เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 127
“เยี่ยเม่ยทำร้ายเจ้าหรือ” เซี่ยฉุนเหวยฟังแล้วกลับขมวดคิ้ว เขาเป็นขุนนาง ยามปกติต้องเข้าประชุมที่ท้องพระโรง ดังนั้นเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยคือใคร
สตรีผู้นั้นนิ่งเฉยเย็นชาอยู่ตลอด ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ คล้ายกับจงรักภักดีต่อฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ก็ไม่เคยเป็นปรปักษ์กับใครในท้องพระโรงมาก่อน กลับเป็นซือถูจ้าวเสนาบดีที่ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องบุตรธิดาหรือเปล่า ถึงได้จ้องต่อกรกับเยี่ยเม่ยอยู่เรื่อย
ดังนั้นเมื่อคิดง่ายๆ ได้เช่นนี้ เขาก็คิดไม่ออกเลยว่า อยู่ดีๆ เยี่ยเม่ยมีสาเหตุอันใดมาหาเรื่องบุตรสาวตน
เขาเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาว่า นางทำร้ายเจ้าอย่างไร”
“ลูกก็ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินนางที่ไหน แต่ท่านต้องรู้นะว่ามู่หรงเหยาฉือชอบองค์ชายสี่มาตลอด ตั้งแต่เมื่อก่อนมักรบเร้าพัวพันองค์ชายสี่ไม่เลิก แม้กระทั่งตอนที่เยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่อยู่ชายแดน มู่หรงเหยาฉือยังตามไป ข้างนอกยังมีข่าวลือเรื่องนางกับองค์ชายสี่ไม่น้อย…”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยฉุนเหวยตัดบทนาง “ต่อให้เป็นเช่นนี้จริง แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าด้วย”
เซี่ยชูมั่วอธิบาย “ลูกสนิทกับมู่หรงเหยาฉือมาโดยตลอดมิใช่หรือ บางทีอาจเพราะเรื่องนี้ เยี่ยเม่ยถึงเห็นลูกขัดตาแล้ว”
ระหว่างเอ่ย เซี่ยชูมั่วยังปาดน้ำตาด้วยท่าทางเจ็บปวดใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านพ่อ ยามนี้มู่หรงเหยาฉือกำลังจะกลายเป็นพระชายารององค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่มีโอกาสได้ครองบัลลังก์ เยี่ยเม่ยย่อมไม่กล้าสร้างความลำบากให้มู่หรงเหยาฉือ ดังนั้นก็ได้แต่สร้างความลำบากให้ข้าแล้ว ท่านพ่อ ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ข้านะ”
เซี่ยฉุนเหวยฟังแล้ว ความโมโหก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในใจ “ดังนั้นเจ้าหมายความว่าเยี่ยเม่ยรังแกคนของจวนโหวเราหรือ”
เพราะว่ามู่หรงเหยาฉือจะแต่งไปให้กับเป่ยเฉินเสียงไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นจึงมาเล่นงานคนของจวนโหวแทนรึ
เซี่ยชูมั่วพยักหน้ารัวๆ “เจ้าค่ะ เป็นเช่นนี้จริงๆ”
ถึงเซี่ยฉุนเหวยจะรักโปรดปรานบุตรสาว ทั้งเรื่องนี้ยังทำให้จวนโหวเสียหน้าจนหมดสิ้น แต่อย่างไรเขาก็หาใช่คนโง่งม ไม่มีทางทำเรื่องเลอะเลือนเพราะคำพูดไม่กี่คำของเซี่ยชูมั่ว
เขาเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเยี่ยเม่ยทำ แล้วหลักฐานเล่า”
“นี่…” เซี่ยชูมั่วร้องไห้ทันที “ด้วยฐานะของเยี่ยเม่ย ต่อให้ทำเรื่องเช่นนี้ ลูกจะมีหลักฐานที่ไหน นางมีฐานะสูงส่ง ใครกล้าทรยศนาง ทั้งใครกล้าล่วงเกินนางกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีองค์ชายสี่ที่เห็นนางเป็นยอดดวงใจ เมื่อมีองค์ชายสี่ ทั่วหล้านี้ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องนางแล้ว”
เซี่ยฉุนเหวยฟังแล้วก็ถอนใจ
ถึงในมือเขาจะมีกำลังทหารสองแสนนาย แต่ก็ภักดีกับฝ่าบาทเสมอมา แต่ระยะนี้องค์ชายสี่สองสามีภรรยาได้รับความไว้วางใจมาก ต่อให้เป็นเขาเองเล่าเรื่องพวกนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ก็ไม่แน่ว่าพระองค์จะเชื่อ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาไร้หลักฐาน หากไปร้องเรียนต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้ ไม่แน่ว่าสุดท้ายเยี่ยเม่ยจะไม่รับโทษ ตัวเองเป็นฝ่ายถูกจัดการแทนด้วย
ดังนั้นเขาจึงถอนใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อไม่มีหลักฐาน เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว ไม่ต้องบอกใครว่าเยี่ยเม่ยให้ร้ายเจ้า ไม่เช่นนั้นหากแพร่ไปเข้าหูนาง ยิ่งเป็นผลร้ายต่อเจ้า”
“ท่านพ่อ?” เซี่ยชูมั่วมองบิดาด้วยความแปลกใจ เดิมนางคิดว่าหากเอ่ยเช่นนี้ บิดาต้องช่วยออกหน้าให้นางแน่
เซี่ยฉุนเหวยเอ่ยกับนางว่า “ไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้เป็นการคาดเดาของเจ้า ต่อให้เป็นความจริง ทั่วทั้งราชสำนักในวันนี้ ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องนางง่ายๆ นางได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท หากข้าไปร้องเรียนนาง ไม่แน่ว่าจะกลับเป็นฝ่ายแพ้เอง ดังนั้นตอนนี้สงบใจไว้เถอะ”
เซี่ยชูมั่วกัดฟัน ได้แต่ตอบว่า “ลูกเชื่อฟังคำสั่งของท่านพ่อ”
ตอนนี้เริ่มรู้สึกขุ่นเคืองบิดาของตน พูดว่านางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว พูดว่ารักถนอมดังสมบัติล้ำค่า ความจริงพูดไปแล้วยามเผชิญอันตราย เขาก็ไม่คิดออกหน้าเพื่อนาง
เซี่ยฉุนเหวยขมวดคิ้ว เอ่ยอีกครั้งว่า “วันนี้ข้าเห็นบ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยเคลื่อนย้ายดอกไม้เตรียมจัดงานเลี้ยงชมบุปผา ข้าได้ยินว่าเจ้าจะจัดงานนี้หรือ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ยามนี้รูปภาพพวกนั้นกระจายอยู่ข้างนอกไปทั่ว เจ้าจัดงานเลี้ยงเพื่อให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายมาหัวเราะเยาะเจ้าหรือไง เจ้าช่างเหลวไหลนัก รีบไปยกเลิกเดี๋ยวนี้”
พูดแล้วก็แทงใจเซี่ยชูมั่วนัก นางเอ่ยปากว่า “ท่านพ่อ เทียบเชิญมาร่วมงานเลี้ยงส่งออกไปก่อนหน้าแล้ว หลังจากส่งไปไม่นาน ด้านนอกก็เริ่มมีรูปพวกนั้น เดิมลูกคิดว่าคุณหนูทั้งหลายคงไม่มาแล้ว คิดไม่ถึงเลย เยี่ยเม่ยส่งเทียบของตัวเองไปยังทุกบ้าน บอกว่าใครไม่มาเท่ากับไม่ไว้หน้านาง ดังนั้นคนที่ได้รับเทียบทั้งหมดต่างบอกว่าจะมา ท่านว่าลูก…หากตอนนี้ลูกไม่จัดงาน…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำตาของเซี่ยชูมั่วก็ไหลออกมาจริงๆ “นั่นไม่เท่ากับบอกทุกคนว่า ลูกมีปัญหาจริงๆ ประพฤติตนไม่สำรวม ยามนี้ถึงได้ร้อนตัวยกเลิกงานเลี้ยงหรอกหรือ”
พูดไปแล้วนางก็เคียดแค้นเยี่ยเม่ยนัก
สตรีนางนี้ปล่อยภาพชุนกงออกไปยังไม่พอ ยังทำร้ายนางเช่นนี้อีก ช่างน่ารังเกียจนัก
เซี่ยฉุนเหวยฟังพลันขมวดคิ้ว ถามว่า “เยี่ยเม่ยสั่งการไปยังทุกจวนจริงหรือ”
เซี่ยชูมั่วพยักหน้า “จริง เป็นฝีมือนาง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ท่านพ่อไปถามดูก็รู้แล้ว เยี่ยเม่ยส่งเทียบเชิญออกไปอย่างเปิดเผย ให้ทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาของข้า”
เซี่ยฉุนเหวยเงียบไปหลายวินาที เอ่ยปากว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่วนด้านเยี่ยเม่ย พ่อจะหาทางดู หวังว่าหลังจากงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ นางจะยอมรามือ”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อ” เซี่ยชูมั่วได้รับคำตอบจากบิดาเช่นนี้ก็นับว่าวางใจได้ชั่วคราว
นางกลัวเยี่ยเม่ยจะสังหารตนเอง ดังนั้นถึงได้หวาดหวั่นไม่สงบ เมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ อย่างน้อยชีวิตของนางท่านพ่อก็คงช่วยรักษาเอาไว้อย่างเต็มที่
เซี่ยฉุนเหวยเอ่ยจบก็จากไปแล้ว
……
จวนองค์ชายสี่
เยี่ยเม่ยกำลังดื่มชา อวี้เหว่ยอดใจไม่ไหวถามว่า “พระชายา ทำไมท่านถึงสั่งให้คนไล่ตามข้าไปกำชับเพิ่มอีกประโยค ให้เซี่ยชูมั่วออกมาต้อนรับท่านในวันพรุ่งนี้ด้วยตัวเอง”
เรื่องนี้อวี้เหว่ยไม่เข้าใจจริงๆ ความจริงตามหลัก เมื่อเยี่ยเม่ยไปร่วมงาน เซี่ยชูมั่วต้องก็ออกมาต้อนรับอยู่แล้ว นี่เป็นกฎ ดังนั้นเขาคิดว่าความจริงไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายทอดคำพูดนี้ออกไปเลย นี่ไม่เท่ากับเป็นการวาดงูเติมขาหรอกหรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ยิ้มเอ่ยว่า “ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ ข้าแค่อยากเตือนนาง ต่อให้นางเกลียดข้าแค่ไหน นางก็ต้องออกมาต้อนรับข้า เคารพข้า ในเวลานี้นางคงกำลังคิดว่าในราชสำนักเป่ยเฉินมีใครบ้างที่ไม่ต้องแสดงความเคารพข้า…”
อวี้เหว่ยฟังแล้วพลันเข้าใจได้ กลืนน้ำลายเฮือก “ข้าคงคิดได้ว่า ฮองเฮาไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพท่าน แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเลย พระชายาอี้อ๋องก็เช่นกัน”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ยิ่งยิ้มอย่างสนิทสนม “ดังนั้นน่ะ นางต้องโกรธมากๆ ข้าต้องการเตือนนางสักหน่อย ใช้นางเผชิญหน้ากับตัวเองที่ไล่ตามหลังเป่ยเฉินอี้อยู่เรื่อยมาจนกลายเป็นสาวแก่ ผลคือเป่ยเฉินอี้ไม่แต่งกับนาง ทำให้นางได้แต่โมโหตัวเอง โธ่ เซี่ยชูมั่วช่างน่าสงสารนัก ชวนให้คนเห็นใจเหลือเกิน”
อวี้เหว่ย “…” ท่านอย่าทำเช่นนี้ได้ไหม ตอนนี้ข้ามองท่านก็รู้สึกชาวาบไปทั้งหัวแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยอดไม่ไหว เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย ระยะนี้เจ้ายิ้มมากขึ้นแล้ว”
ความจริงนับตั้งแต่เริ่มจัดการเซี่ยชูมั่วผู้นี้ รอยยิ้มของเยี่ยเม่ยก็เริ่มอบอุ่นขึ้นมา ทั้งยังให้ความรู้สึกเป็นคนมากขึ้นแล้ว แต่ก็ทำให้คนรู้สึกกลัว อืม จะพูดอย่างดี คล้ายกับพวกโรคจิตเปลี่ยนวิธีการรังแกคน
เยี่ยเม่ยพยักหน้ารัว ชี้ซือหม่าหรุ่ย “ช่วงนี้ห้ามลงมือทำอะไรโดยพลการ กันไม่ให้ฝ่าบาทเกิดความระแวง ดังนั้นข้าเลยว่างมาก ก็ดีที่เซี่ยชูมั่วคิดเล่นสนุก ข้าก็เล่นไปกับนางสักหน่อย นางอาจไม่รู้ว่าเมื่อก่อนใครๆ ต่างเรียกข้าว่าโรคจิต ได้ยินชื่อข้าก็ตัวสั่นงก ข้ายุ่งมาตลอดเลยไม่คิดจะเล่นกับพวกนาง ระยะนี้ว่างแล้ว ก็ทำให้พวกนางเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของข้าสักหน่อย”
ลั่วซิงเฉินที่เพิ่งเดินเข้ามาในโถง ได้ฟังประโยคนี้เข้าก็ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
หางตาเยี่ยเม่ยเห็นลั่วซิงเฉิน ก็เสริมอีกว่า “ดังนั้นอาหรุ่ย เจ้าก็มองออกหรือว่าระยะนี้ข้าอารมณ์ดีมาก เพราะโดยเนื้อแท้แล้วข้าเป็นพวกโรคจิต ข้าชอบทรมานคนนัก ยิ่งเคี่ยวกรำให้พวกเขาย่ำแย่ ข้ายิ่งมีความสุข หึๆ ความสนุกนี้ เรื่องทั่วไปไม่อาจทำให้ข้ารู้สึกได้ มีแต่การทรมานคนเท่านั้น ข้าถึงเบิกบานเช่นนี้”
ลั่วซิงเฉิน “…” มารดาข้าเถอะ สมองข้าเต็มไปด้วยน้ำแล้วหรือไง ถึงได้หลงคิดว่าเยี่ยเม่ยเป็นคนหน้าตาเย็นชาแต่จิตใจร้อนระอุ ความจริงเป็นคนพูดด้วยได้ง่าย เขาสามารถบ่นนาง บอกว่าไม่อยากทำงานส่งข่าวแล้ว ยังดีที่ตัวเขาไม่โดนจัดการ
ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้ามาพอดี ได้ยินคำพูดของเยี่ยเม่ย
เขาเลิกคิ้วเรียว หัวเราะเสียงอ่อนว่า “ดูท่าชายารักจะเป็นเหมือนกับข้า เยี่ยนก็ชอบทรมานคน ยามที่ทรมานคนมักรู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด”
“มิน่าครั้งแรกที่ข้าพบท่าน ก็อยากให้ท่านถอดผ้าให้ข้าดู” เยี่ยเม่ยเอ่ยเรื่องที่พวกนางพบกันครั้งแรกออกมาโดยไม่ปิดบัง
คนทั้งหมดมุมปากกระตุก
ต่างคิดจะก้มหน้าเดินออกไปเงียบๆ ปีศาจตนหนึ่งกับโรคจิตคนหนึ่ง สองคนนี้รวมกลุ่มเป็นสามีภรรยา นี่คิดจะไม่ไว้ชีวิตผู้คนแล้วใช่หรือไม่
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสี่ยวกวนก็กลับเข้ามาแล้ว
เสี่ยวกวนยังไม่เอ่ยปาก
เยี่ยเม่ยชิงถาม “เซี่ยฉุนเหวยได้ข่าวแล้วหรือ เขาโมโหแล้วเข้าไปตบหน้าเซี่ยชูมั่วโดยไม่พูดไม่จาใช่ไหม จากนั้นก็ด่าว่านางทำจวนโหวเสียหน้า ทำให้เซี่ยชูมั่วที่หมดหวังอยู่ก่อน ร้องไห้เป็นมนุษย์น้ำตาทันทีแล้วใช่หรือไม่”
เสี่ยวกวนยกมุมปาก “พระชายา ท่านช่างแม่นยำนัก”
ถึงกับคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ดื่มชาคำหนึ่ง “หากข้ายังเดาไม่ถูกอีก ข้าจะจงใจให้พวกเจ้าแพร่ข่าวไปถึงหูเซี่ยฉุนเหวยทำไมกัน โดนตบหน้าสองฉาด หึๆ ดูท่าพรุ่งนี้ไปจวนโหว หน้านางน่าจะยังบวมอยู่กระมัง”