เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 99 นางโชคดีมากจริง ๆ
บทที่ 99 นางโชคดีมากจริง ๆ
บทที่ 99 นางโชคดีมากจริง ๆ
วันต่อมา เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาที่ด้านล่างเตียง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพ่ออุ้มขึ้นไปบนเตียง นางก็สะลึมสะลือปีนขึ้นเตียงไปนอนต่อด้วยตนเอง
เสี่ยวเป่าซุกหน้าลงบนหมอนด้วยท่าที่ก้นน้อย ๆ โด่งขึ้น นางยังต้องการที่จะนอนต่อ
หนานกงสือเยวียนจัดท่าให้นางนอนบนเตียงดี ๆ หากเด็กน้อยอยากนอนต่อก็ปล่อยให้นอนไป
กว่าหนึ่งชั่วยามถัดมา นางจึงค่อยลุกออกจากเตียงด้วยเสียงงึมงำ ร่างกายอ่อนเปลี้ยดุจตุ๊กตา ดวงตาง่วงงุนดูสับสน ปล่อยให้นางกำนัลปรนนิบัติแต่งตัวให้
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้วนางก็ตบแก้มกลม ๆ เพื่อปลุกตนเองให้ตื่น
“องค์หญิง ได้ว่าเวลาอาหารเช้าแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินเรื่องของกิน นางก็ตื่นเต็มตา วิ่งออกไปโดยไม่สวมรองเท้าเสียด้วยซ้ำ
“มาแล้ว มาแล้ว…”
“องค์หญิง รองเท้า โปรดสวมรองเท้าก่อนเพคะ!”
เสี่ยวเป่ามองดูเท้าน้อย ๆ ของตนเอง จากนั้นก็วิ่งดุ๊กดิ๊กกลับไป
“ลืมสวมรองเท้าเสียแล้ว”
หลังจากสวมรองเท้าแล้ว ขาน้อย ๆ ก็พาร่างของนางไปทานข้าวเช้าอย่างร่าเริง
เจ้าก้อนแป้งกัดซาลาเปาเนื้อคำใหญ่ แก้มสองข้างพองออก สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
เพียงแค่มองนางก็ราวกับมีความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ ดูแล้วน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางคล้ายกับกระรอกตัวน้อยที่ยัดอาหารเอาไว้เต็มแก้ม
ทว่าเจ้าตัวน้อยน่ารักนุ่มนิ่มนี้เป็นของฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเท่านั้น พวกเขาทำได้แค่มองไม่อาจแตะต้องได้
โอ้ แต่เหล่าองค์ชายก็ได้รับอนุญาตให้จับต้องได้
เจ้าก้อนแป้งที่กำลังกินอย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าตัวว่าทุกคนต่างกำลังเฝ้ามองนางกินข้าว ทุกสายตามองไปยังก้อนแก้มนุ่มนิ่มของนาง!
หลังจากกินจนอิ่มก็เรอออกมาด้วยความพึงพอใจ แล้วเสี่ยวเป่าก็พาเสี่ยวไป๋กับเฟิงเฟิงออกไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร จากนั้นก็วิ่งกลับมานั่งบนตั่งไม้เล็ก ๆ เพื่อรอท่านพ่อที่เสร็จสิ้นการว่าราชการ
เจ้าก้อนแป้งที่ราวกับก้อนหิมะกำลังนั่งประคองคางตัวเองด้วยมือสองข้าง ใบหน้าจิ้มลิ้มกลมกลิ้ง ราวกับทานตะวันน้อยดอกหนึ่ง
เมื่อเห็นท่านพ่อของตนเองแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนทันที จับจีบยกกระโปรงของตัวเองขึ้นแล้วพุ่งไปหาทันใด
“ท่านพ่อ~”
พอได้กอดต้นขาของท่านพ่อแล้ว นางก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่ออีกแล้ว!
นางคิดถึงท่านพ่อทุกวัน!
พริบตาต่อมาที่ได้เห็นพี่ใหญ่นั่งอยู่บนรถเข็นด้านหลังท่านพ่อ เด็กน้อยก็ปล่อยมือจากต้นขาท่านพ่อ วิ่งไปหาพี่ใหญ่ทันที
นัยน์ตาสีดำขลับงดงามพลันเปล่งประกายขณะที่มองไปทางพี่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงน้อย ๆ ว่า
“พี่ใหญ่ ท่านมาหาเสี่ยวเป่าใช่หรือไม่ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านมากเลย ท่านพ่อบอกว่าวันนี้เสี่ยวเป่าสามารถไปหาพี่ใหญ่ได้…”
หนานกงสือเยวียนที่กำลังจะอุ้มคนขึ้นมา “…”
เจ้าตัวเล็กนี่หลายใจจริง ๆ!
ใบหน้าของบิดาเย็นเยียบ แววตาล้ำลึกหันไปมองทางเจ้าตัวเล็กที่วิ่งไปเอาอกเอาใจบุตรชายคนโต
เสี่ยวเป่ากับหนานกงฉีซิวรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา
เจ้าตัวเล็กที่ความรู้สึกค่อนข้างเฉียบไวหันไปมองท่านพ่อตัวเองทันที
“ท่านพ่อเป็นอะไรหรือเพคะ?”
หนานกงสือเยวียน “ข้าจะเป็นอะไรได้อย่างไร?”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาดูแปลกพิกล
หนานกงฉีซิวกระตุกมุมปาก เขาดูออกว่าเสด็จพ่อของเขากำลังดื่มน้ำส้มสายชู*[1] ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง…
แม้เสี่ยวเป่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ ท่านพ่อของนางก็ดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ทว่านางก็ไม่ได้เกรงกลัวใบหน้าเย็นชาของเขา เด็กน้อยซบร่างเข้าแนบชิดทันที
ผ่านไปเพียงไม่นานท่านพ่อก็ถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าไปกับพี่ใหญ่ก่อนนะเพคะ กลับมาแล้วเสี่ยวเป๋าจะเอาของอร่อยมาให้ท่านพ่อ~”
เสียงเล็ก ๆ ที่อ่อนหวานยังคงลอยอยู่ในอากาศ ทว่าเจ้าของเสียงกลับจากไปพร้อมพี่ใหญ่เสียแล้ว จากไปแบบไม่แม้จะหันมาโบกมือลาเขา
จากไปอย่างไม่หันมาไยดีแม้แต่น้อย…
หนานกงสือเยวียนแค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ผู้ใดจะสนใจของกินที่นางนำกลับมากัน
เสี่ยวเป่าพาพี่ใหญ่ไปที่สวนผักของตนเอง เพื่อสั่งคนให้ย้ายผักทั้งหมดที่เลือกเอาไว้เมื่อวานไปยังรถม้าของพี่ชาย ส่วนตนเองก็วิ่งเข้าไปในห้องเพื่อหยิบซอสมะเขือเทศและน้ำเชื่อมเฉ่าเหมยในไหกระเบื้องเคลือบออกมา
แม้จะปิดเอาไว้อยู่ แต่กลิ่นหอมหวานด้านในก็ลอยอบอวลชวนให้อยากกิน
หนานกงฉีซิวมองไปยังหัวไชเท้าด้วยความประหลาดใจ เหตุใดผักทั้งหมดในสวนของน้องสาว ถึงได้มีขนาดใหญ่กว่าผักที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนมาก?
หรือว่าสาเหตุจะมาจากดินที่ใช้ปลูก?
เสี่ยวเป่าวิ่งมาหาพี่ใหญ่พร้อมกับไหสองใบในอ้อมแขน
“ไปกัน ไปกันเถิดพี่ใหญ่”
หนานกงฉีซิวหันไปมองน้องสาว เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของนาง
“ไปกันเถิด”
เสี่ยวเป่าเอ่ยเรียกเสี่ยวไป๋รวมทั้งเฟิงเฟิงด้วย หนานกงฉีซิวที่ได้เห็นนางพญาผึ้งเป็นครั้งแรก ถึงกับเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นขนาดตัวมัน
“รีบไล่ผึ้งตัวนั้นออกไปเร็วเข้า”
เสี่ยวเป่า “…”
เฟิงเฟิง เหตุใดเจ้าจึงถูกคนรังเกียจถึงเพียงนี้กัน?
เฟิงเฟิง: ความผิดข้าหรือ?
“ท่านพี่ เฟิงเฟิงเป็นผึ้งที่ข้าเลี้ยงไว้เอง มันไม่ต่อยคน ทั้งยังเคยช่วยเสี่ยวเป่ากับท่านพ่อจัดการคนเลวด้วย…”
เสี่ยวเป่าเอ่ยเล่าเรื่องราวที่วัดต้ากั๋วในวันนั้น โดยเล่าเน้นไปที่ท่านพ่อเก่งกาจทรงอำนาจเพียงใด และเหล่าผึ้งก็ช่วยพวกนางจัดการกับเหล่าคนเลวอย่างไร
หนานกงฉีซิวรู้เรื่องการลอบสังหารเสด็จพ่อกับน้องสาวของตนเองมาก่อนแล้ว ยังดีที่ไม่เกิดเรื่องร้ายแรง น้องสาวของเขาจึงไม่เป็นอันใด ส่วนท่านพ่อแม้บาดเจ็บที่ไหล่ แต่วันต่อมาก็สามารถขึ้นว่าราชการได้ แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้หนักหนา
ทว่าตอนนี้ เมื่อได้มาฟังน้องสาวเล่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจเสียจนชำเลืองมองผึ้งด้านข้าง
“พวกผึ้งน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียว? นี่ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าใช่หรือไม่”
เดิมที เขาแค่ต้องการจะแกล้งหยอกเจ้าตัวเล็กเล่น ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นแววตาร้อนใจของเด็กน้อย
หนานกงฉีซิว “…หรือว่าจะมีบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าจริง ๆ”
เสี่ยวเป่าคว้าตัวนางพญาผึ้งมาไว้ในมือ “มันกับข้าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน!”
นี่นับว่าเป็นเรื่องจริงเช่นกัน!
หนานกงฉีซิวยิ้มแล้วเคาะหน้าผากของนาง
“เจ้าลองฟังสิ่งที่ตนเองพูดเสียสิ ล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย เจ้าพูดเองว่าผึ้งตัวนี้มาจากวัดต้ากั๋ว แต่เจ้าเคยไปวัดต้ากั๋วมาก่อนหน้านี้เสียที่ไหน? อีกทั้ง…จะมีเด็กธรรมดาที่ไหนสามารถเป็นเพื่อนกับผึ้งได้?”
เสี่ยวเป่า “…”
พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องพูดแล้ว เสี่ยวเป่ากำลังจะโดนท่านเปิดโปงหมดแล้ว!
หนานกงฉีซิวลูบหัวน้องสาวตนเองอย่างแผ่วเบา
“แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เจ้าจะยังคงเป็นน้องสาวของข้า เป็นพระธิดาของเสด็จพ่อ”
ยุคสมัยนี้ ผู้คนจำนวนมากยังคงเชื่อในเรื่องภูตผีเทพเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเสด็จพ่อหรือพวกเขา ต่างก็เกิดความคิดเหมือนกันว่าน้องสาวของพวกเขานั้นอาจเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด
ทว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ อย่างไรในชาตินี้ เสี่ยวเป่าก็ยังเป็นบุตรีของตระกูลหนานกง เป็นน้องสาวของเขา เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาคอยปกป้องดูแลนาง
คำพูดของพี่ใหญ่ทำให้เสี่ยวเป่าตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ ศีรษะน้อย ๆ เอียงคลอเคลียกับฝ่ามือของเขา
“พี่ใหญ่ ท่านดีมาก ๆ เลย!”
ชาติก่อนนางเติบโตมากับธรรมชาติ ไม่มีบิดามารดาหรือพี่น้อง เร่ร่อนในป่าเขาลำนำไพรหลายร้อยปี เดินทางเข้าไปยังโลกมนุษย์เพียงน้อยครั้ง กล่าวได้ว่าทั้งชีวิตมีปฏิสัมพันธ์กับเพียงเหล่าสัตว์และพืชพรรณ
ทว่าเหล่าสัตว์และพืชพรรณมีเพียงสัญชาตญาณ ไม่สามารถพูดหรือตอบรับคำพูดของนางได้
แต่ตอนนี้นางมีทั้งท่านพ่อ ท่านอา และเหล่าพี่ชายที่รักเอ็นดู นางโชคดีมากจริง ๆ!
[1] ดื่มน้ำส้มสายชู หมายถึง หึงหวง