เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 118 ผู้ชายทำให้เสียเรื่อง
บริเวณคุกหลวง
ยามเซี่ยโหวเฉินพาจงรั่วปิงเข้าไปใกล้คุกหลวง ไม่ช้าก็สัมผัสได้ว่าบริเวณนี้ยังมีคนอยู่อีก เขาขมวดคิ้วทันที ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนของตนที่กระจายตัวอยู่ในที่ต่างๆ หลบให้ดี อย่าออกมา
เซี่ยโหวเฉินมองจงรั่วปิง ส่งสัญญาณให้นางหาที่หลบกับเขาก่อน
ถึงจงรั่วปิงเป็นคนไร้เดียงสา แต่ก็มิได้โง่ เห็นเซี่ยโหวเฉินทำเช่นนี้ก็รีบพยักหน้าหลบไปพร้อมกับเซี่ยโหวเฉินทันที
ผ่านไปไม่นาน
พวกเขาก็เห็นคนชุดดำผู้หนึ่งลอบเข้าไปในคุกหลวง พวกเขาที่หลบอยู่ห่างๆ เห็นฉากนี้อย่างชัดแจ้ง
เซี่ยโหวเฉินกับจงรั่วปิงสบตากันไม่พูดอะไร รีบติดตามเข้าไป…
ภายใต้การนำของเซี่ยโหวเฉิน เขาพานางทะยานขึ้นไปบนหลังคา หลบอยู่ในมุมอับสายตา มองสภาพภายในคุกหลวง เซี่ยโหวเฉินเปิดแผ่นกระเบื้องออกอย่างเบามือ จงรั่วปิงเตรียมจะห้ามเขา เพราะนางรู้ว่าคนที่ลอบเข้าไปเมื่อครู่วรยุทธ์สูงส่งยิ่ง
หากเปิดแผ่นกระเบื้องแอบดู ไม่แน่ว่าจะถูกพบได้
แต่ว่าสายตาที่เซี่ยโหวเฉินมองนาง บ่งบอกว่าไม่ต้องกังวลใจ จากนั้นก็รีบเปิดแผ่นกระเบื้องออก ก้มลงดู อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเขาก็ไม่ต่ำต้อย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่มาอยู่ที่นี่ ซ้ำยังอาจหาญพาคนที่ไม่อาจใช้วรยุทธ์อย่างจงรั่วปิงมาปล้นคุกร่วมกัน
ในเมื่อเขาทำเช่นนี้ก็ต้องมีความมั่นใจมากพอว่าจะไม่ถูกคนจับได้
จากนั้นเขาก็ทำมือเป็นสัญญาณให้จงรั่วปิงอย่าได้ส่งเสียง จงรั่วปิงเห็นดังนี้ก็สงบความสงสัย ไม่กล้าพูดจา ทั้งไม่กล้าสูดลมหายใจ มองลงไปด้านล่างพร้อมเซี่ยโหวเฉิน
ไม่ช้า พวกเขาก็เห็นคนชุดดำผู้นี้แฝงกายเข้าไปในห้องคุมขังซือหม่าหรุ่ย
ด้านล่าง…
ยามที่ซือหม่าหรุ่ยได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาก็ขมวดคิ้ว เดิมทีนางพิงกำแพงพักสายตา ทั้งยังครุ่นคิดใคร่ครวญว่าเซียวชินจะมาหรือไม่ เขาจะตกหลุมพรางหรือเปล่า ทว่าในใจนางก็กังวลเหลือเกินว่าสหายคนอื่นจะมาช่วยนาง หากคนอื่นลงชิงมือ เช่นนั้นเซียวชินที่คิดจะลงมือก็ไม่กล้าผลีผลาม
ในเวลานี้ เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้า
สายตานางตวัดมองไปที่คนชุดดำอย่างรวดเร็ว โครงร่างคุ้นตา สายตาที่คุ้นเคย ต่อให้ใบหน้าถูกผ้าดำปิดบังอยู่ นางมองปราดเดียวก็ดูออกว่านี่คือคนที่นางเฝ้าคิดถึงคะนึงหา
นางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “เซียวชิน?”
เซียวชินยืนอยู่หน้าประตู ดึงผ้าปิดหน้าตนออก มองไปที่ซือหม่าหรุ่ย กระบอกตาของเขาแดงเรื่อ “อาหรุ่ย”
ซือหม่าหรุ่ยไม่พูดพร่ำ รีบลุกขึ้นมาวิ่งเข้าไปที่หน้าประตู
เซียวชินก็รีบเปิดประตูออกทันที
ซือหม่าหรุ่ยโผเข้าไปซบอกเซียวชินเต็มแรงกำสาบเสื้อของเขา สะอื้นไห้ออกมา “เซียวชิน เจ้ายังไม่ตายจริงๆ เจ้ารู้ไหม ข้ากังวลมาตลอด ข้าเป็นห่วง…”
ห่วงว่าเขาจะถูกพวกคนที่ไล่สังหารฆ่าตาย
เพราะว่าหลายปีมานี้ เขาเหมือนกับหายสาบสูญไปก็ไม่ปาน ไร้เบาะแสร่องรอย กระทั่งไม่รู้ความเป็นตาย ช่วงก่อนเพิ่งได้รับข่าวว่าเขากลายเป็นจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่ว จากนั้นเขาก็หายตัวไปอีก
เซียวชินถอนใจเบาๆ คำหนึ่ง ลูบหลังซือหม่าหรุ่ย ปลอบว่า “อาหรุ่ย ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร…”
ถึงเขาจะปลอบแล้ว แต่ซือหม่าหรุ่ยก็ยังร้องไห้ไม่หยุด ทั้งน้ำมูกน้ำตาเลอะบนเสื้อเขา
เซียวชินเอ่ย “อาหรุ่ย พวกเรารีบหนีก่อนเถอะ ข้าใช้ควันสลบทำให้คนสลบไปแล้ว แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาจะฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หากพวกเรายังไม่รีบหนีไปตอนนี้ เกรงว่าจะถูกพบเข้า ถึงเวลานั้นคิดหนี ก็หนีไม่พ้นแล้ว”
เมื่อเขากล่าว ซือหม่าหรุ่ยกลั้นหัวเราะไม่ไหว หลุดหัวเราะออกมาแล้ว
เซียวชินตะลึง มองนางอย่าไม่อยากเชื่อ ถามว่า “เจ้าหัวเราะอะไร”
“ข้าหัวเราะที่ท่านฉลาดล้ำเลิศ แต่กลับหลงกล”
เซียวชินย่อมฉลาดเป็นกรด ไม่เช่นนั้นจะเป็นคนสำคัญของอดีตท่านข่านแห่งต้ามั่ว กลายเป็นจั่วอี้อ๋องผู้กุมอำนาจสูงส่งได้อย่างไร
แต่ว่า…
แต่ว่าแผนการง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดเซียวชินถึงตกหลุมพรางได้ นั่นก็หมายความว่าอันใด นั่นก็หมายความเยี่ยเม่ยคาดการณ์ไม่ผิด เซียวชินเป็นคนในสถานการณ์ถึงได้มองไม่ออก ทั้งยังหมายความว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องของนาง ทำให้เขาขาดความสามารถในการวิเคราะห์ไตร่ตรองไป
เซียวชินได้ฟังก็อึ้งไปแล้ว ไม่ช้าก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
ก็จริง เยี่ยเม่ยเป็นคนประเภทไหนกัน
เขาสืบข่าวในจวนองค์ชายสี่และจวนจงซานไม่น้อยจริงๆ แต่เยี่ยเม่ยใช่คนที่ยอมสังหารสหายเพราะเครื่องประดับชุดหนึ่งจริงหรือไง
เขาคิดถึงการแสดงออกของคนในจวนองค์ชายสี่ คิดถึงซินเยว่เยี่ยนที่ถูกเยี่ยเม่ยคุมตัวไว้ คิดถึงจงรั่วปิงที่ถูกจงซานคุมตัว อีกทั้งหลังจากได้พบลั่วซิงเฉินก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เยี่ยเม่ยคิดสังหารซือหม่าหรุ่ยจริงๆ
แต่เขากลับลืมสิ่งพื้นฐานที่สุดไปได้ อาศัยความสัมพันธ์คบหาระหว่างสตรีนางนั้นกับอาหรุ่ย นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ ไม่มีทางเอาชีวิตสหายรักเพื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
เมื่อคิดได้ เซียวชินก็รีบผลักซือหม่าหรุ่ยออก เอ่ยปากว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไร งั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
เขารู้สึกคลายใจ ทั้งไม่มีความโกรธเคืองในใจ เพราะเขารู้ดี เยี่ยเม่ยจงใจดึงเขาออกมาก็เพื่อซือหม่าหรุ่ย แล้วก็เพราะอาหรุ่ยคิดถึงเขามากเกินไป เพียงแต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สมควรจากไปทันที
จากนั้นเขาเพิ่งเดินจากไปได้สองก้าว ซือหม่าหรุ่ยรั้งแขนเซียวชินไว้ “เซียวชิน อย่าไป ท่านซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็เป็นการหลบซ่อนเหมือนกัน ไปกับข้าเถอะ ไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยดีไหม”
“อาหรุ่ย เจ้าก็รู้ หากข้าอยู่ข้างกายเจ้าจะเป็นผลเสียกับเจ้า” เซียวชินถอนใจ ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
จุดนี้ซือหม่าหรุ่ยย่อมรู้อยู่แล้ว นางกล่าวว่า “ต่อให้ไม่เป็นผลดีกับข้าแล้วจะทำไม เซียวชิน ท่านพูดถูด เมื่อท่านไม่อยู่ข้างกายข้า ถึงทำให้ข้าปลอดภัย แต่ท่านเคยคิดไหมว่า ยามท่านไม่อยู่ ข้ามีชีวิตอย่างเดียวดายจะมีความหมายอันใดอีกเล่า”
นางกล่าวเช่นนี้ เซียวชินก็ชะงักฝีเท้าแล้ว เขากำหมัดแน่น
ซือหม่าหรุ่ยได้ยินเสียงเซียวชินชะงักไป กล่าวว่า “เซียวชิน ข้าขอร้องเจ้า อย่าไปได้ไหม ต่อให้จะไปก็พาข้าไปด้วย ข้าไม่อยากเป็นเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว ใช้ชีวิตด้วยความกังวลทุกวัน คิดว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม คิดถึงแต่เจ้า แต่กลับไม่อาจสัมผัสเจ้าได้ เซียวชิน หากเจ้าไม่รับปากข้า ไม่สู้เจ้าฆ่าข้าเถอะ ข้ามีชีวิตไปก็เหมือนตายทั้งเป็น”
“อาหรุ่ย…” เซียวชินถอนใจอีกครั้ง หัวใจเจ็บปวด
เดิมทีเขาหนีไปคนเดียว หลบซ่อนตัวคนเดียว คิดว่าเมื่อถูกคนพบแล้ว อย่างนั้นเขาตายคนเดียวก็พอ อาหรุ่ยไม่มีวันเกิดเรื่อง แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้การที่เขาไม่อยู่ข้างกายนาง สำหรับนางแล้วยังทรมานกว่าความตายเสียอีก
ได้ยินเสียงของเขาอ่อนลงบ้าง ซือหม่าหรุ่ยรีบรุกเอ่ย “เซียวชิน ท่านรับปากข้าเถอะนะ อยู่ต่อ พวกเรามีชีวิตอยู่ร่วมกัน จะตายก็ตายร่วมกัน ดีหรือไม่ เซียวชิน…”
ในที่สุดเซียวชินก็พรูลมหายใจยาว มองนางที่ดึงแขนเขาไว้ หลายครั้งเขาคิดดึงมือนางออก แต่สุดท้ายก็…ทนไม่ได้
เขาหันกลับไปกอดนาง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ได้ ข้าไม่ไปแล้ว พวกเราร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน”
ซือหม่าหรุ่ยร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ครั้งนางระเบิดเสียงร้องดังระงม ตอนฝันนางยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรั้งเซียวชินเอาไว้ได้ ความสุขปรี่ล้นอย่างกะทันหัน ทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในความจริง
เซียวชินได้ยินเสียงร้องไห้ของนางก็ปวดใจ ยื่นมือออกปาดน้ำตาให้ เอ่ยด้วยความอ่อนโยน “เด็กโง่ ข้าก็บอกว่าไม่ไปแล้วไง ยังจะร้องไห้ทำไมอีก”
ซือหม่าหรุ่ยกลับไม่สนใจเขา ร้องไห้ต่อไป
เซียวชินถอนหายใจ แต่ก็ไม่พูดอีกตบบ่าซือหม่าหรุ่ยเพื่อปลอบนางให้สงบลง
บนหลังคา
เซี่ยโหวเฉินและจงรั่วปิงเห็นฉากนี้ก็สบตากัน เซี่ยโหวเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวชินกับซือหม่าหรุ่ยจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้ อันที่จริงเขารู้ว่าคนทั้งสองเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้
เรื่องของราชสำนักจงเจิ้งเมื่อสี่ปีก่อน เซี่ยโหวเฉินไม่รู้ความนัย อีกอย่างคำพูดที่ภายนอกมีต่อสองคนนี้ก็คือศิษย์สำนักเดียวกัน แต่คนหนึ่งเดินทางธรรมะ อีกคนเดินฝ่ายอธรรม มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเสียดายแทนเซียวชิน
คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายจะ…
จงรั่วปิงเองก็คิดไม่ถึง ที่แท้เป็นแผนการของเยี่ยเม่ย ก็ว่าทำไมเยี่ยเม่ยถึงได้เปลี่ยนไปสนใจสิ่งของนอกกาย ซ้ำยังคิดฆ่าสหาย
นางก็ว่าบิดาที่เอาแต่พร่ำสอนเรื่องคุณธรรมมาตลอด จู่ๆ เปลี่ยนไปยังกับเป็นคนละคน ถึงห้ามนางไม่ให้ออกมาช่วยคน ที่แท้เขาก็รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ นางก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ก้มหน้าลงไปมองอีกรอบ จากนั้นส่งสัญญาณให้เซี่ยโหวเฉินออกไปจากที่นี่พร้อมกับตน
เซี่ยโหวเฉินไม่พูดอะไร ไม่ต้องปล้นคุกก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาอยู่แล้ว
ดังนั้นคนทั้งสองจึงลงจากหลังคาไปด้วยความระวัง ส่วนเซียวชินและซือหม่าหรุ่ยในคุกอยู่ในช่วงที่อารมณ์พลุ่งพล่าน เวลานี้ไม่ใส่ใจเรื่องราวภายนอก จึงไม่ทันสังเกตว่าพวกเขาสองคนจากไป
หลังจากลงมาแล้ว จงรั่วปิงเอ่ยรู้สึกผิด “ดูท่าข้าจะเข้าใจผิดเอง ไม่เข้าใจความต้องการของท่านพ่อและเยี่ยเม่ยถึงได้มาที่นี่ เคราะห์ดีที่พวกเรามาช้าไป หากมาเร็วกว่านี้ เซียวชินพบพวกเราเข้า ไม่แน่ว่าเขาคงไม่ลงมือแล้ว เช่นนี้แผนการที่เยี่ยเม่ยลำบากลำบนวางไว้ เรื่องช่วยซือหม่าหรุ่ยดึงเซียวชินออกมาก็คงสูญเปล่า”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ไหวเอ่ยอีกว่า “ข้ายังลากท่านมาเกี่ยวด้วย วิ่งวุ่นเสียเปล่าไปเที่ยวหนึ่ง ขายหน้าเหลือเกิน”
นางกล่าวเช่นนี้กลับเห็นเซี่ยโหวเฉินคลี่ยิ้มออกมา “แม่นางจงทำเพื่อสหาย กังวลความปลอดภัยของพี่น้อง ไม่ทันคิดเรื่องพวกนี้ ข้าก็ไม่แปลกใจ แม่นางจงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้ารู้สึกเลื่อมใสคุณธรรมน้ำใจของแม่นางแทบไม่ทันเลย ไฉนต้องหัวเราะเยาะด้วยเล่า”
คำพูดนี้มาจากใจจริง
จงรั่วปิงฟังแล้วก็หน้าแดง ขณะนี้มองเซี่ยโหวเฉินยิ่งรู้สึกว่ารื่นตานัก เดิมเขาก็มีรูปโฉมไม่ธรรมดา คราวนี้ยิ่งทำให้คนหวั่นไหวขึ้นไปอีก
เซี่ยโหวเฉินคิดแล้ว ก็กล่าวว่า “อีกเดี๋ยวเยี่ยเม่ยคงมาจัดการให้จบเรื่อง หากถูกนางพบว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน คงไม่ดีต่อชื่อเสียงของแม่นางจง ดึกดื่นค่ำคืนระวังต้องลมจนล้มป่วย ไม่สู้ให้ข้าไปส่งแม่นางกลับจวนเถอะ”
หนุ่มโสดสาวโสดอยู่ด้วยกันข้างนอกกลางค่ำกลางคืนไม่ดีนัก ต่อให้จงรั่วปิงเป็นลูกหลานชาวยุทธ์ แต่ก็ยังไม่เหมาะสมนัก เพราะหลายวันก่อนเซี่ยโหวเฉินยังไปสู่ขอนางที่บ้านด้วย
ดังนั้นเมื่อฟังเขาเสนอ นางก็ปฏิเสธว่า “ไม่ลำบากท่านอ๋องแล้ว ข้ากลับเองได้”
เซี่ยโหวเฉินกลับมีสีหน้าเป็นปกติ “แม่นางจงกินยาสลายกำลัง ไม่อาจใช้วรยุทธ์ กลับไปคนเดียวไม่ปลอดภัย ให้ข้าส่งเจ้ากลับเถอะ หวังว่าแม่นางจะไม่บ่ายเบี่ยงอีก”
เขาเอ่ยเช่นนี้ จงรั่วปิงรู้สึกไม่ควรจะบ่ายเบี่ยงต่อไป จึงพยักหน้าปล่อยให้เซี่ยโหวเฉินส่งนางกลับจวน
……
เยี่ยเม่ยหน้าง้ำงอ พาลั่วซิงเฉินออกไปปล่อยซือหม่าหรุ่ยที่คุกหลวง
นางไม่พาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาด้วย ก็เพราะนางโมโหคนผู้นี้
เขาบอกว่าจะปล่อยนางตอนดึก เพื่อกันไม่ให้ซือหม่าหรุ่ยไม่อาจเกลี้ยกล่อมเซียวชินไว้ได้ นางคิดจะไปเอง หากเกิดอะไรขึ้น อย่างมากก็ใช้กำลังจับเซียวชินไว้ก่อน อาศัยวรยุทธ์ของเขายังห่างชั้นกับนางอยู่บ้าง
ผลเล่า นี่มันยามอะไรแล้ว เจ้าหน้าไม่อายนั่นเพิ่งจะปล่อยตัวนาง หากซือหม่าหรุ่ยรั้งเซียวชินไว้ไม่ได้ นางไปถึงช้า เซียวชินคงจากไปแล้ว
ภายใต้ความโมโห นางจึงไม่พาเขาออกมาด้วย
ถึงเวลานี้จะดึกแล้ว แต่คุกหลวงนางยังต้องไป นางต้องไปปล่อยซือหม่าหรุ่ยออกมาจากคุกอย่างสง่าผ่าเผย…
เพียงแต่นางโมโหขึ้นทุกที คิดอัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหนักๆ
ตลอดทางลั่วซิงเฉินเห็นนางตีหน้าบูดบึ้ง ก็ถามด้วยความอดใจไม่ไหว “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”
เยี่ยเม่ยกัดฟัน “ไม่มีอะไร ผู้ชายทำให้เสียเรื่อง”