เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 131
ไม่รู้เพราะอะไร จงรั่วปิงรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้เยี่ยเม่ยอาจช่วยออกความคิดเห็นได้
จงรั่วปิงรู้ดี ความจริงเยี่ยเม่ยแข็งนอกอ่อนใน เยี่ยเม่ยต้องเป็นเหมือนนาง ถึงรู้ว่าเป็นหนทางเดียว รู้ทั้งรู้ว่าขอเพียงทำเช่นนี้ก็แลกความสุขกลับมาได้ แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางเห็นด้วยเด็ดขาด อย่างไรเสียก็เป็นการสละชีวิตผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง
เวลานี้แม้กระทั่งท่านพ่อยังกล่าวเช่นนี้แล้ว เยี่ยเม่ยจึงกลายเป็นความหวังเดียวของนาง
เมื่อนางเอ่ยออกมา จงซานกลับพยักหน้า เอ่ยไปตามตรง “เจ้าไปหาเยี่ยเม่ยก็เป็นทางออกที่ถูก นางเป็นคนมีหนทางแปลกใหม่ บางทีอาจหาทางออกได้”
เยี่ยเม่ยผู้นี้ปกติก็ไม่ใช้วิธีปกติ ดังนั้นเรื่องนี้อาจมีความคิดดีกว่าก็ได้
จงซานกล่าวเช่นนี้ จงรั่วปิงยิ่งรู้สึกว่าตัวนางพบที่พึ่งหลักแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเร่งฝีเท้ารีบไปหาเยี่ยเม่ย
……
รอจงรั่วปิงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เยี่ยเม่ยฟัง เยี่ยเม่ยก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เห็นเยี่ยเม่ยไม่เอ่ย จงรั่วปิงรีบถามว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าวางใจได้ ต่อให้ข้าอยู่กับเซี่ยโหวเฉิน ข้าก็ไม่มีทางทรยศพวกเจ้า เอาข่าวที่ท่านพ่อบอกข้าไปเล่าให้เขาฟัง”
เมื่อเห็นจงรั่วปิงเข้าใจผิดคิดว่าที่นางไม่พูดเพราะกังวลเรื่องนี้ เยี่ยเม่ยส่ายหน้ายิ้มๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงกำลังคิดแผนการที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย หาได้กังวลว่าจะเจ้าขายข้า ถึงไม่พูดจา”
เยี่ยเม่ยเอ่ยถึงตรงนี้ แล้วค่อยกล่าวต่อ “หากเจ้าเป็นคนที่ยอมขายเพื่อนเพื่อเซี่ยโหวเฉิน เพื่อความรักของตัวเองแล้วไม่เสียดายทุกอย่าง วันนี้เจ้าก็คงไม่วิ่งมาเอ่ยคำพูดพวกนี้กับข้า เพราะกังวลและหักใจลงมือกับองค์หญิงอันหยางไม่ได้แล้ว”
นี่คือความจริง หากจงรั่วปิงเป็นคนประเภทนั้น แล้วทำไมต้องใส่ใจองค์หญิงอันหยางที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาว่าอีกฝ่ายจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่อาจแต่งงานได้อีกเล่า
ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยกล่าวว่าไม่ได้สงสัยนาง จงรั่วปิงค่อยวางใจลงได้
นางเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม “แม้กระทั่งท่านพ่อข้าที่เจ้าเล่ห์เพทุบายก็บอกว่านอกจากวิธีนี้แล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก ดังนั้นข้าจึงปวดหัวมาก หรือต้องหาคนมาทำให้ชื่อเสียงขององค์หญิงแปดเปื้อนจริงๆ เรื่องพรรค์นี้ ข้าทำไม่ได้”
ด้านจงรั่วปิงบรรยายว่าจงซานเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย เยี่ยเม่ยก็รู้สึกน่าขำอยู่บ้าง
มือนางเคาะบนโต๊ะอยู่สักพักใหญ่ๆ ถึงรู้ว่าองค์หญิงอันหยางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่นางก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนประเภทไหน คนที่ไม่เห็นหลักการเหตุผลญาติมิตรอยู่ในสายตา หากเขาสนใจความเป็นตายขององค์หญิงอันหยางก็แปลกแล้ว ดังนั้นยามวางแผนก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจผิดต่อมโนธรรมในใจตน
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เยี่ยเม่ยเอ่ยกับจงรั่วปิง “พวกเราทำให้องค์หญิงอันหยางชอบคนอื่นได้หรือไม่”
จงรั่วปิงชะงักไปเล็กน้อย คิดอะไรตามขึ้นมาได้ “เจ้าจะบอกว่า…”
เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “สถานการณ์ตอนนี้ต่อให้องค์หญิงอันหยางชอบผู้อื่น ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมโอนอ่อนแน่ พระองค์ยังคงต้องการให้องค์หญิงอันหยางแต่งกับเซี่ยโหวเฉินอยู่ดี แต่ว่า…หากหลังจากนางชอบคนอื่นแล้ว เพื่อหนีสมรสพระราชทานไปมีความสัมพันธ์กับคนที่นางชอบ เช่นนั้น…ต่อให้ฝ่าบาททรงพิโรธ แต่ยังไงก็เป็นลูกสาวในไส้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังต้องตกลงเรื่องงานแต่งขององค์หญิงกับชายในดวงใจ เช่นนั้นฮ่องเต้ก็จะยอมให้เจ้าแต่งกับเซี่ยโหวเฉินเพราะความรู้สึกผิดต่อเขาแล้ว”
จงรั่วปิงสายตาทอประกายวาบ แต่สุดท้ายก็ยังคงมีเมตตา นางถามขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นทำเช่นนี้ได้ไหม หลังจากที่องค์หญิงมีคนในดวงใจแล้ว ให้นางขอให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยเรื่องสมรสพระราชทาน จากนั้นข้ากับเซี่ยโหวเฉินมีความสัมพันธ์กัน เขาก็ต้องรับผิดชื่อเสียงข้า เช่นนั้นองค์หญิงอันหยางก็มิต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว”
ถึงแม้จงรั่วปิงรู้สึกว่ามีความสัมพันธ์กับบุรุษก่อนแต่งงานไม่เหมาะสม แต่ว่าเมื่อใครมีความสัมพันธ์แล้ว นั่นก็หมายถึงว่าคนผู้นั้นจะเสื่อมเสียชื่อเสียง องค์หญิงอันหยางเป็นผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นก็ให้นางทำเองเถอะ
เยี่ยเม่ยกลับส่ายหน้า มองจงรั่วปิงเอ่ยว่า “เรื่องนี้ต้องให้นางทำเท่านั้น นางเป็นองค์หญิง ต่อให้กระทำแล้วฝ่าบาททรงกริ้วก็ไม่มีทางสังหารคน แต่หากเป็นเจ้ากับเซี่ยโหวเฉิน พวกเจ้าสองคนขัดต่อสมรสพระราชทาน พวกเจ้าต้องตายโดยมิต้องสงสัยแน่”
เยี่ยเม่ยเสริมขึ้นอีกว่า “อีกอย่าง เซี่ยโหวเฉินไม่ชอบองค์หญิงอันหยาง แต่งกับนางไปองค์หญิงอันหยางก็ไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต อีกอย่างสมมติว่าองค์หญิงอันหยางพบคนถูกใจ นางก็จะประเมินว่าอยู่กับคนชอบสำคัญกว่า หรือว่าชื่อเสียงตนสำคัญกว่า สิ่งเหล่านี้คือการตัดสินใจของนาง ดังนั้นแทนที่จะบอกว่าทำร้ายนางเพื่อพวกเจ้า ไม่สู้บอกว่าต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์”
อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นฝ่ายยืนกรานพระราชทานสมรสฝ่ายเดียว ต่อให้เซี่ยโหวเฉินแต่งงานกับองค์หญิงอันหยาง ก็ไม่มีทางดีกับนาง ไม่แน่อาจจะพาลแค้นนางเพราะฮ่องเต้พระราชทานสมรสนี้ นั่นถึงเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างใหญ่หลวง
ในมุมมองของเยี่ยเม่ย เมื่อเทียบกับความสุขแล้ว ชื่อเสียงก็คือของนอกกาย
“เจ้าพูดมีเหตุผล” จงรั่วปิงพยักหน้า เห็นด้วยกับวิธีนี้
เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ถามว่า “แต่ว่าเจ้าต้องช่วยองค์หญิงอันหยางหาตัวเลือกที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม นิสัยใจคอล้วนต้องคู่ควรกับองค์หญิง ไม่เช่นนั้นอีกครึ่งชีวิตขององค์หญิงไม่มีความสุข เจ้าก็ยังคงไม่อาจสงบใจได้ดังเดิม อีกทั้ง…พลอยทำให้ข้าไม่อาจสงบใจไปด้วย อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนช่วยเจ้าออกความคิด”
“ข้าเข้าใจแล้ว” จงรั่วปิงพยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะกลับไปถามท่านพ่อ ท่านพ่อต้องมีตัวเลือกที่เหมาะสมแน่ เยี่ยเม่ยเรื่องนี้ขอบคุณเจ้าแล้ว”
จงรั่วปิงกล่าวจบก็ยิ้มจากไป
รอนางจากไปแล้ว ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย “ทำไมเจ้าถึงช่วยนาง เจ้าก็รู้ว่าจงรั่วปิงแต่งกับเซี่ยโหวเฉินบางทีอาจจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา นางรู้เรื่องมากเกินไปแล้ว ถึงข้าเชื่อถือนิสัยใจคอของจงรั่วปิงว่าไม่มีทางขายพวกเรา แต่ถ้าหากนางไม่ทันระวังหลุดปากออกไป เช่นนั้น…”
เยี่ยเม่ยส่ายหน้า ตอบว่า “เป็นสหายกันทั้งนั้นจะไม่ช่วยได้หรือ ส่วนปัญหาที่เจ้ากังวล จงรั่วปิงผู้นี้ เจ้าดีกับนาง นางก็ดีกับเจ้า ข้าช่วยนางออกความคิด หากสุดท้ายนางสมความปรารถนา นางอยู่หน้าเซี่ยโหวเฉินพูดถึงพวกเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีหลุดพิรุธออกไปสักคำ ดังนั้นข้าไม่กังวล เตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาของเซี่ยชูมั่ววันพรุ่งนี้เถอะ”
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า ถามเยี่ยเม่ยอีกว่า “ทำเช่นนี้กับองค์หญิงอันหยาง ดีจริงหรือ”
เยี่ยเม่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบว่า “นี่คือวิธีที่ดีสุด เพราะหากพวกเราไม่ทำเช่นนี้ จากวิธีการลงมือของเซี่ยโหวเฉิน ข้าคิดแต่งงานกับจงรั่วปิง ต้องหาใครก็ตามมาทำลายชื่อเสียงขององค์หญิงอันหยางแน่ สำหรับองค์หญิงแล้วจะยิ่งเลวร้าย ไม่แน่นางอาจจบชีวิตตัวเองก็ได้”
ดังนั้นการทำเช่นนี้ ถึงเป็นการช่วยจงรั่วปิง และปกป้ององค์หญิงอันหยางได้
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”