เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 11 นางกับเป่ยเฉินอี้ แยกทางเดินมาบรรจบกัน
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 11 นางกับเป่ยเฉินอี้ แยกทางเดินมาบรรจบกัน
“เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า แต่พอข้ารู้ว่าพวกเขาจะสังหารเจ้า รู้ว่าเจ้าอาจต้องตาย ข้าถึงค่อยๆ ลนลาน ทัพใหญ่ของเสด็จพี่บุกเข้าไป ควบคุมราชสำนักเป่ยเฉินเอาไว้ ข้าขอร้องให้เขาปล่อยเจ้าและคนในตระกูล แต่ว่าเขาไม่รับปาก สุดท้าย…แค่ก…”
เล่าถึงตรงนี้เป่ยเฉินอี้ก็ไอออกมา เขาก้มหน้ามองเลือดในมือ เขาไม่ปล่อยให้เยี่ยเม่ยเห็น เพียงเล่าต่อว่า “เสด็จพี่เสนอว่า หากต้องการให้ปล่อยเจ้าและครอบครัวก็ได้ แต่ต้องเอาราชโองการของอดีตฮ่องเต้และชีวิตของข้ามาแลก ข้ามอบราชโองการให้เขา ทั้งยังดื่มยาพิษต่อหน้าเขา ถึงได้ป้ายคำสั่งจากเขาเพื่อไปช่วยเจ้า สุดท้ายก็ยังสายเกินไป ตอนที่ข้าไปถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้าก็…ส่วนเจ้า ก็ถูกอดีตราชครูสั่งให้ยิงสังหารที่แม่น้ำหมิง”
ยามนี้เป่ยเฉินอี้หลับตาลง กำหมัดแน่น
เพราะอะไรเขาถึงปกป้องพวกนางไม่ได้ทันท่วงที ทั้งๆ ที่เขาคาดการได้ว่าเสด็จพี่จะต้องฆ่าคนระบายโทสะ แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ตระหนักเลยว่า ตัวเองใส่ใจความเป็นตายของอาซี อย่างไรเสียสำหรับเขาแล้ว…นางก็เป็นแค่คนที่ถูกหลอกใช้ เพียงแค่หมากตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ
แต่ยามที่เดินมาจนถึงก้าวสุดท้าย เขาค่อยพบว่าความเมตตาและจริงใจของนางเป็นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับมาตลอดหลายปี เขาถึงพบว่าเทียบกับการสูญเสียนางไป ที่แท้เขาไม่ต้องการอะไรเลย
ท้ายที่สุด เขาพบว่าตัวเองสายเกินไป
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ข้าไล่ตามไปถึงแม่น้ำหมิง พวกเขาบอกว่าเจ้าตกแม่น้ำแล้ว ทั้งยังบอกว่ามีคนวางยาพิษในแม่น้ำด้วย ข้ากระโดดลงไปหาเจ้า ทว่าไม่พบ หลังจากข้าสลบไป ชิงเกอก็ช่วยชีวิตเอาไว้ จนกระทั่งภายหลัง…พบศพของเจ้า…”
เรื่องราวของเป่ยเฉินอี้ก็นับว่าเล่าจบลงแล้ว
เยี่ยเม่ยนั่งฟังนิ่ง ไม่พูดอะไร นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตอนนั้นเป่ยเฉินอี้เคยคิดจะช่วยนาง ทั้งนางก็คิดไม่ถึงว่าในก้าวสุดท้าย เขาจะยอมทิ้งแผนการและความใฝ่ฝันตลอดหลายปี เอาราชโองการไปแลกกับชีวิตนางและคนในครอบครัว
ชิงเกอฟังอยู่ด้านนอก ในใจรู้สึกไม่เป็นรสชาติ
ในยามนั้นท่านอ๋องอยู่ห่างจากบัลลังก์เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น ขอเพียงวันนี้ได้ตราราชลัญจกรของจงเจิ้งมา กอปรกับประกาศราชโองการของอดีตฮ่องเต้ออกไป ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินก็ต้องเปลี่ยนพระองค์แล้ว
น่าเสียดายที่
ในเวลานั้นกองทัพที่เข้าควบคุมวังหลวงก่อนดันเป็นทัพอดีตราชครู ส่วนทัพของท่านอ๋องจะมาถึงในวันถัดไป
เป้าหมายก็เพื่อปกป้องท่านอ๋องเท่านั้น
อย่างไรเสีย…
ก่อนจะถึงวันนั้น ตัวท่านอ๋องเองยังไม่รู้ว่าเขาใส่ใจชีวิตของจงเจิ้งซี อีกทั้งยังใส่ใจถึงเพียงนั้น ดังนั้นสุดท้าย…
หลังจากเยี่ยเม่ยเงียบไปสักพัก นางมองเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “ท่านพูดถูก มาช้าไปก้าวเดียว”
เขามาช้าไปก้าวเดียวจริงๆ
สมมติว่าปีนั้นเป่ยเฉินอี้สำนึกทัน ช่วยเหลือบิดามารดาของนางไว้ บางทีเพราะความสำนึกได้ของเขา นางก็ไม่แค้นเขาถึงขั้นนี้
แต่ว่าต่อให้เขาจะทุ่มเททุกอย่างไปแล้ว สุดท้ายเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงอันโหดร้ายไปได้
เป่ยเฉินอี้ยิ้มขม “ใช่ ช้าไปแค่ก้าวเดียว! อาซี ข้ารู้ว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่อาจให้อภัยข้าแล้ว ส่วนในปีนั้น เพราะยาพิษในร่างกาย ข้าสลบไปหลายวัน เสด็จพี่หลงคิดว่าข้าตายแล้ว เขาจึงไม่รักษาสัญญา ตอนที่น้องชายกลับวังหลวง เขาก็ยังสั่งให้สังหารคน…”
ดังนั้นแม้กระทั่งน้องชายของนาง เขาก็ไม่อาจช่วยไว้
ครั้นเยี่ยเม่ยฟังเรื่องเล่ามาถึงบัดนี้ นางกำหมัดแน่น นางไม่เพียงแค้นเป่ยเฉินอี้ แต่แค้นฮ่องเต้มากกว่า เคียดแค้นคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้น
ในเวลานี้
เป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง “เรื่องหลังจากนี้ เจ้าก็คงรู้แล้ว เพราะข้าถูกพิษขาสองข้างพิการ ถูกเสด็จพี่กักบริเวณสี่ปี ทว่าเพราะข้ามีคุณงามความชอบ ไม่กล้าสังหารข้าอย่างเปิดเผย การลอบสังหารหลายครั้งล้วนไม่สำเร็จ สี่ปีนี้ข้าเก็บตัว วางแผนรับเซี่ยโหวเฉินเป็นศิษย์ ก็เพื่อหลังจากเวลาสี่ปีเป็นเวลาที่ขาข้าหายแล้ว จะออกจากจวนอี้อ๋อง”
เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยแววตาเสียดสี ถามว่า “จากนั้นก็แย่งชิงบัลลังก์กลับมาอีกครั้งหรือ”
เป่ยเฉินอี้กลับส่ายหน้า
แววตาฉายความเย็นเยือกคมกริบ จ้องมองเยี่ยเม่ย “ข้าต้องการทำลายราชสำนักเป่ยเฉินเพื่อฝังลงไปเป็นเพื่อนกับเจ้า!”
คำตอบของเขาทำเอาเยี่ยเม่ยพลันชะงักงัน
ดูจากท่าทางของเขาก็ไม่คล้ายกำลังโกหก
ชิงเกอที่อยู่นอกรถม้าถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ท่านอ๋องออกจากจวนมุ่งหน้าไปชายแดนเคยบอกแล้วว่า ต้องการให้เลือดนองแผ่นดิน ยามนั้นชิงเกอก็รู้แล้วว่า ท่านอ๋องต้องการล้มล้างราชสำนักเป่ยเฉิน
ดังนั้นนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมตอนแรกท่านอ๋องถึงร่วมมือกับราชาต้ามั่ว เงื่อนไขของท่านอ๋องคือสังหารเยี่ยเม่ยภายหมากห้าก้าว หลังจากราชาต้ามั่วบุกโจมตีชายแดนก็ขอให้เขาสังหารชาวบ้านในเมืองทิ้งซะ!
เยี่ยเม่ยก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเอง นางพูดไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทว่าช่างน่าขันอย่างบอกไม่ถูก เดิมทีนางควรมีหนี้เลือดกับเป่ยเฉินอี้ เมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ พวกนางนับว่าเป็นอะไรกันแล้ว
ต่างแยกทางกันเดินเพื่อบรรลุจุดหมายเดียว?!
เป้าหมายของพวกนางสุดท้ายแล้วก็เหมือนกัน ต่างคิดทำลายราชสำนักเป่ยเฉิน
เป่ยเฉินอี้ไอขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้ารู้ เกรงว่าต่อให้ทำลายเป่ยเฉินลง ก็ไม่อาจลบล้างความแค้นในใจเจ้าได้ ข้าเคยคิดว่าหลังจากทำลายเป่ยเฉินแล้ว ก็จะฆ่าตัวตายข้างสุสานของเจ้า เพื่อเป็นการขอโทษเจ้า แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา
ส่วนแผนการของเขาก็เกือบสังหารนางอีกครั้งหนึ่ง
“งั้นตอนนี้เห็นข้ามีชีวิตอยู่ ท่านคิดจะทำอะไรอีก” เยี่ยเม่ยมองเขา น้ำเสียงยังคงเย็นไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนเดิม “ทำไมท่านถึงคิดแต่งงานกับข้า เป้าหมายของท่านคืออะไร”
เป่ยเฉินอี้จ้องเข้าไปในดวงตานาง “อาซี เจ้าน่าจะรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครวางแผนการเอาชนะข้าได้ ในเมื่อเป้าหมายของเราล้วนเป็นการทำลายเป่ยเฉิน เช่นนั้น…พวกเราร่วมมือกันได้ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสังหารข้า แต่ข้าอยากช่วยเจ้า ให้ข้าช่วยเจ้าเดินไปถึงฉากสุดท้าย ช่วยเจ้าฟื้นฟูบ้านเมือง! จากนั้น ข้าจะใช้ความตายเพื่อไถ่โทษ!”
เป่ยเฉินอี้เข้าใจดี เรื่องราวในปีนั้นต่อให้เขาทำไปอีกมากแค่ไหน ก็ไม่อาจย้อนคืนอะไรกลับมาได้
ความแค้นที่อาซีมีต่อเขาไม่มีวันสูญสลาย นอกเสียจากเขาตาย
แต่เขาอยากช่วยนาง เขาต้องการเก็บชีวิตนี้ไว้เพื่อช่วยให้นางบรรลุภาระหน้าที่และอุดมการณ์ จากนั้นเขาค่อยตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ตาย ในใจเขาก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าหลังจากตายไปแล้ว นางจะสู้เสินเซ่อเทียนไม่ได้
หลังจากเงียบไปสักครู่ เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ถาม “ข้าควรเชื่อท่านใช่ไหม”
เขาพูดไม่ผิด ในโลกนี้คนที่วางแผนเอาชนะเขาได้ไม่มีอยู่ นางเคยเสียเปรียบในเงื้อมมือเขามาแล้ว รู้ถึงความร้ายกาจของเขาดี
นางอดทนคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ อดทนความอัปยศเพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง อย่างนั้นนางก็สามารถยอมรับผู้ช่วยที่เป็นศัตรูอย่างเป่ยเฉินอี้ได้ เพื่อบรรลุถึงเป้าหมาย ขอเพียงเขาจะยอมตายหลังจากเสร็จเรื่อง
แต่ว่านางเชื่อเขาได้ไหม
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือเป่ยเฉินอี้!