เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 126
ฮี่ฮี่…
เทพธิดา หน้าไม่อายจริง
เขาไร้ยางอายแล้วจวินซ่างจะทำอะไรเขาได้
เป่ยเจี้ยนเกอปาดน้ำตาที่หางตา ถอดถอนใจพึมพำ “ข้าจบเห่แล้ว” อยู่หลายคำค่อยลงจากเขาอย่างไม่เต็มใจ
เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยด้วยความโมโห “เอาผ้าเช็ดหน้าข้าคืนมานะ”
ในยุคนี้ถึงกฎเกณฑ์ระหว่างชายหญิงไม่เข้มงวดนัก แต่หากเรื่องที่เป่ยเจี้ยนเกอเก็บผ้าเช็ดหน้าเฉิงเสี่ยวจวนไว้แพร่ออกไป ก็ยากที่จะไม่ทำให้คนเข้าใจผิด เพราะอย่างไรผ้าเช็ดหน้าก็เป็นของใช้ติดตัว
เป่ยเจี้ยนเกอโยนผ้าเช็ดหน้าคืนเฉิงเสี่ยวจวนเหมือนกำลังโยนขยะทิ้งก็ไม่ปาน เอ่ยด้วยความรังเกียจว่า “คืนให้เจ้า เป็นเทพธิดารักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไม่อยากเป็นอีกแล้ว ข้ากลับไปเป็นบุรุษชีวิตขมขื่นต่อก็แล้วกัน”
เฉิงเสี่ยวจวน “…” ดูท่าเจ้าจะป่วยแล้ว?
อีกทั้งเฉิงเสี่ยวจวนยังรู้สึกว่า เกรงว่าเจ้านี่จะป่วยไม่น้อยเลยด้วย
……
เซี่ยชูมั่วอยู่ในจวน ยามนางได้รับข่าว หน้าตาก็หมองคล้ำ เดิมคิดว่ากระดาษเหลวไหลพวกนี้แพร่อยู่ข้างนอก นางก็กลัดกลุ้ม เมื่อคิดว่าอย่างน้อยสตรีพวกนั้นอาจไม่มาร่วมงานสักคนเดียวแล้ว นางยังอยู่ในจวนหาแผนการรับมือได้ ต่อให้คิดไม่ออกจริงๆ ก็พักผ่อนสักหลายวัน ไม่ออกไปพบผู้คน มรสุมนี้ผ่านไปแล้ว บางทีทุกคนอาจลืมเรื่องนี้ไปได้ นางค่อยออกจากบ้านก็ยังไม่สาย
แต่นี่นางได้รับข่าวอะไรมาแล้วนะ ทุกคนจะมาร่วมงานชมบุปผาหรือ นั่นก็บอกได้ว่าในขณะที่ภาพชุนกงพวกนั้นแพร่สะพัดอยู่ภายนอก นางยังต้องออกไปพบคน ทั้งยังต้องต้อนรับพวกคนที่ต่อหน้าไม่พูดอะไร แต่ในใจดูแคลนนางพวกนั้นด้วย
นางถามด้วยโทสะ “พวกนางบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ทำไมถึงมาร่วมงานชมบุปผาของข้าอีก พวกนางไม่กลัวเสียชื่อเสียงหรือ”
เหมี่ยวเจินมองนางอย่างระวัง ตอบว่า “พวกนางบ้าหรือเปล่าไม่ทราบ แต่พวกนางไม่กล้าไม่มา”
เซี่ยชูมั่วมองนาง “เพราะอะไร”
เหมี่ยวเจินรีบตอบ “ได้ยินว่าพระชายาองค์ชายสี่ ส่งสารถึงคุณหนูที่ได้รับเทียบเชิญทั้งหมด หากใครไม่มาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาของท่านเท่ากับไม่ไว้หน้านาง”
เซี่ยชูมั่วหน้าเขียวคล้ำ กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นขนัด “นางสารเลว นางสารเลวนี่…เป็นเพราะนางสารเลวนั่นก่อเรื่อง ข้าเข้าใจแล้ว ภาพตั้งมากมายแพร่อยู่ข้างนอก เดิมทีควรหยุดได้แล้ว แต่ว่านางสารเลวนั่นยังไม่ยอมปล่อยข้าอีก”
เหมี่ยวเจินถอนใจ เอ่ยอย่างจนปัญญา “ท่านหญิง บ่าวบอกตั้งแต่แรกแล้ว พระชายาองค์ชายสี่หาใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ท่านเป็นปรปักษ์กับนาง ตัวท่านเองมีแต่จะเจ็บ”
เซี่ยชูมั่วหันกลับมามองนาง เอ่ยด้วยความโมโห “ตอนนี้พูดแล้วจะมีประโยชน์อะไร ยังไม่รีบไปเตรียมของใช้ในงานชมบุปผาอีก”
“เจ้าค่ะ” เหมี่ยวเจินรับคำก็เตรียมจากไป
ในเวลานี้เองพ่อบ้านที่อยู่ข้างประตูก็เข้ามา “ท่านหญิง พระชายาองค์ชายสี่ส่งเทียบมา บอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมเยียน เข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาด้วย บอกว่าท่านอย่าลืมรอต้อนรับนางหน้าประตูด้วย”
เยี่ยเม่ยเป็นพระชายาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ส่วนเขาก็เป็นองค์ชายที่ประสูติแด่ฮองเฮา แม้กระทั่งยามที่พระชายาองค์ชายอื่นได้พบนาง ยังต้องเกรงอกเกรงใจบ้าง ในราชสำนักเป่ยเฉินไม่ว่าราชวงศ์หรือตระกูลขุนนาง ต่างก็ให้ความสำคัญกับฐานะบุตรของภรรยาเอกและภรรยารองชัดเจน
ยามนี้พระชายาเอกของเป่ยเฉินเสียงยังไม่แต่งเข้า ในบรรดาสตรีถือว่าเยี่ยเม่ยมีฐานะสูงส่งที่สุดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานะอ๋องของตัวเอง กระทั่งพระสนมในวัง ยามได้พบนางต่างฝ่ายยังต้องคารวะซึ่งกันและกันเลย ดังนั้นต่อให้เป่ยเฉินเสียงแต่งพระชายาเอก แม้แต่พระชายาเอกยังต้องคารวะเยี่ยเม่ย
หากบอกว่าหญิงที่มีฐานะสูงศักดิ์กว่าเยี่ยเม่ย ก็ต้องเป็นบรรดาพระสนมของเสด็จอาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ว่าเสด็จอาของพวกเขาต่างก็ไร้อำนาจ ได้รับการเลี้ยงดูจากราชวงศ์เป่ยเฉิน ใครจะกล้าเหิมเกริมใส่เยี่ยเม่ย อย่างไรก็ยังต้องเกรงใจนางเหมือนเดิม
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว สตรีในทั่วหล้าที่ไม่ต้องคารวะเยี่ยเม่ยก็มีแค่สองตำแหน่งเท่านั้น หนึ่งคือฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดิน และมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสี่ ทั้งเยี่ยเม่ยยังต้องเคารพพวกนางด้วย ส่วนอีกตำแหน่งหนึ่งก็คือ พระชายาของอี้อ๋อง
อี้อ๋องได้รับความนับถือจากคนทั่วหล้า ทั้งเพราะมีคุณงามความชอบ เปลี่ยนจากตำแหน่งจวินอ๋องเลื่อนขึ้นมาเป็นชินอ๋องนานแล้ว ทั้งยังเป็นเสด็จอาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยเป็นแค่จวินอ๋องย่อมไม่อาจเทียบเคียง ซ้ำนางยังเป็นผู้เยาว์อีกด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซี่ยชูมั่วโมโหหน้าคล้ำ หากไม่ใช่เพราะนางยังไม่ได้แต่งกับอี้อ๋อง ไม่เช่นนั้นเยี่ยเม่ยจะกำเริบเสิบสานต่อหน้านางได้อย่างไรกัน
มาวันนี้เยี่ยเม่ยให้นางต้องสลัดแขกทั้งหมด ออกไปต้อนรับอีกฝ่ายหน้าประตูด้วยตัวเอง ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว นางจำเป็นต้องตกลง
เซี่ยชูมั่วโมโหแทบตาย กลับเอ่ยตอบว่า “รู้แล้ว”
เหมี่ยวเจินที่ยังไม่ทันจากไป เวลานี้ก็เอ่ยเตือนสติเซี่ยชูมั่ว “ท่านหญิง ท่านได้ยินหรือไม่ หากพรุ่งนี้เยี่ยเม่ยมา หลังจากนางมาถึงแล้วคงจะไม่สร้างความลำบากให้ท่านกระมัง”
เซี่ยชูมั่วฟังแล้วหน้าซีดขาวลงทันที
ความโมโหที่มีอยู่แต่เดิมเปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัวปะทุเต็มอก การมาของเยี่ยเม่ยนี้ ต้องมาคิดบัญชีนางแน่ เช่นนั้นนาง… เมื่อคิดเช่นนี้ ขาของนางก็ซวนเซคล้ายกับยืนไม่มั่นอีก
เหมี่ยวเจินรีบปรี่เข้าไปพยุงนายไว้ “ท่านหญิง อดทนไว้ อย่าได้ทำให้เสียสุขภาพเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อสิ้นเสียงนาง เซี่ยฉุนเหวยบิดาของเซี่ยชูมั่วก็เดินเหน้าเครียดเขามา เขาไม่พูดไม่จาก็ตบหน้าเซี่ยชูมั่วทันที “นังลูกไม่รักดี เจ้าล่วงเกินใครกันแน่ ข้างนอกนั่นมันเรื่องอะไรกัน”
พูดแล้วเขาก็โยนภาพชุนกงในมือใส่หน้า เซี่ยชูมั่ว กัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าดูเอง หน้าตาของจวนเราพังพินาศเพราะเจ้าหมดแล้ว”
เซี่ยชูมั่วเป็นธิดาโทนของเซี่ยฉุนเหวย หลายปีที่ผ่านมาได้รับความโปรดปรานมาตลอด ยามปกติเซี่ยฉุนเหวยไม่อาจหักใจขึ้นเสียงใส่นางได้เลยสักประโยค มาวันนี้เข้ามาถึงก็ลงมือ
เซี่ยชูมั่วมองกระดาษบนพื้น เข้าใจทันทีว่าทำไมบิดาถึงโมโหเช่นนี้
นางร้องไห้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ มีคนให้ร้ายข้า นี่คือ…”
เซี่ยฉุนเหวยกลับเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “ข้าย่อมรู้ว่ามีคนให้ร้ายเจ้า แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ หากเจ้าอยู่ในบ้านดีๆ ผู้อื่นจะทำร้ายเจ้าอย่างไร้เหตุไร้ผลได้อย่างไร หากข้ารู้แต่แรกว่าไม่จับเจ้าแต่งงานออกไป จะเกิดเรื่องเช่นนี้ มาตอนนี้ก็ดีเลย ชื่อเสียงเป็นเช่นนี้ภายหน้าเจ้ายังแต่งออกได้อีกหรือ”
เซี่ยชูมั่วได้แต่คุกเข่าลง ร้องไห้ “ลูก… ลูก… ท่านพ่อ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกนะ ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเม่ย นางเป็นคนให้ร้ายลูก”