกระหม่อมไม่รบกวนพระองค์แล้ว…แหะ ๆ”
เมื่ออีกฝ่ายรับปากแล้ว พวกเขาย่อมต้องพอใจที่จะได้กินน้ำแกงเลิศรสนี้อีก
และในไม่กี่วันต่อมา เหล่าทหารกล้าก็ได้รู้ว่าสิ่งใดคือบุญวาสนานำมาซึ่งความผาสุก
มะเขือเทศสุกทุกวัน ซ้ำยังสุกมากขึ้นเรื่อย ๆ หากมีไข่ไก่ไม่เพียงพอพวกเขาจะไปซื้อในหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างทาง หนานกงฉีโม่ไม่จำเป็นต้องควักเงินเลยสักนิด เหตุเพราะพวกเขาซื้อไข่ไก่ด้วยเงินของตนเอง
ถึงอย่างไรมะเขือเทศก็เป็นขององค์ชายรอง พวกเขาที่ไม่ได้มีสิ่งใดมาสมทบจะนิ่งเฉยได้อย่างไร
เฮ้อ… นี่เป็นการเดินทัพทางคราแรกที่เหล่าทหารไม่ได้รู้สึกลำบากยากเข็ญ
เมื่อกองทัพเดินทางถึงเขตอำเภอถัดไป หนานกงฉีโม่ก็ได้รับของบางอย่างที่น้องสาวตัวน้อยของเขาส่งมาให้
ลูกท้อทั้งหมดยี่สิบผลจากวัดต้ากั๋ว โถใบหนึ่งใส่น้ำสีแดงที่ถูกเคี่ยวจนเหนียวหนืด มีข้อความเขียนกำกับไว้ว่ามันคือน้ำมะเขือเทศเคี่ยว*[1] สิ่งนี้มีวิธีกินอย่างไรบ้างก็เขียนกำกับไว้ทั้งหมด
ข้อความเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ฝีมือเสี่ยวเป่าเป็นแน่ เพราะเจ้าก้อนแป้งยังอยู่ในวัยที่เขียนอ่านได้ไม่มากนัก
โถใส่น้ำมะเขือเทศเคี่ยวนี้ใหญ่โตนัก หากรอให้มะเขือเทศสุกตามธรรมชาติ มันย่อมไม่เพียงพอ เสี่ยวเป่าจึงแอบใช้พลังวิญญาณทำให้มะเขือเทศลูกเล็ก ๆ จำนวนมากสุกงอมในเร็ววัน จากนั้นนางก็พาคนขนพวกมันไปให้เหล่าอู๋ พ่อครัวประจำห้องเครื่องเคี่ยวมะเขือเทศพวกนี้จนกลายมาเป็นเครื่องจิ้มที่เรียกว่า น้ำมะเขือเทศเคี่ยว
แน่นอนว่านางมีหน้าที่สั่ง ส่วนเหล่าอู๋มีหน้าที่ทำ
นอกจากนี้ยังมีเม็ดบัวกับใบชาอีกด้วย หนานกงฉีโม่จำได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าจากวัดต้ากั๋ว
น้องสาวไปวัดต้ากั๋วเพื่อของพวกนี้อย่างนั้นหรือ?
ของชิ้นสุดท้ายที่เขาได้รับคราวนี้เป็นจดหมายที่เสี่ยวเป่าเขียนเองกับมือ แต่จดหมายของนางอ่านแทบไม่ออก อักษรบางตัวเขาจำแทบไม่ได้ และไม่แม้แต่จะเดาได้เลยด้วยซ้ำ
ทว่าในที่สุดเขาก็พยายามอ่านจนเข้าใจ เครื่องหน้ารูปงามพลันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
แม้มองจากภายนอก หนานกงฉีโม่จะยกยิ้มเพียงมุมปาก แต่รอยยิ้มกว้างกลับฉายชัดในดวงตาคมเฉี่ยวดุจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คู่นั้น เมื่ออ่านเสร็จแล้ว เขาก็วางจดหมายไว้ข้างกาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลูกท้อฉ่ำน้ำยี่สิบผลพลางเลิกคิ้วแปลกใจ
แม้ม้าเร็วจะรีบเร่งนำของพวกนี้มาส่งเร็วเพียงใดก็ตาม ถึงกระนั้นยังต้องใช้เวลาสองสามวันจึงจะมาถึงที่นี่
แต่เวลาตั้งสองสามวัน ลูกท้อยี่สิบลูกนี้ก็ยังฉ่ำน้ำและดูราวกับเพิ่งเก็บมาจากต้น
นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ
หนานกงฉีโม่ลูบคางพลางครุ่นคิด มือข้างหนึ่งหยิบลูกท้อขึ้นมาเพ่งมอง ทว่ากลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดเลย
“นำไปมอบให้แม่ทัพน้อยเซี่ยสองผล”
หากมองไม่เห็นก็อย่าได้สนใจเลย อย่างไรเสียคนที่ส่งมาให้ก็คือน้องสาวตัวน้อยของเขา
พอนึกได้อย่างนี้แล้ว มุมปากของหนานกงฉีโม่ก็ยกขึ้นเพราะความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
น้องสาวตัวน้อยคอยห่วงใยพี่ชายและท่านพ่อของนางในทุกลมหายใจเข้าออก นางเป็นเสียอย่างนี้ แล้วผู้ใดจะอดใจไม่รักใคร่เอ็นดูนางได้?
ด้านหนานกงฉีโม่กำลังคิดถึงน้องสาว ด้านเสี่ยวเป่าที่อยู่ในพระราชวังกำลังพูดพร่ำถึงพี่รองก็จามเสียงดัง จนเกือบกลิ้งหล่นจากตักของท่านพ่อ
โชคดีที่หนานกงสือเยวียนคว้าตัวนางไว้ทัน เขามองพระธิดาของตนด้วยสายตาหดหู่และไร้ซึ่งคำใดจะเอื้อนเอ่ย
นี่เขาต้องรู้สึกอย่างไรที่นาง…ซุ่มซ่ามขนาดนี้
จามเพียงครั้งเดียวก็เกือบทำให้ตนเองเจ็บตัวได้
เสี่ยวเป่าลูบจมูกป้อย ๆ หาได้สังเกตสายตาที่ท่านพ่อมองมา เมื่อครู่นางจามจนเกือบจะกลิ้งหล่น แต่นางกลับยังเริงร่าเหมือนไม่เคยเกิดอันใดขึ้น
“ท่านพ่อ พี่รองต้องกำลังคิดถึงเสี่ยวเป่าอยู่เป็นแน่! ต้องเป็นเพราะสิ่งของที่เสี่ยวเป่าส่งไปให้พี่รอง พี่รองได้รับมันแล้ว เฉ่าเหมยกับมะเขือเทศที่ข้ามอบให้ท่านพี่นำไปด้วยก็คงจะสุกแล้วเช่นกัน ทีนี้ท่านพี่ก็จะได้กินของดี ๆ แล้ว!”
[1] น้ำมะเขือเทศเคี่ยว หมายถึง ซอสมะเขือเทศ