เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 122 องค์ชายสี่ผู้เมตตาอ่อนโยน
เช้าตรู่วันถัดมา
หัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารในเมืองหลวงต่างล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของซือหม่าหรุ่ย ในที่สุดนางก็ถูกปล่อยตัวแล้ว ทุกคนต่างได้รับข่าวอย่างรวดเร็วว่าทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด ได้ฟังว่ากลางดึกดื่นเมื่อเหอซั่วอ๋องรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด ก็รีบรุดปล่อยคนออกจากคุก
ดังนั้นทุกคนที่เดิมทีคิดไปดูที่คุกแต่เช้าตรู่ว่าจะมีคนที่ซือหม่าหรุ่ยเคยช่วยเหลือบุกปล้นคุกหรือไม่ ก็พบว่าตัวเองตื่นเช้าตรู่มาเสียเวลาเปล่า
มรสุมก็ผ่านไปเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียงกลับรู้สึกว่านี่คือโอกาสทองที่หาได้ยาก เขาอยู่ที่เรือนหารือกับเซี่ยอวี้ผู้ติดตามคนสนิท “เยี่ยเม่ยไม่เชื่อใจซือหม่าหรุ่ย เช่นนั้นซือหม่าหรุ่ยต้องเจ็บใจเป็นอย่างมากแน่ ครั้งนี้นางถูกปล่อยออกจากคุกหลวง ในใจก็คงมีความไม่พอใจเยี่ยเม่ย”
เซี่ยอวี้เอ่ยปากถาม “เช่นนั้นความหมายขององค์ชายใหญ่คือ…”
“หาทางติดต่อซือหม่าหรุ่ย ให้นางช่วยเป็นสายให้พวกเรา หากทำเช่นนี้พวกเราก็รู้แล้วว่าเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีปัญหาหรือเปล่า” เป่ยเฉินเสียงโพล่งความคิดออกมาทันที
เซี่ยอวี้กลับมุ่นคิ้ว เอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย ทำเช่นนี้จะดีหรือ หากเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ…”
“จะไม่สำเร็จได้อย่างไร ลองคิดดู หากเจ้าเป็นซือหม่าหรุ่ย หมอเทวดาทั้งคน เจ้าจะทนให้คนสาดโคลนใส่เจ้าได้เชียวหรือ ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกขังคุกหนึ่งคืน”
เซี่ยอวี้คิดๆ ดูแล้วก็พยักหน้า “ท่านอ๋อง ที่ท่านพูดก็ถูก แต่เรื่องนี้พวกเราสมควรหารือกับท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” เป่ยเฉินเสียงโบกมือ กล่าวว่า “หลังจากเซี่ยโหวเฉินกราบเป่ยเฉินอี้เป็นอาจารย์ จากคุณชายจวนโหว ชุบตัวกลายเป็นซื่อจื่อ จากนั้นก็กลายเป็นท่านอ๋องน้อย มาตอนนี้กระทั่งบิดาของเขาฉางผิงโหว เสด็จพ่อยังแต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง นิสัยของเขาไม่ได้ดีไปกว่าเป่ยเฉินอี้เท่าไรนัก เขาคิดว่าคนทั่วหล้าไม่มีใครฉลาดเท่าตน หากพวกเราไปถามเขา จะไม่ถูกเขาหัวเราะเยาะ ทั้งเป็นการยอมรับว่าข้าสู้เขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยอวี้ “…”
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงได้ใส่ใจกระทั่งเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ หากเป็นไปตามคำพูดขององค์ชายใหญ่ ขุนนางทั้งหลายก็ไม่ต้องเลี้ยงดูที่ปรึกษาเพื่อช่วยวางแผนแล้วกระมัง เพราะเมื่อที่ปรึกษาออกความเห็น ก็หมายความว่าเจ้านายไม่ฉลาดเท่าที่ปรึกษา
เช่นนั้นฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานขุนนางบุ๋นในราชสำนัก ไม่ต้องมีขุนนางคอยถวายฎีกาแล้วหรอกหรือ เพราะทันทีที่ฮ่องเต้ทรงหารือกับเหล่าขุนนางเรื่องกิจการบ้านเมืองก็หมายความว่าพระองค์ไม่ฉลาดเท่าพวกเขา ถึงต้องถามความเห็นของพวกเขา
องค์ชายใหญ่นี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี หากไม่ใช่เพราะตัวเขาเป็นบ่าวไพร่ ไม่อาจกินในเรือนขี้รดบนหลังคา ทอดทิ้งเจ้านายเพื่อตัวเอง เขาก็คิดจะเปลี่ยนเจ้านายแล้ว เขารู้สึกว่านับวันองค์ชายใหญ่ยิ่งไร้อนาคตเข้าไปทุกที
เห็นเซี่ยอวี้ไม่พูดไม่จา เป่ยเฉินอี้ตวาด “เจ้ายังยืนเฉยทำไมอีก ยังไม่รีบไปจัดการ เข้าใจคำพูดของข้าหรือไม่”
“อ้อ ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
เซี่ยอวี้เดินออกมา ตอนที่เขาเดินเข้าสะพานน้อยในจวนก้มมองเงาสะท้อนของตนในธารน้ำก็เห็นว่าสีหน้าตนเองสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งความสิ้นหวังนี้เหมือนเขาจะเคยเห็นมันปรากฏอยู่บนหน้าไฉ่ซังสาวใช้ประจำตัวว่าที่รองพระชายาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เขากำลังคิดว่าหรือว่าไฉ่ซังเองก็สิ้นหวังเหมือนตน
ดังนั้น เดี๋ยวก่อนนะ…นี่ก็หมายความว่าว่าที่พระชายารองที่องค์ชายใหญ่จะอภิเษกเข้าจวนมาก็เป็นเช่นเดียวกับ… องค์ชายใหญ่งั้นหรือ เช่นนั้นอนาคตของเขา…
“ตู้ม” เสียงดังสนั่นประดุจสายฟ้าฟาด
เขามองเห็นขอบฟ้ามืดหม่น รู้ถึงว่าชีวิตที่เลือกนายผิดนั้นช่างหนาวเหน็บนัก เพียงแต่หวังว่าจะซื้อตัวซือหม่าหรุ่ยได้จริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาคง….
……
จวนองค์ชายสี่
หลังจากเยี่ยเม่ยกลับจวน มีผู้ชายบางคนตั้งใจขอโทษนางตลอดช่วงเช้า ทั้งเขายังลงครัวด้วยตัวเอง ต้มน้ำขิงเพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยนมีเมตตา แสดงความขอโทษ
เยี่ยเม่ยถูกเขาปรนนิบัติมาตลอดช่วงเช้าก็ค่อยๆ คลายโทสะลง คิดได้ว่าทุกอย่างเริ่มต้นมาจากนางที่ทำตัวเกินเหตุก่อน สนิทสนมกับไป๋หลี่ซือซิวมากเกินไป ทำให้เจ้าคนใจแคบผู้นั้นอิจฉา ถึงได้ก่อเรื่องราวในภายหลัง ตอนนี้นางจึงคร้านจะเก็บมาใส่ใจเอาความ
ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยค่อยฉุกคิดถึงซินเยว่เยี่ยนที่ถูกขังไว้
นางรีบไปหลังจวนปล่อยตัวซินเยว่เยี่ยนออกมา
ยามซินเยว่เยี่ยนพบเยี่ยเม่ยก็ร้อนรนจนหน้าคล้ำไปหมด “อาหรุ่ยล่ะ คงไม่ถูกเดียรัจฉานอย่างเจ้าฆ่าแล้วหรอกนะ
เยี่ยเม่ย “…” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกคนสนิทด่าว่าเดียรัจฉาน
เวลานี้เยี่ยเม่ยกลับหาคำโต้แย้งสมเหตุสมผลไม่ได้ เพราะเดิมทีก็เป็นละครที่นางกำกับขึ้นมาเอง ซินเยว่เยี่ยนด่านางเป็นเดียรัจฉานก็ดูไม่ผิด
แต่ว่า…
“วางใจเถอะ ซือหม่าหรุ่ยยังไม่ตาย” เยี่ยเม่ยกุมขมับรู้แต่แรกว่าซินเยว่เยี่ยนเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ ต้องไม่มีทางฟังคำอธิบายของนางแน่ ถึงได้ส่งคนไปตามซือหม่าหรุ่ยมา
ครั้นเห็นซือหม่าหรุ่ยมา ซินเยว่เยี่ยนค่อยสงบลง แต่ว่ายังถลึงตาใส่เยี่ยเม่ยด้วยเจตนาร้าย
เยี่ยเม่ยปรายตามองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าอธิบายให้นางฟังเองแล้วกัน ข้าไปทำธุระก่อน”
“อืม”
…
เยี่ยเม่ยไปทำธุระอะไรกันนะ
ย่อมฉวยนำกำลังทางทหารที่เพิ่งได้รับมาไปจัดการเซี่ยชูมั่วก่อน ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้และเสินเซ่อเทียนต่างมีความระแวงสงสัยแต่ยังไม่มีทางเคลื่อนย้ายกำลังพลในระยะเวลาสั้นๆ นี้อีกแน่
ลั่วซิงเฉินมองกระดาษในมือแผ่นนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าเยี่ยเม่ยไม่เพียงแต่น่าเบื่อ ทั้งยังไม่สร้างสรรค์และถึงกระทั่งต่ำช้ามาก
เซี่ยชูมั่วสั่งให้คนวาดภาพชุนกงของเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้กระจายออกไป เยี่ยเม่ยก็ให้คนวาดภาพชุนกงของเป่ยเฉินอี้และเซี่ยชูมั่วกระจายออกไปบ้าง
ลั่วซิงเฉินปรายตามองเยี่ยเม่ย ถาม “ทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
เยี่ยเม่ยอธิบาย “เจ้าย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว รูปของข้าและเป่ยเฉินอี้ก่อนหน้านี้หายไปอย่างกะทันหัน เมื่อทุกคนเห็นภาพเช่นนี้อีก ซ้ำยังเปลี่ยนฝ่ายหญิงด้วย เจ้าว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร”
“คิดอย่างไร” ลั่วซิงเฉินไม่เข้าใจ
เยี่ยเม่ยกลอกตาใส่เขาเหมือนมองหมูตัวหนึ่ง “ก็ต้องเข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้ล่วงเกินผู้อื่น ถึงได้มีคนลอบวางแผนทำร้ายเขาน่ะสิ”
“ก็ถูก” ลั่วซิงเฉินพยักหน้า เอ่ยด้วยความเข้าใจว่า “เช่นนั้นเมื่อเป็นดังนี้ บางทีอาจคิดว่าเจ้ากับเขาไม่มีอะไรกัน อีกทั้งยังช่วยทำลายชื่อเสียงเซี่ยชูมั่วได้ด้วย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบเสียงเย็นว่า “ไม่ผิด ข้าเป็นพระชายาองค์ชายสี่แล้ว คนอื่นเห็นภาพพวกนี้ข้าไม่ใส่ใจ มันไม่มีผลกระทบอะไรกับข้า แต่ว่าเซี่ยชูมั่วเป็นคุณหนูมีสกุลที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครยังจะกล้าแต่งกับนางอีก”