เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 169 ไม่โจมตีเจ้าจะให้ไปโจมตีใคร
บทที่ 169 ไม่โจมตีเจ้าจะให้ไปโจมตีใคร
อัศวิน A กลับก่อนงานเลี้ยงเลือก หลังจากตาอ้วนหลิวอธิบายสั้นๆ ทุกคนก็แสดงท่าทีเข้าใจ อัศวินใหญ่เชียวนะ เขาว่างเข้าร่วมงานสังสรรค์ทางธุรกิจเป็นบางครั้ง แต่งานหลักของเขาก็คือผดุงคุณธรรมต่างหาก ปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องหยุมหยิมในโลกดีแล้ว…ฉีเยียนที่นั่งอยู่บนเวทีมองตามหลังของอีกฝ่ายที่หายตัวไปเงียบๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
อัศวิน A ปรากฏตัวบนหน้าผาเหนือหุบเขาทันที สถานที่เดียวกับคนกลุ่มนั้นเพิ่งยืนอยู่ไม่นานก่อนหน้านี้
ต้องยอมรับว่าการรับรู้ของระบบนั้นยังคงยอดเยี่ยมเช่นที่เคยเป็นมา
อัศวิน A เพียงแค่มองร่องรอยบนพื้นก็พบว่าร่องรอยของคนกลุ่มนั้นเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้จึงไล่ติดตามไปทันที
หลังจากไล่ตามไม่นานก็เข้าไปในบริเวณภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำที่สูงตระหง่าน ใกล้กันยังมีสระน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับ
อัศวิน A ชะงักเท้าไม่เดินทางไปต่อ แต่หยุดยืนดูอยู่ตรงนั้น
ฟางหนิงสังเกตโดยละเอียดก็สังเกตเห็นแต่เพียงลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว เสาหินสูงชะลูด พืชพรรณที่ดูเยือกเย็นและสระน้ำที่เย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง มันเป็นทิวทัศน์ที่พบได้ทั่วไปในช่วงหนาวเหน็บที่สุดของฤดูหนาวในดินแดนทางเหนือ
เขาได้แต่เอ่ยถาม “ที่นี่อะไรแปลกๆ เหรอ”
ระบบ “มีการซุ่มโจมตี”
ฟางหนิง “ซุ่มโจมตีอยู่ตรงไหนเหรอ”
ระบบ “ไม่ต้องรู้หรอก แค่ซ่อนตัวไว้”
ฟางหนิงพูดไม่ออก เขาหดหัวอยู่ในพื้นที่ของระบบแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็สว่างขึ้นเมื่อเขาเปิดดูก็เห็นข้อความ QQ บนโทรศัพท์มือถือที่เจิ้งต้าวส่งมา โดยบอกว่าเขาได้ติดต่อสำนักงานสัจธรรมแล้วเมื่อฟางหนิงอ่านแล้วก็บอกข่าวกับระบบ หลังจากสอบถามถึงความแข็งแกร่งของศัตรูและรายละเอียดตำแหน่งของสถานที่ชัดเจนแล้ว เขาก็คุยกับเจิ้งต้าวต่อ
ผ่านไปห้านาทีเต็มๆ อัศวิน A ยังคงยืนนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น
คนหนึ่งในกลุ่มสามคนที่ดักซุ่มอยู่เริ่มหมดความอดทนและส่งเสียงลับไปยังเพื่อน
“ซีน่าคามาล เราไม่มีเวลาแล้ว จู่โจม”
“อืม เมลัม ดูเหมือนว่าหลังจากเขาบาดเจ็บจะระวังตัวมากขึ้น การซุ่มโจมตีไม่ได้ผล”
“ข้ายังคิดว่าทำแบบนี้จะอันตรายเกินไป สิงโตที่บาดเจ็บยิ่งน่ากลัว”“เลิกพล่ามก่อน คามาล แสดงความกล้าหาญของคนหนุ่มซะ!”
หลังจากการส่งเสียงลับของทั้งสามคนจบลงก็ปรากฏเงาร่างรางๆ จากสามทิศทาง
ฟางหนิงถึงค่อยค้นพบการซุ่มโจมตี
ทันใดนั้น ชายผิวขาววัยกลางคนที่ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นไม่น้อยและอายุมากกว่าปรากฏตัวข้างเสาหินที่อยู่ไม่ไกลนักจากด้านหน้าของอัศวิน A
ขณะที่หญิงสาวผิวขาวหน้าตาสะสวยพลันปรากฏตัวขึ้นเหนือสระน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง เธอยืนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของชายวัยกลางคน ผมของเธอถักเปียเล็กๆ หลายเส้นและประดับไข่มุกหลายเม็ด
สุดท้ายเป็นชายหนุ่มผิวขาวรูปงามปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพงหญ้าและต้นไม้ ตำแหน่งของเขาอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของชายวัยกลางคน
เมื่อครู่ไม่ว่าฟางหนิงจะมองหาอีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่พบ เขาถอนหายใจ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ประจันหน้า แค่สังเกตและสัมผัสสภาพแวดล้อมในสนามรบ ระบบก็นำหน้าเขาไปหลายโยชน์แล้ว
เมื่อดูจากตำแหน่งของพวกเขา ฟางหนิงจินตนาการภาพในหัวทันที ซึ่งมันเป็นรูปแบบสามเหลี่ยม
ขอแค่อัศวิน A ขยับสองสามก้าวก็จะถูกล้อมไว้ทันที
“ฮึ่ม อัศวิน A ในที่สุดเจ้าก็ตามมาจริงๆ ข้ารู้อยู่แล้วนิสัยอย่างเจ้าไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไป ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เข้ามาในพื้นที่ซุ่มโจมตีของเรา แต่หนึ่งต่อสาม วันนี้ของปีหน้าคือวันครบรอบวันตายของเจ้า!” ชายวัยกลางคนผิวขาวที่แววตาโหดเหี้ยมมองอัศวิน A ราวกับว่ามีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้
ฟางหนิงได้ยินแล้วรีบกำชับระบบ “อย่าลืมแผนที่ฉันเคยบอกล่ะ…”
ระบบ “รับทราบ”
อัศวิน A “เจ้ารอใครอยู่ ข้าไม่เคยรู้จักกับเจ้า มีความแค้นอันใดกับข้า ทำไมถึงต้องมาซุ่มโจมตีที่นี่ด้วย”
เมื่อชายผิวขาววัยกลางคนเอ่ยตอบ “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกัน ก่อนเจ้าจะตาย ข้าจะบอกให้เอาบุญแล้วกัน พวกเราสามคนอยู่ภายใต้บัลลังก์ของเทพทั้งสามแห่งเทียนจู๋ ข้านามเมลัม เดไซ…ผู้สืบทอดเทพแห่งการสร้างสรรค์”
“คามาล โรซา…ผู้สืบทอดเทพแห่งการทำลายล้าง”
“ซีน่า อาลาฮาน…ผู้สืบทอดเทพแห่งการปกป้อง”
พวกเขาทั้งสามใช้เวลาสามนาทีถึงจะร่ายชื่อยาวเหยียดจนครบ
ฟางหนิงคิด ‘เขาจำได้แค่สองชื่อแรกเท่านั้นแหละ ส่วนข้างหลังเขาขี้เกียจจะฟัง…’
หลังจากแจ้งชื่อแล้ว ชายผิวขาววัยกลางคนที่ชื่อเมลัมก็กอดอกยิ้มเยาะเย้ย “ข้าพูดชื่อไปแล้ว ส่วนความแค้นเหรอ เจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว! เจ้าคิดว่าพวกเราจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งมรดกงั้นเหรอ ข้ามาถึงช้าไปก้าวหนึ่งถูกสำนักงานสัจธรรมปิดทางเข้า หมดหนทางเข้าไปในดินแดนมรดก
“แต่เทพย่อมมีอำนาจสูงสุด เทพแห่งการทำลายล้างส่งภาพที่อวตารในโลกมนุษย์ของท่านเห็นทั้งหมดให้พวกเราแล้ว เจ้านั่นแหละ เจ้าคือผู้ร้าย คนที่ฆ่าท่านเชส”อัศวิน A เอ่ยเสียงเรียบ “มันรังแกผู้อ่อนแอ บังอาจกำเริบเสิบสานผนวกดินแดนของผู้อื่น และยังไม่เห็นชีวิตมนุษย์ในสายตา ข้าถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับอาณัติแห่งสวรรค์ การฆ่ามันเป็นการกระทำที่ยุติธรรมแล้ว!”
เมลัมหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’ “ความยุติธรรมงั้นหรือ มังกรอย่างเจ้ากำเนิดจากสวรรค์ ช่างน่าขัน เจ้ารู้ไหมว่าอะไรถึงจะเรียกว่าความยุติธรรมในหมู่มนุษย์อย่างพวกเรา เมื่อก่อนความยุติธรรมอยู่ในปืนเท่านั้น แต่ตอนนี้มันอยู่ในกำมือของผู้แข็งแกร่ง!
คนไหนแข็งแกร่งคนนั้นคือความยุติธรรม! เจ้าอาจเคยเป็นผู้แข็งแกร่งมาก่อน มีคุณสมบัติที่จะคิดว่าตนเองคือความยุติธรรม แต่ในตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัสจากการต้านทานทักษะคำสาปสังหารทั้งสี่ของท่านเชสแล้ว เวลานี้เจ้าไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งอีกต่อไป ไม่มีสิทธิ์พูดถึงความยุติธรรมอีกแล้ว!”
ฟางหนิงรู้สึกไม่ยุติธรรม คนคนนี้บิดเบือนความคิด ความยุติธรรมคือความเที่ยงธรรม ไม่ใช่ ‘ผู้แข็งแกร่งเป็นตัวแทนของความยุติธรรม’ เด็ดขาดแต่มีเพียงคนยุติธรรมเท่านั้นที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าถึงจะมีคุณสมบัติที่จะดำรงความยุติธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะถูกคนชั่วอย่างพวกนี้เหยียบย่ำและหัวเราะเยาะเย้ย เรื่องแบบนี้ในประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ฝ่ายที่มีอำนาจทำสิ่งชั่วร้ายสุดท้ายก็ไม่มีใครเอาผิด มีเพียงวิญญาณของเหยื่อเท่านั้นที่ถูกลืมเลือนไปในหน้าประวัติศาสตร์
แน่นอนว่าฟางหนิงคิดว่าผู้มีความยุติธรรมมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะในอย่างนั้นยุคใหม่ถึงจะดำรงต่อไปได้อย่างมั่นคง มันทำให้เขามีอะไรเล่นและมีที่อยู่ต่อไป…
ระบบขัดจังหวะฟางหนิงที่คิดฟุ้งซ่าน “เฮ้ สัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่เคยโต้เถียงกับฉันเรื่องนี้มาก่อน…ผู้ชายคนนี้ค่อนข้างแปลก เขาเป็นคนแรกที่ต่อปากต่อคำ เราจะตอบโต้ยังไงดี”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “แกผดุงคุณธรรมทุกวัน อะไรคือความยุติธรรม แกควรจะรู้ดีที่สุด…”
ระบบ “ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันรู้แค่ว่ามีกฎเกณฑ์ กำจัดคนชั่วได้ แต่คนชอบธรรมกำจัดไม่ได้…”
ฟางหนิงคิดดูแล้วก็ใช่ เมื่อดูจากไอคิวของระบบ มนุษย์มีสารพัดคำตอบที่จะตอบคำถามนี้ไม่รู้จบ มันอยากจะเข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…
ฟางหนิงจึงแนะนำระบบว่าจะตอบโต้อย่างไร
อัศวิน A พูดต่อเรียบๆ “ตามตรรกะของเจ้าแล้ว ขอแค่ข้าสังหารเจ้าก็จะมีคุณสมบัติที่จะพูดถึงความยุติธรรมอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เมลัมก็โกรธจัด เขากำลังจะพูดแต่สหายสาวที่อยู่ข้างๆ กลับเตือนเขาทันที “ไม่ต้องพูดแล้ว ที่ผ่านมาอัศวิน A ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องไร้สาระกับศัตรู แต่วันนี้เขาผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาเจ็บหนัก เขาคงต้องการประวิงเวลา รอจนคนของสำนักงานสัจธรรมทราบความเคลื่อนไหวที่นี่แล้วมาช่วยเหลือ”
สีหน้าของเมลัมเย็นชา ไม่พูดพล่ามไร้สาระต่อไป
เขาหลับตาลง ทันใดนั้นอัศวิน A ก็ฟาดฝ่ามือเข้าไปใกล้ตัว
ทว่าแสงสีทองส่องไปทั่วร่าง ชั้นเกราะสีทองพลันปรากฏขึ้นจางๆ สกัดฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย
“นี่คือเกราะแห่งทวยเทพ เจ้าใช้กระบวนท่าวิทยายุทธ์ของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจระคายเคืองแม้แต่เส้นผมของข้า! วันนี้เจ้าจะต้องตายท่ามกลางค่ายกลเฮอริเคนของพวกเรา”
เขายังพูดไม่จบก็เห็นชั้นเกราะปรากฏขึ้นบนตัวอีกสองคนที่เหลือ
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดเกราะสีขาวประกายเงิน ชายหนุ่มผิวขาวสวมชุดเกราะสีทองแดง
ฟางหนิงเห็นแล้วตกตะลึง รีบเอ่ยเตือน “คราวนี้ศัตรูไม่ธรรมดา สวมชุดเกราะด้วย เมื่อก่อนฉันไม่เคยเจอมอนสเตอร์แบบนี้เลย”
ระบบ “น่าเสียดาย เกราะนั้นไม่ใช่ของจริง ไม่อาจทำอันตรายรุนแรงได้”
ฟางหนิงค่อยวางใจ “ฉันมองไม่ออกจริงๆ…แต่ในเมื่อแกพูดอย่างนั้น ฉันก็ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะไปดูหน่อยพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน”
ฟางหนิงอ่านหนังสือเกมเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานี้ ลวดลายวงกลมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของทั้งสามคน จากนั้นเทวรูปทั้งสามก็ปรากฏขึ้นคนละมุมภายในวงกลมนั้น
พวกเขาต่างพนมมือ ปล่อยพลังปราณออกจากชุดเกราะ สายหนึ่งสีทอง สายหนึ่งสีเงิน สายหนึ่งสีทองแดง แต่ละสายเชื่อมต่อกัน ท้ายที่สุดพายุเฮอริเคนก็ก่อตัวขึ้นตรงกลางรางๆ
แน่นอนว่าอัศวิน A ไม่มีทางทำเหมือนในภาพยนตร์ที่มักจะยืนโง่ๆ ดูคู่ต่อสู้เตรียมท่าไม้ตายจนเรียบร้อย…
อัศวิน A ไม่ได้กลายร่างเป็นมังกรเข้าโจมตี ทว่าชั่วพริบตากระบี่สวรรค์ยาวใหญ่พลันปรากฏรูปร่างขึ้นเหนือศีรษะของเขาในพริบตา ก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าโจมตีเมลัมเกราะทอง
เมลัมไม่มองดูด้วยซ้ำ ใบหน้ามั่นอกมั่นใจ เพียงแต่ตั้งใจจดจ่อกับการควบคุมลมปราณสีทองของเขาเพื่อรอให้พายุเฮอริเคนก่อตัวเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวกระบี่สวรรค์ก็กระแทกเข้ากับหน้าอกของเขาทันที เกราะสีทองสั่นไหวเล็กน้อย เห็นรูปรากฏขึ้นและเลือดหยดไหลออกมาจากรูของชุดเกราะ
“วิญญาณของเจ้าบาดเจ็บไม่อาจแปลงร่างเป็นมังกรโจมตีได้ ทำไมใช้แค่วิทยายุทธ์แบบมนุษย์ธรรมดาถึงยังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้” มือของเมลัมสั่นเทา แม้ว่าชุดเกราะแห่งทวยเทพจะกลับมาปกติทันที แต่น้ำเสียงยังคงปนความรู้สึกเหลือเชื่อ
ฟางหนิงเอ่ยอย่างกังวล “ระบบ อย่างนี้แผนแสร้งทำเป็นหมูอ่อนแอล้มเหลวหรือเปล่า…”
ระบบ “ช่วยไม่ได้ก็ฉันแข็งแกร่งมากขนาดนี้…ไม่คิดเลยว่าชุดเกราะแห่งทวยเทพของเขาจะดูดีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ไม่อาจต้านทานเอฟเฟกต์เสริมของ ‘ผาวติงแล่เนื้อ’ ได้เช่นกัน การฝึกฝนร่างกายของเขาดูเหมือนจะแย่มาก อันที่จริงเขาบาดเจ็บแค่ผิวเท่านั้น
ถ้าหากเป็นพวกปีศาจอย่างมารเต่าหนานคุนและอสรพิษเชสที่ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งสูงสุด แม้ว่าจะถูก ‘ผาวติงแล่เนื้อ’ กระตุ้น มีแต่ปราณแท้บาดเจ็บเท่านั้น ทว่าร่างกายจะไม่บาดเจ็บและยิ่งไม่มีทางเลือดไหล มากที่สุดก็แค่เป็นรอย”ในเวลาต่อมาเมลัมก็ยิ้มเยาะอีกครั้ง “ข้านึกว่าเจ้าจะเจ๋งแค่ไหน กระจอกแค่นี้เอง ตอนนี้กำลังของเจ้าเสื่อมถอย ข้าจึงบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
อัศวิน A ไม่ตอบโต้ เพียงแค่จ้องมองเขาแล้วปล่อยทักษะกระบี่สวรรค์
ในไม่ช้าชายคนนั้นก็เลือดไหลท่วมตัว ชุดเกราะสีทองถูกย้อมจนกลายเป็นเกราะสีเลือด มองปราดเดียวดูเหมือนว่าเขากำลังจะตาย
“ชั่วช้า แกใช้กระบวนท่าประหลาดอะไรแบบนี้ ใช้แค่ร่างกายถึงจะต้านทานได้งั้นหรือ สองคนนั้นอ่อนแอกว่าข้าตั้งเยอะ ทำไมไม่โจมตีสองคนนั้นล่ะ” เมลัมพูดอย่างโกรธเคืองเขาไม่เข้าใจว่าทำไมกระบี่พลังปราณของอัศวิน A ที่อานุภาพธรรมดาๆ ถึงสามารถเจาะเกราะแห่งทวยเทพของตนเองได้หลายครั้ง
เขาเคยทดลองหลายครั้งแล้ว ระหว่างที่เขาไต่ระดับขึ้นไป ตอนที่อยู่ระดับ D กระสุนปืนพกยิงไม่เข้า จนระดับ C กระสุนปืนไรเฟิลธรรมดายิงไม่เข้า พอถึงระดับ B กระสุนปืนกลหนักไม่อาจทะลุผ่าน ตอนนี้เขาฝึกฝนจนถึงระดับ A แล้ว แม้แต่ระดับปืนไรเฟิลซุ่มยิงทำลายวัตถุก็ทำอะไรไม่ได้ หรือว่ามังกรแท้ทรงพลังมาก บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ซีน่ากับคามาลไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่คิดพร้อมกัน ‘ที่นี่เจ้าเป็นคนที่ดึงดูดการโจมตีมากที่สุด ไม่ให้โจมตีเจ้าแล้วจะให้ตีเรางั้นเหรอ’
เวลาผ่านไป เมลัมเกือบจะจมกองเลือด ในที่สุดพายุเฮอริเคนที่น่าสะพรึงกลัวก็ก่อตัวขึ้น
มันหมุนอย่างรุนแรง แต่น่าแปลกที่ไม่กวาดใบไม้หรือแม้แต่ฝุ่นละอองโดยรอบ ซึ่งขัดกับกฎธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง พลังทั้งหมดดูเหมือนจะแฝงตัวอยู่เพียงรอเวลาเพื่อโจมตีเป้าหมายเท่านั้น
หากดูแค่พลัง ฟางหนิงรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับชุดวิชากระบี่สวรรค์ที่ระบบใช้พิชิตงูจงอาง แม้ว่าจะยังห่างชั้นกันมาก แต่ก็นับว่าทรงอานุภาพมากแล้ว อย่างน้อยก็เหนือกว่ากระบวนท่าเดี่ยวใดๆ ก่อนหน้านี้ที่ระบบเคยใช้!
……………………………………………….