เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 129 ฮ่องเต้พระราชทานสมรส
เซี่ยโหวเฉินรู้ดีว่า ฝ่าบาทไม่คิดฟังเขาพูดอีก เพื่อทำให้เขารีบกลับไปถึงได้เอ่ยเช่นนั้น แต่ว่าก็ไม่เห็นต้องฝืนหาเหตุผลขนาดนี้เลยได้หรือไม่…
ช่างเถอะ ฝ่าบาทไม่คิดฟังความเห็นของเขา เซี่ยโหวเฉินก็เข้าใจแล้ว
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า เอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือกระหม่อมชอบบุตรสาวของใต้เท้าจงซาน ขอฝ่าบาทโปรดประทานสมรสด้วย”
เมื่อเซี่ยโหวเฉินเสนอ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ขรึมลงไป
ตรัสว่า “ประทานสมรสหรือ จงซานเห็นด้วยหรือไม่”
เซี่ยโหวเฉินเป็นคนเยี่ยงไร ฮ่องเต้ทรงรู้ดีอยู่แก่ใจ เลี้ยงดูคนอย่างเซี่ยโหวเฉิน สำหรับฮ่องเต้ สำหรับราชสำนักเป่ยเฉินแล้ว ความจริงก็คือการเลี้ยงเสือร้าย สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ก็เข้าใจดี
จงซานเป็นขุนนางสำคัญที่คอยให้ความช่วยเหลือ หากให้บุตรสาวของเขาแต่งงานกับเซี่ยโหวเฉิน สำหรับพระองค์และราชสำนักล้วนไม่เป็นผลดี อย่างไรเสียจงซานก็มีธิดาโทนคนเดียว ยากรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ย้ายไปอยู่ฝั่งเซี่ยโหวเฉิน
เซี่ยโหวเฉินตอบ “เรื่องนี้กระหม่อมไปสู่ขอกับใต้เท้าจงแล้ว ใต้เท้าจงบอกจะถามความเห็นของคุณหนูจงก่อน แต่ว่ากระหม่อมถามคุณหนูจงแล้ว นางยินดี ดังนั้นกระหม่อมอยากทูลขอให้ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรส ไม่ว่าอย่างไรพวกเราคนหนึ่งก็เป็นท่านอ๋อง อีกคนก็เป็นคุณหนูจวนซือคง หากฝ่าบาทพระราชทานสมรส กระหม่อมจะไม่ลืมพระคุณเลย”
อันที่จริงทั้งฮ่องเต้และเซี่ยโหวเฉินต่างรู้ดี ที่ให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสไม่ใช่เพื่อขอความเห็นจากพระองค์ แต่เพราะเซี่ยโหวเฉินมีฐานะเป็นท่านอ๋อง เรื่องงานแต่งของอ๋องไม่อาจตัดสินใจเองได้ ล้วนต้องถามความเห็นชอบจากฮ่องเต้ จงซานเป็นหนึ่งในสามตุลาการ เรื่องการแต่งงานของบุตรสาว จงซานก็ไม่อาจตัดสินใจได้ง่ายๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็…
จำเป็นต้องถามความเห็นชอบจากฮ่องเต้
ยามนี้บอกว่าจะขอให้พระราชทานสมรส ก็เพื่อดูท่าทีของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ฟังแล้ว กลับบันดาลโทสะ ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นว่า “คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ากับคุณหนูจงตัดสินใจเรื่องแต่งงานกันเองแล้ว”
ในราชสำนักเป่ยเฉิน การตัดสินใจเรื่องแต่งงานเองถือเป็นโทษมหันต์
โดยเฉพาะคนที่มีฐานะเป็นอ๋อง ไม่ถามไถ่ความเห็นของฮ่องเต้คือการไม่เคารพฮ่องเต้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จงรั่วปิงเป็นสตรีนางหนึ่ง หากเซี่ยโหวเฉินยอมรับคำพูดนี้ ก็เท่ากับว่าจงรั่วปิงไม่อยู่ในกรอบระเบียบ ไม่รักษาธรรมเนียมหญิง เป็นหญิงแพศยา
เขากัดฟัน กดเสียงต่ำตอบว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมิกล้า เป็นเพราะว่ามิกล้าตัดสินใจเอง จึงได้มาถามความเห็นของพระองค์”
ดูจากท่าทีของอ่องเต้ เซี่ยโหวเฉินรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
อีกอย่าง…
ความจริงเขาก็ใช้เรื่องนี้ในการหยั่งเชิงฮ่องเต้เช่นกัน หากฮ่องเต้ไม่ทรงเห็นด้วยกับงานแต่งงานก็หมายความว่าอันที่จริงฮ่องเต้ไม่เคยไว้วางใจเขาเลย
เมื่อคิดเช่นนี้ เซี่ยโหวเฉินเองก็ตื่นเต้น รอฮ่องเต้เอ่ยคำตอบ
หลังจากฮ่องเต้เงียบไปสักพัก ตรัสว่า “เรื่องนี้ข้าต้องใคร่ครวญก่อน หลังจากหารือกับต้าซือคงแล้วค่อยตัดสินใจ เซี่ยโหวเฉินเจ้าคือคนรุ่นหลังที่ข้าให้ความสำคัญมาก เรื่องงานแต่งงานของเจ้า ข้าเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ไม่อาจยกจงรั่วปิงให้แต่งกับเจ้าได้ ข้าก็ไม่ทำให้เจ้าต้องเสียเปรียบ”
เซี่ยโหวเฉินฟังแล้ว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปไม่น่าชม เอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาท กระ…กระหม่อมเป็นอ๋อง แม่นางจงเป็นบุตรของใต้เท้าซือคง ฐานะคู่ควรเหมาะสม ฝ่าบาทยังต้องหารืออันใดอีก”
“เพราะข้าเตรียมงานแต่งงานที่ดีกว่าเอาไว้ให้เจ้า” เห็นท่าทางยืนหยัดหนักแน่นของเซี่ยโหวเฉิน ฮ่องเต้พลันไม่พอใจแล้ว ทั้งเริ่มสงสัยในเจตนาของเซี่ยโหวเฉิน
เมื่อคิดๆ ดูอีก ก่อนหน้านี้จงซานเชื่อคำพูดของจงรั่วปิง ถอนหมั้นกับเชื้อพระวงศ์ หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องถอนหมั้นกับเชื้อพระวงศ์มาก่อน หรือว่าระหว่างจงซานกับเซี่ยโหวเฉินสมคบคิดกันมานานแล้ว
ครั้นคิดได้ดังนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้ก็เกิดความลังเลสงสัยว่า เซี่ยโหวเฉินชอบจงรั่วปิงจริงๆ หรือว่าเขาคิดจะผูกมิตรกับจงซานกันแน่ ยิ่งคิดฮ่องเต้ยิ่งไม่อาจคลายใจ ดังนั้นทรงจ้องเซี่ยโหวเฉินเขม็งตรัสว่า “ในเมื่อเจ้าถามถึงขั้นนี้ เรื่องนี้ก็มิต้องหารือกับจงซานอีก ข้าตั้งใจจะยกองค์หญิงอันหยางให้แต่งกับเจ้า ให้เจ้าเป็นราชบุตรเขย”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสตอบ เซี่ยโหวเฉินสีหน้าซีดขาวไปทันที
ด้วยฐานะและนิสัยจงรั่วปิงย่อมไม่มีทางลดตัวลงไปเป็นอนุภรรยา แต่หากให้องค์หญิงอันหยางพระธิดาของฮ่องเต้เป็นอนุ นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ หากฮ่องเต้ยืนกรานพระราชทานสมรส นั่นก็หมายความว่าเรื่องระหว่างเขากับจงรั่วปิงคงจบเห่แล้ว
ในขณะที่เขาหน้าตาซีดเซียว
ฮ่องเต้ตรัสเสริมว่า “องค์หญิงอันหยางก็ประสูติแด่ฮองเฮา นางกับองค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่เป็นพี่น้องแท้ๆ ต่อให้แต่งกับเจ้าก็ไม่ถือว่าเจ้าเสียเปรียบ ข้าคิดเรื่องนี้มาตลอด เจ้าเป็นขุนนางที่ข้าให้ความสำคัญ ข้าย่อมมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเจ้า”
เซี่ยโหวเฉินคำนับ แล้วคุกเข่าเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่คู่ควรกับองค์หญิง โปรดถอนรับสั่งด้วย”
เมื่อเขาคัดค้าน ฮ่องเต้ก็มีพระพักตร์ไม่น่ามอง
นี่หมายความว่าอะไร
ลูกสาวจงซานไม่ชอบลูกชายพระองค์ เซี่ยโหวเฉินก็ไม่ชอบลูกสาวพระองค์อีก นี่หมายความว่าอะไร
ฮ่องเต้พระพักตร์เขียวคล้ำตำหนิด้วยโทสะ “เซี่ยโหวเฉิน เจ้าจะบอกว่า ในใจเจ้าองค์หญิงไม่อาจเทียบจงรั่วปิงได้อย่างนั้นรึ”
หากยอมรับคำพูดนี้ตรงๆ แสดงออกว่าเห็นด้วยนั่นก็คือโทษประหารข้อหาไม่เคารพ
เซี่ยโหวเฉินย่อมเข้าใจกฎนี้ดี แต่เขาก็ไม่อาจรับปากตกลงได้ จงรั่วปิงยอมแต่งงานกับเขา ระยะห่างระหว่างคนที่ชอบกันระหว่างพวกเขาสองคนก็ห่างแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เขาจะยอมให้องค์หญิงมาแทรกกลางระหว่างเขากับจงรั่วปิง ทำลายความสุขชั่วชีวิตตนได้อย่างไร
เขารีบอธิบายว่า “ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดแล้ว องค์หญิงสูงส่ง ฝ่าบาทมีใจรักบุตรสาวจงซาน องค์หญิงเป็นสตรีที่ดีที่สุดในโลก ใครก็ไม่อาจเทียบนางได้”
เมื่อฮ่องเต้ฟังแล้ว สีพระพักตร์ค่อยสงบลงหลายส่วน
จากนั้น เซี่ยโหวเฉินเสริมต่อว่า “แต่ว่าในใจกระหม่อมมีผู้อื่นแล้ว แม่นางจงถึงเป็นคนที่อยู่ในใจ ดังนั้นจึงได้แต่ผิดต่อความหวังดีของฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ขอฝ่าบาทช่วยส่งเสริมด้วย”
ยกยอองค์หญิงอันหยางแล้วค่อยแสดงจุดยืนของตนออกไป
ฮ่องเต้กลับไม่ใช่คนที่หลอกล่อได้ง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ตัดสินใจไม่ยอมให้จงซานและเซี่ยโหวเฉินเป็นพวกเดียวกันเด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้นขุนนางภักดีอย่างจงซานก็คงรักษาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
ฮ่องเต้จึงตรัสว่า “มีคนในใจแล้วก็เป็นแค่เรื่องมาก่อนหลังเท่านั้น ในเมื่อเจ้าคิดว่าอันหยางเป็นสตรีที่ดีที่สุดในโลก เช่นนั้นหลังจากพวกเจ้าแต่งงานกัน ไม่ช้าเจ้าก็จะลืมจงรั่วปิงไปชอบอันหยาง นางเป็นลูกที่ข้ารักที่สุด เจ้าต้องดูแลนางให้ดี”
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “ฝ่าบาท กระหม่อม…”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองพูดถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ยังไม่ยอมตกลง ยังทรงยืนกรานดึงดันให้เขาแต่งกับองค์หญิงอันหยาง
เขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แล้ว เพราะพระองค์ไม่เชื่อใจเขากลัวว่าเขาจะเป็นพันธมิตรกับจงซาน ดังนั้นจึงไม่ยอมตกลงเรื่องงานแต่งของเขากับจงรั่วปิง อีกทั้ง…หากให้องค์หญิงแต่งงานกับเขาก็นับว่าเป็นการชักจูง ให้เขาทำงานให้ฮ่องเต้อย่างสงบใจ
ฮ่องเต้ตรัสด้วยความเย็นชา “ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดอีก”
เซี่ยโหวเฉินยังคงพยายามดิ้นรนด้วยความกล้า “ฝ่าบาท หากกระหม่อมไม่อาจลืมแม่นางจงได้ ไม่อาจรักถนอมองค์หญิงได้ ถึงขั้นไม่อาจดูแลท่านหญิงอย่างสมควรได้ ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้องค์หญิงลำบากหรือ องค์หญิงอันหยางเป็นลูกที่ท่านรักที่สุด เหตุใดพระองค์ถึงต้องยกนางให้กับชายที่มีคนอื่นในใจอยู่แล้ว”
“บังอาจ” ครั้งนี้ฮ่องเต้เกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ แล้ว
พระองค์บันดาลโทสะถึงขั้นเขวี้ยงฎีกาบนโต๊ะใส่หน้าเซี่ยโหวเฉินอย่างแรง ซ้ำยังตรัสด้วยสุรเสียงเย็นว่า “ลูกของข้า เจ้ากล้าไม่ดูแลนางอย่างที่ควรหรือ เจ้าคิดจะกบฏหรือไง”
“กระหม่อมมิกล้า” เซี่ยโหวเฉินเข้าใจดี ยามนี้ฮ่องเต้พิโรธแล้ว หากเขายังดื้อแพ่งไม่เลิก เกรงว่าวันนี้คงตายอยู่ที่นี่แน่
ครั้นเห็นเซี่ยโหวเฉินสงบลงบ้าง ฮ่องเต้ทรงสะกดความโมโห สีพระพักตร์เย็นชา “ไม่กล้าเจ้าก็หุบปากซะ ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้ว ให้เจ้าเป็นราชบุตรเขยของอันหยาง เรื่องนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ต่อให้เจ้าลืมจงรั่วปิงไม่ได้ ไม่อาจทำดีกับอันหยางได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นโชคชะตาของนางเถอะ นางเป็นองค์หญิงในราชวงศ์ ย่อมแบกรับหน้าที่ของเชื้อพระวงศ์ เซี่ยโหวเฉินเจ้าสมควรเข้าใจ ทำไมข้าไม่เห็นด้วยกับงานแต่งของเจ้ากับจงรั่วปิง แล้วเจ้าก็คงเข้าใจว่าทำไมข้าถึงยกอันหยางให้แต่งกับเจ้า”
เซี่ยโหวเฉินฟังแล้วก็เงียบไป เขาเข้าใจอยู่แล้ว เพราะความเข้าใจเขาถึงยิ่งไม่ยินยอม
เดิมทีที่เขาบอกว่าจะแต่งกับจงรั่วปิง ทางหนึ่งก็คิดผูกมิตรกับจงซานจริงๆ แต่ที่มากกว่านั้นก็เพื่อหยั่งเชิงดูจุดยืนของจงซานด้วย อย่างไรเสียเขาก็เข้าใจว่าหากฮ่องเต้ไม่เชื่อใจเขา อย่างนั้นก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้
หากเขาไม่ชอบจงรั่วปิง ฮ่องเต้คัดค้านก็ช่างเถอะ แต่ด้วยบุพเพอาละวาด เขาชอบจงรั่วปิงไปแล้ว จงรั่วปิงก็ยินยอมแต่งกับเขา มาตอนนี้จะให้เขารามือ เขาจะยินยอมได้อย่างไร
ส่วนเขา…
ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หลายปีที่ผ่านมาเขาทำงานให้ฮ่องเต้มากมาย ฮ่องเต้ยังไม่เชื่อใจเขาอีก คงเป็นเพราะจุดที่เขาด้อยกว่าเป่ยเฉินอี้ เขาคิดคาดเดาใจคนแต่ก็ยังห่างชั้นอยู่หน่อย ส่วนความห่างชั้นน้อยนิดนั่นก็ทำให้งานแต่งงานที่เขาอยากได้ต้องจบเห่ลง
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
สถานการณ์ในตอนนี้ ฮ่องเต้ตรัสถึงขั้นนี้แล้วก็เท่ากับยากบ่ายเบี่ยง
หากเขายังคัดค้านไม่เลิก อย่างนั้นเป็นการชี้ให้เห็นว่า…
เขากำลังยอมรับกับฮ่องเต้ ว่าเขามีใจคิดคด อยากผูกพันธมิตรกับจงซาน เขารู้ทั้งรู้ว่าฮ่องเต้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ยังยืนกรานจะทำให้ได้ เขากำลังท้าทายฮ่องเต้
จุดจบของสิ่งเหล่านี้ก็คือ…ตายสถานเดียว
เมื่อทอดพระเนตรเห็นท่าทางของเซี่ยโหวเฉิน ฮ่องเต้ทรงทราบแล้วว่าเขายอม ก็ทรงพยักหน้า “เจ้าออกไปเถอะ”
ยามนี้พระองค์ไม่อยากเห็นเซี่ยโหวเฉินอีกแล้ว ถึงคนผู้นี้สุดท้ายจะไม่ค้าน แต่ท่าทางท้าทายเมื่อครู่ของเขา ฮ่องเต้ยังเห็นชัดอยู่ในตา คิดแล้วก็โมโหจึงไล่เขาออกไป
“กระหม่อมทูลลา”
เซี่ยโหวเฉินลุกขึ้น ล่าถอยไปอย่างซวนเซเล็กน้อย
ขันทีด้านหลังฮ่องเต้มองแผ่นหลังเซี่ยโหวเฉิน เอ่ยกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท ดูจากท่าทางของท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวแล้ว คล้ายจะชอบแม่นางจงจริงๆ ท่านทำเช่นนี้…ท่านอ๋องน้อยจะไม่ขุ่นเคืองท่านหรือ”
ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายใจลึก ส่ายหน้า ตรัสว่า “ข้ารู้ ที่ข้ายืนกรานทำเช่นนี้เขาต้องไม่พอใจแน่ แต่ว่า…ข้าไม่อาจใจอ่อน ให้จงซานและเซี่ยโหวเฉินผูกสัมพันธ์เป็นญาติกันได้”
หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับผลักให้จงซานไปอยู่ข้างเซี่ยโหวเฉิน เป็นกำลังช่วยเหลืออีกฝ่าย
ขันทีน้อยลอบถอนใจ
ดูท่าคงต้องลำบากองค์หญิงแล้ว เซี่ยโหวเฉินไม่อาจระบายโทสะใส่ฝ่าบาทได้ ย่อมต้องหมางเมินองค์หญิงอย่างแน่นอน
……
จวนจงซาน
ยามจงรั่วปิงบอกจงซานว่านางยอมแต่งกับเซี่ยโหวเฉิน ภาพเบื้องหน้าจงซานก็ดำมืดไปหมด มองท่าทางดีใจของจงรั่วปิง เขาก็อดใจไม่ไหวเอ่ยความจริงออกไป “ฝ่าบาทไม่มีทางยอมรับการแต่งงานของพวกเจ้าแน่ หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด สำหรับฝ่าบาทแล้วเซี่ยโหวเฉินถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับองค์หญิงอันหยาง ให้เขาเป็นราชบุตรเขย”
“ท่านว่าอะไรนะ” จงรั่วปิงไม่อยากเชื่อเขา ท่านพ่อเป็นคนฉลาด จงรั่วปิงรู้ดี เมื่อจงซานเอ่ยเช่นนั้น เรื่องนี้คง…
จงซานมุ่นคิ้ว “ก่อนหน้านี้ข้าไม่บอกกับเจ้า เพราะว่าข้าไม่คิดว่าเจ้าจะชอบเขาจริงๆ เจ้าเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ เจ้าชอบบุรุษที่สง่าผ่าเผยอิสระเสรี เกลียดพวกใช้อุบายเล่กลที่สุด อีกอย่างข้าก็เตือนเจ้าแล้ว เซี่ยโหวเฉินไม่ได้รักชอบเจ้าธรรมดาเท่านั้น ทำไมเจ้ายัง…ความจริงไม่ใช่เจ้าแต่งกับเขาไม่ได้ แต่เป็นได้แค่อนุ เพราะองค์หญิงอันหยางไม่อาจเป็นอนุได้”
จงรั่วปิงลุกขึ้นทันที “ไม่มีทาง”