เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 1 เป่ยเฉินอี้กระอักเลือดสลบไป
ถัดมา
หลังจากเป่ยเฉินอี้กุมหน้าอก หลังจากสิ้นเสียงไอแรงๆ ’อุ๊ก’ ก็กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง…
“ท่านอ๋อง!”
ยามนี้ชิงเกอตกใจ มองหน้ากากผีบนพื้น ในใจแตกตื่นหวาดกลัวไม่สงบ เขาติดตามท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว ย่อมรู้ว่าสิ่งของนี้หมายความว่าอะไร
เมื่อคิดถึงคำพูดของ ซือหม่าหรุ่ยเมื่อครู่…นี่…
“เป็นไปไม่ได้!” เป่ยเฉินอี้ตาแดงก่ำ เอ่ยต่อว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่มัน…เป็นไปไม่ได้…”
จะเป็นไปได้อย่างไร
ทั้งๆ ที่เขาพยายามหาหลักฐานครั้งแล้วครั้งเล่า เยี่ยเม่ยก็เอาแต่ปฏิเสธตลอด
ทั้งๆ ที่ปีนั้นเขาฝังศพอาซีไว้ที่สวนดอกไม้หลังจวนอี้อ๋องกับมือ ทั้งๆ ที่…แล้วจะเป็นไปได้หรือ
โดยเฉพาะในเวลานี้
เขาบอกแผนการของตัวเองกับเยี่ยเม่ย ส่วนนางก็บอกตามตรงแล้วว่าไม่มีทางคลี่คลายแผนการได้
ชิงเกอเองก็ไม่อยากเชื่อ เขาเลิกคิ้วถามว่า “ท่านอ๋อง หรือจะเป็นซือหม่าหรุ่ย นางเล่าบางอย่างให้เยี่ยเม่ยฟัง ดังนั้นเยี่ยเม่ยคิดใช้ฐานะขององค์หญิงซี เพื่อข่มขู่ท่าน”
“ไม่มีทาง!” เป่ยเฉินอี้ส่ายหน้า อธิบายเสียงขรึมว่า “ซือหม่าหรุ่ยเห็นว่าข้าเป็นคนใจจืดใจดำทำให้อาซีตายมาตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางไม่มีทางคิดว่าข้าจะยอมปล่อยเยี่ยเม่ยเพราะอาซีแน่!”
ชิงเกอครุ่นคิดพลันรู้สึกว่าท่านอ๋องมีเหตุผล
ก่อนหน้านี้ซือหม่าหรุ่ยแสดงออกต่างๆ นานาว่าเคียดแค้นท่านอ๋องเข้ากระดูก อีกทั้งไม่เชื่อว่าท่านอ๋องต้องการช่วยองค์หญิงซีในตอนแรกด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะคิดว่าการทำเช่นนี้จะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร
เป่ยเฉินอี้เลือดเปรอะมุมปาก กลับมองผ่านซือหม่าหรุ่ยไปก็ฉุกคิดบางอย่างได้ เขาเอ่ยพึมพำว่า “ข้าควรคิดได้ว่า ทำไมซือหม่าหรุ่ยถึงติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย ข้าคิดว่าเป็นเพราะเซียวเซ่อหยางมาตลอด แต่ดูจากตอนนี้ หากทำเพื่อเซียวเซ่อหยาง ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่จำเป็นต้องภักดีกับเยี่ยเม่ยเช่นนี้…”
ครั้นเอ่ยมาถึงเวลานี้เป่ยเฉินอี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “อีกอย่างอยู่ดีๆ ทำไมเยี่ยเม่ยถึงต้องแตกหักกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย แล้วทำไมถึงต้องเข้ามาอยู่ในราชสำนักเป่ยเฉินให้ได้…ข้า…”
“อุ๊ก…” เป่ยเฉินอี้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ชิงเกอรีบเข้าไปประคอง กล่าวว่า “ท่านอ๋อง ร่างกายสำคัญที่สุดนะขอรับ!”
เป่ยเฉินอี้กุมหน้าอกของตัวเองแน่น
เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็วราวกับกลอง ทั้งยังรู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่ใจ นางคืออาซีจริงๆ…อาซี…นางอยู่ตรงหน้าเขามาตลอด แต่เขากลับจำนางไม่ได้
ดังนั้นเขาถึงเอาแต่เป็นศัตรูกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้…
หากมิใช่เพราะนางส่งหน้ากากผีมาให้ บางทีในแผนการครั้งสุดท้ายนี้อาจส่งนางไปนรกแล้ว! เมื่อคิดได้ เป่ยเฉินอี้จิตใจปั่นปวน ฝีเท้าซวนเซเตรียมจะออกไปด้านนอก
ทว่าเมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตู ภาพทุกอย่างก็ดำมืดเป็นลมสิ้นสติไป
……
ห้องเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยนั่งรอข่าวอย่างสงบ หลังจากเป่ยเฉินอี้สลบไป จงรั่วปิงรีบเข้ามาส่งข่าว “หลังเป่ยเฉินอี้ได้รับของของเจ้าแล้วก็กระอักเลือดสลบไป!”
มือที่กำแน่นของเยี่ยเม่ยคลายออกในเสี้ยวนาทีนี้
ความหนักใจก็คลายลงเช่นกัน
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยเม่ยไม่อาจคลี่คลายแผนการของเป่ยเฉินอี้ อย่างนั้นสิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือถอนฟืนออกจากใต้กระทะ เดิมพันสักตาหนึ่ง
เดิมพันว่าเป่ยเฉินอี้ใส่ใจนางสักกี่ส่วน เดิมพันว่าเป่ยเฉินอี้ยังรู้สึกติดค้างนาง
หากนางชนะ เป่ยเฉินอี้ก็จะยกเลิกแผนการนี้ไป
เยี่ยเม่ยรู้ว่าทำเช่นนี้อันตรายมาก เท่ากับยื่นชีวิตของตนไว้ในกำมือเป่ยเฉินอี้ แต่ว่านอกจากทำเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก!
เพราะว่าแผนการที่วางไว้ของเป่ยเฉินอี้ บีบนางจนตรอกไร้หนทาง
เยี่ยเม่ยจะคิดได้อย่างไรว่าก่อนที่นางมาถึงราชสำนักเป่ยเฉิน เป่ยเฉินอี้ก็ลอบวางคนไว้ข้างกายจิวมั่วเหอ เป็นการปูทางให้กับแผนการในวันนี้แล้ว ต่อให้เป็นจิวมั่วเหอเองก็ยังไม่รู้ว่าข้างกายตนมีคนที่เป่ยเฉินอี้ส่งเข้าไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางแล้ว
ส่วนหน้ากากผีอันนี้คือไพ่ใบสุดท้ายของนางที่เป็นศัตรูกับเป่ยเฉินอี้ ขอเพียงนางชนะเดิมพัน ก็ต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
จากการแสดงออกของเป่ยเฉินอี้เห็นได้ชัดว่านางชนะแล้ว
เป่ยเฉินอี้ยังใส่ใจนางอยู่ ทั้งยังเคยรู้สึกผิดต่อนางด้วย ใช่ไหม หากเป็นจริงไม่เพียงแค่ผ่านเหตุการณ์วันนี้ได้ ภายหน้า…ความรู้สึกผิดของเขา บางทีเขาอาจช่วยนางปิดบังความลับเอาไว้ด้วย
เวลานี้ ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้ามา
นางอยู่ในอารามตื่นเต้น มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “เจ้าทำเช่นนี้ อันตรายไปแล้ว! นี่เท่ากับเจ้า…เอาชีวิตเจ้าไปไว้ในมือเป่ยเฉินอี้แล้ว!”
“แต่นอกจากทำเช่นนี้แล้ว ข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ”
เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงขมขื่นออกมา มองซือหม่าหรุ่ย
แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับเสียงอ่อนว่า “เป่ยเฉินอี้ฉลาดเกินไป ข้าวางแผนสู้เขาไม่ได้!”
ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ในโลกนี้ ยังไม่มีใครวางแผนเอาชนะเขาได้ แต่ก็ยังดี ได้ยินว่าเขาสลบไปแล้ว ดังนั้นโอกาสที่เจ้าชนะเดิมพันสูงมาก!”
ในเวลานี้เอง
จงรั่วปิงล้วงจดหมายออกจากแขนเสื้อฉบับหนึ่งส่งให้เยี่ยเม่ย “นี่คือจดหมายที่ท่านพ่อให้กับเจ้า เขาบอกว่าวันที่เจ้ามาถึงเมืองหลวงมีโอกาสได้ใช้!”
วันนี้พวกนางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นจึงมอบให้เยี่ยเม่ยในวันนี้
เยี่ยเม่ยรีบรับไป เปิดออกกวาดสายตาอย่างเร่งรีบ ลายมือของไป๋หลี่ซือซิวปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษ “สติปัญญาของเป่ยเฉินอี้ในโลกนี้ไม่มีใครทัดเทียมได้ แผนการของเขา ต่อให้เป็นข้าก็ยากจะคาดเดา ก่อนท่านเข้าสู่เมืองหลวง เขาก็มีวิธีทำให้ท่านตายแล้ว ซือซิวคิดว่าแผนการแก้เดียวของท่านคือ เปิดเผยฐานะแท้จริงของท่านออกไปเสีย จำเอาไว้ว่า ต้องทำตามคำแนะนำของข้า”
“เขาว่าอย่างไร” ซือหม่าหรุ่ยถามทันที
เยี่ยเม่ยส่งจดหมายให้ซือหม่าหรุ่ยอ่านดู หลังจากนั้นหมอเทวดาก็ตะลึงเล็กน้อย อดเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า “คิดไม่ถึงว่า เขาก็คิดว่ามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”
ไป๋หลี่ซือซิวพูดเช่นนี้แล้ว ซือหม่าหรุ่ยก็วางใจ “ในเมื่อเขาก็เสนอเช่นนี้ อย่างนั้นก็หมายความว่ามีโอกาสไม่มากที่เจ้าจะเกิดอันตราย!”
ไม่เช่นนั้น ไป๋หลี่ซือซิวไม่มีทางเน้นย้ำในท่อนสุดท้าย เขากลัวว่าเยี่ยเม่ยจะใช้วิธีอื่น ไม่ทำตามวิธีของเขา
ในเมื่อเขากล้าเอ่ยเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่ามั่นใจว่าไม่เกิดเรื่องจริงๆ
ถึงตอนนี้ซือหม่าหรุ่ยกลับยิ้มออก “เขาต้องคิดไม่ถึงแน่ว่า ก่อนได้รับจดหมายจากเขา เจ้าก็ทำเช่นนี้ไปแล้ว!”
จงรั่วปิงที่อยู่ด้านข้างยืนมองด้วยความงงงวย ถามอย่างอดใจไม่ไหวว่า “พวกเจ้าอธิบายหน่อยได้ไหม พวกเจ้าคุยอะไรกันแน่ ยังมีอีกทำไมข้าต้องลำบากแสนเข็ญไปเอาหน้ากากผีอันหนึ่งออกมาจากวัง นี่มันของเล่นอันใดกัน หลังจากส่งไปให้เป่ยเฉินอี้แล้วเขาถึงกับกระอักเลือดออกมา”
ในใจนางเกิดคำถามเป็นแสนข้อ ต้องการคนช่วยแก้ไขให้กระจ่างโดยพลัน !