เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 132 หลังจากข้าเข้าไปค่อยสร้างความลำบากให้เจ้าอีกครั้ง! / ตอนที่ 133 ลงโทษให้คุกเข่าครึ่งชั่วยาม
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 132 หลังจากข้าเข้าไปค่อยสร้างความลำบากให้เจ้าอีกครั้ง! / ตอนที่ 133 ลงโทษให้คุกเข่าครึ่งชั่วยาม
ตอนที่ 132 หลังจากข้าเข้าไปค่อยสร้างความลำบากให้เจ้าอีกครั้ง!
จงรั่วปิงกลับถึงจวน เล่าความคิดของเยี่ยเม่ยให้จงซานฟัง เขาพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยว่า “นางไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
เยี่ยเม่ยถึงกับคิดวิธีการเช่นนี้ออกมาได้ และไม่ผิดจากที่เขารู้จักนางเลยสักน้อย ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ คิดถึงหนทางที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง
“ท่านก็คิดว่าใช้ได้หรือ” เห็นจงซานเอ่ยเช่นนี้ จงรั่วปิงก็วางใจ
จงซานพยักหน้ากล่าวว่า “ข้ามีตัวเลือกที่ไม่เลวจริงๆ ชื่อเย่จื่อหนานเป็นจอหงวนของปีนี้ เชี่ยวชาญบุ๋นบู๊ หน้าตาหล่อเหลา หากถือกำเนิดในตระกูลขุนนางใหญ่ ความสามารถของเขาคงโดดเด่นออกมานานแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงการสอบปีนี้ค่อยปรากฏตัวหรอก เมื่อต้นปีเขาสอบติดตำแหน่งจอหงวน เพราะความสามารถเหนือใคร ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนจากขุนนางขั้นหกเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสี่ ความเร็วในการเลื่อนตำแหน่งเกือบนำพ่อเจ้าไปแล้ว ข้าคิดว่าองค์หญิงน่าจะชอบเขา”
ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงอันหยางนับเป็นองค์หญิงผู้ห่วงใยบ้านเมืองและชาวประชา ส่วนเย่จื่อหนานทำเพื่อชาวบ้านมากมาย ถึงเลื่อนตำแหน่งได้ว่องไวเช่นนี้ คนทั้งสองนับเป็นคู่สร้างคู่สม
จงรั่วปิงรีบพยักหน้าทันที “งั้นพวกเราลองดู หากองค์หญิงชอบจะดีที่สุด หากองค์หญิงไม่ชอบเช่นนั้นคงเป็นชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
นางในฐานะจอมยุทธ์หญิงคนหนึ่ง ถึงได้เกลี้ยกล่อมตัวเองให้ดิ้นรนเพื่องานแต่งงานของตนไม่เหมือนกับสตรีสำรวมสงบเสงี่ยมทั่วไป แต่…ทำได้ถึงจุดนี้ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว หากทำมากกว่านี้ นางทำไม่ลง
ดังนั้นหากเป็นชะตาจริงๆ เช่นนั้นก็คงได้แต่ยอมรับ
จงซานฟังแล้วกลับมองนาง “ปัญหาไม่ใหญ่โตนัก เพียงแต่…เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม เจ้ามั่นใจว่าจะแต่งกับเซี่ยโหวเฉิน ข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียใจภายหลัง”
เขาเชื่อได้ว่าเซี่ยโหวเฉินจริงใจกับจงรั่วปิง แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ยากจะโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่านอกจากความจริงใจแล้ว จะไม่มีความคิดอื่นแอบแฝง
เขายังกังวลว่าจงรั่วปิงถูกหลอกใช้
จงรั่วปิงเงียบอยู่นาน เอ่ยว่า “ในเมื่อเขาทำให้ข้าเชื่อว่าเขาชอบข้าจริงๆ ข้าก็ยินดีมอบความจริงใจให้เขา หากเขารักข้าก็ดีที่สุดแล้ว แต่หากเขารังแกข้า ก็ถือว่าข้ามองคนผิด แต่ข้าไม่มีวันเสียใจเด็ดขาด”
ทุกทางเลือกในชีวิตคนต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ในเมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์เสียใจภายหลัง ต่อให้เสียใจก็ไม่อาจถอยกลับไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องคิดเสียใจด้วยเล่า
ว่าไปแล้ว จงรั่วปิงยิ้มมองจงซาน “ท่านพ่อ ไม่ใช่ท่านสอนข้าหรือไงว่าให้มองไปข้างหน้า”
“อืม เช่นนั้นก็ดี”
จงซานพยักหน้าเบี่ยงสายตามองผู้ติดตามข้างกาย “แอบไปจวนเซี่ยโหว บอกแผนการพวกเราให้เซี่ยโหวเฉินฟัง อย่าให้เขาลงมืออะไรชั่วคราว”
จงรั่วปิงชะงักไป “อย่าให้ลงมือชั่วคราวหรือ ความหมายของท่านพ่อคือ…”
“พวกเราไม่ลงมือ เขาอาจลงมือกับองค์หญิงอันหยาง เขาลงมือขึ้นมาก็ไม่มีทางคิดรอบคอบเช่นเยี่ยเม่ย เขาไม่มีทางคำนึงถึงความสุขชั่วชีวิตขององค์หญิงอันหยาง”
เอ่ยถึงตรงนี้ จงรั่วปิงก็เข้าใจแล้ว พยักหน้าหลายครั้ง “งั้นก็ดี”
……
วันถัดมา
คนจำนวนไม่น้อยไปถึงจวนเซี่ยชูมั่ว ใบหน้าของทุกคนล้วนฉาบด้วยรอยยิ้มจอมปลอม เรียกท่านหญิงๆ ไม่ขาดปาก เห็นคนก็ทำท่าดีใจมาก การมาร่วมงานเลี้ยงที่จวนท่านหญิงถือเป็นเกียรติ แต่ไม่มีสักคนกล้าเข้าใกล้เซี่ยชูมั่ว
ทุกคนต่างรักษาระยะห่างกับนางห้าก้าวขึ้นไป ขอเพียงเซี่ยชูมั่วก้าวเข้ามา พวกนางก็จะถอยทันที ราวกับเซี่ยชูมั่วเป็นสัตว์ร้ายกินคน
เซี่ยชูมั่วโมโหแทบตาย ความจริงอยากบอกว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจมา ก็ไม่ต้องปรากฏตัวหน้าประตูบ้านข้าแล้ว
แต่ใครก็รู้ว่าเยี่ยเม่ยเป็นคนบีบพวกนางมา
เซี่ยชูมั่วทุ่มเทแรงกายแรงใจไม่น้อยทักทายปราศรัยกับคุณหนูทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างกล่าววาจาจอมปลอมใส่กัน มู่หรงเหยาฉือดันมีอายุครรภ์เกินสามเดือนแล้ว หากไม่ระวังอาจถูกสงสัยได้ หากถูกคนจับได้เรื่องราวก็ยิ่งลุกลามแล้ว ดังนั้นเซี่ยชูมั่วที่คาดเดาได้ว่า มู่หรงเหยาฉือไม่มีทางมา จึงไม่ส่งเทียบเชิญนาง นั่นจึงทำให้นางไม่มีคนคุยด้วยจริงๆ สักคน อึดอัดจนแทบคลั่ง
เวลานี้เอง ผู้เฝ้าประตูเข้ามารายงาน “ท่านหญิง พระชายาองค์ชายสี่มาแล้ว”
ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงชมบุปผาเป็นกิจกรรมระหว่างฮูหยินและคุณหนูทั้งหลาย เยี่ยเม่ยย่อมปรากฏตัวด้วยฐานะพระชายาองค์ชายสี่ ไม่ใช่ฐานะท่านอ๋อง
ครั้นได้ยินว่าเยี่ยเม่ยมาถึง เซี่ยชูมั่วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
นางมองคนทั้งหมดทันที “พระชายาองค์ชายสี่มาแล้ว ข้าไปต้อนรับก่อน”
“ท่านหญิงเชิญ” มีคนตอบขึ้นมาประโยคหนึ่ง
เซี่ยชูมั่วพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไป แต่ว่านางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เยี่ยเม่ยก็เหมือนนาง มีภาพชุนกงแพร่ออกไป คุณหนูพวกนี้หลีกห่างนางราวกับอสรพิษร้าย ก็หลีกห่างเยี่ยเม่ยราวกับหนีอสรพิษร้ายเช่นกัน
เมื่อคิดว่าเยี่ยเม่ยก็จะกลายเป็นหนอนเน่าเหมือนตนเอง นางก็อยากหัวเราะออกมา
ดังนั้นนางเร่งฝีเท้าไปถึงหน้าประตู หลังจากเห็นเยี่ยเม่ยแล้ว ก็คำนับ “ผู้น้อยคารวะพระชายาองค์ชายสี่”
“อืม”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่มองนางเดินตรงเข้าไปในจวน
นี่กลับทำให้เซี่ยชูมั่วแปลกใจนัก เดิมนางคิดว่าเยี่ยเม่ยจะสร้างความลำบากให้นางหน้าประตู คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไร
นางตามเยี่ยเม่ยเข้าไปในจวน
จิตใจอึดอัดไม่สงบ ไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยกำลังคิดอะไร หากอีกฝ่ายสร้างความลำบากให้นาง นางก็ไม่กลัวอะไร ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ทำอะไร กลับทำให้นางยิ่งหวาดกลัวขึ้นมา
ขณะที่นางกลัดกลุ้ม เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยว่า “เจ้ากำลังคิดว่า เพราะอะไรข้าถึงไม่สร้างความลำบากให้เจ้าสินะ”
เสียงของนางไม่ดังมาก ทั้งไม่เบาเกินไป ตลอดทางเดินมีแค่เยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ย เซี่ยชูมั่วและเหมี่ยวเจิน ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่ปิดบังอะไร
เซี่ยชูมั่วใจเต้นตึกตัก คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยตรงไปตรงมา โพล่งถามสิ่งที่อยู่ในความคิดของนาง
นางเองก็ไม่กล้าตอบรับ การตอบรับนี้ก็เท่ากับนางยอมรับต่อหน้าว่าตัวเองเป็นคนลงมืออยู่เบื้องหลังทำภาพชุนกงของเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินอี้
การที่นางไม่ตอบก็อยู่ในความคาดเดาของเยี่ยเม่ยก่อนแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยกลับตวาดเซี่ยชูมั่ว “ทำไม พระชายาถามเจ้า ไม่ตอบได้หรือ”
“ตุบ” เซี่ยชูมั่วคุกเข่าลง “ผู้น้อยไม่กล้า”
ราชนิกุลคือเจ้านาย ขุนนางก็คือข้ารับใช้ เยี่ยเม่ยมีฐานะเป็นพระชายาองค์ชายสี่สูงส่งกว่านางไม่รู้เท่าไร นางย่อมไม่กล้าไม่ตอบ
เยี่ยเม่ยมองนาง ถอนใจออกมาคำหนึ่ง ก้มตัวลงมองอีกฝ่ายคล้ายมองว่าเนื้อหมูวันนี้มีคุณภาพหรือไม่ ตบแก้มเซี่ยชูมั่ว เอ่ยด้วยเสียงสบายๆ ว่า “เพราะว่าหน้าประตูมีคนสัญจรไปมา หากข้าทำอะไรเจ้าหน้าประตูผู้อื่นเห็นเข้า จะไม่วิจารณ์ข้าหรือ ดังนั้นข้าตัดสินใจว่าหลังจากเข้ามาแล้วค่อยจัดการเจ้า”
เซี่ยชูมั่ว “…”
เหมี่ยวเจินมุมปากกระตุก ทำไมไม่เคยได้ยินใต้เท้าไป๋หลี่เล่าให้ฟังว่าองค์หญิงซีมีนิสัยเช่นนี้กันนะ
ตอนที่ 133 ลงโทษให้คุกเข่าครึ่งชั่วยาม
เยี่ยเม่ยพูดจบ เซี่ยชูมั่วอดทน เอ่ยปาก “เช่นนั้น…ไม่รู้พระชายาจะสร้างความลำบากให้ผู้น้อยอย่างไร”
อันที่จริงนางไม่คิดว่าเยี่ยเม่ยจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ พูดตรงๆ ว่าจะสร้างความลำบากให้นาง
เยี่ยเม่ยมองนาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าคงไม่คิดว่าตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าว่าอีกเดี๋ยวข้าจะจัดการอย่างไร เพื่อให้เจ้าได้เตรียมใจอย่างนั้นหรอกนะ นั่นไม่เท่ากับว่าเจ้าจะสบายเกินไปแล้ว”
เซี่ยชูมั่ว “…”
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เซี่ยชูมั่วแล้ว แม้กระทั่งซือหม่าหรุ่ยยังอดกระตุกมุมปากไม่ได้ มองเยี่ยเม่ยด้วยความสงสัย จงเจิ้งซีที่นางรู้จักเมื่อสี่ปีที่แล้วไม่ใช่คนแบบนี้
ก็เหมือนอย่างที่เยี่ยเม่ยบอก ช่วงนี้นางยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างพอมาสนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ ดังนั้นทุกคน…รวมถึงตัวนางต่างก็ไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางใช่หรือไม่
สวนดอกไม้
คนทั้งหมดมองจากที่ไกลๆ เห็นเซี่ยชูมั่วคุกเข่าอยู่ เยี่ยเม่ยยืนอยู่ด้านข้าง ทุกคนเริ่มรู้สึกกลัดกลุ้ม
พระชายาองค์ชายสี่สั่งให้พวกเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผานี้ให้จงได้ เป็นการทำให้เซี่ยชูมั่วได้หน้าด้วย ดังนั้นทุกคนต่างเข้าใจไปตามเหตุผลว่า พระชายาองค์ชายสี่และเซี่ยชูมั่วมีความสัมพันธ์ดีมากเป็นพิเศษ แต่สถานการณ์ในยามนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
เยี่ยเม่ยจ้องเซี่ยชูมั่ว “อืม ข้าถามเจ้ากลับไม่ตอบ เจ้าไม่เห็นข้าในสายตาเลยสักน้อย การดูแคลนราชนิกุลมีโทษใหญ่หลวงเช่นไร ข้าคงไม่จำเป็นต้องเตือนเจ้าหรอกกระมัง”
“ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว” เซี่ยชูมั่วรู้ว่าเยี่ยเม่ยจงใจหาเรื่องนาง แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากยอมรับผิดแล้ว
ความคับแค้นใจที่มีต่อเยี่ยเม่ย ยากใช้คำพูดมาบรรยายได้หมด
เยี่ยเม่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ “สำนึกผิดก็ดี กันไม่ให้เจ้าสำนึกผิดแต่ไม่รู้จักแก้ไข เจ้าก็คุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด อืม สักครึ่งชั่วยามก็พอแล้ว”
หลังจากสั่งแล้ว เยี่ยเม่ยก็เดินตรงไปทางสวนดอกไม้
เซี่ยชูมั่วหน้าง้ำงอ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรตัวนางก็เป็นท่านหญิงผู้หนึ่ง ต่อให้เยี่ยเม่ยเป็นพระชายาสูงศักดิ์ก็ไม่อาจลงโทษนางตามอำเภอใจเช่นนี้…
ทว่าในเวลานี้ก็ไม่มีผู้ที่ฐานะสูงกว่าช่วยนาง ฐานะของเยี่ยเม่ยสูงกว่าตน ดังนั้นอีกฝ่ายสั่งให้คุกเข่า นางก็ได้แต่คุกเข่า
หลังจากเยี่ยเม่ยเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ คนที่ต้องคารวะก็คารวะนาง คนทั้งหมดต่างก็กริ่งเกรงนาง
ไม่ว่าด้วยความสามารถของเยี่ยเม่ยหรือว่าชื่อเสียงขององค์ชายสี่ ก็มากเพียงพอทำให้คนได้ฟังแล้วหวาดกลัว ทุกคนมองเซี่ยชูมั่วที่คุกเข่าอยู่กลางทาง ก็ไม่มีใครกล้าช่วยขอร้องให้นาง แต่ว่าเซี่ยชูมั่วเป็นคนจัดงานในวันนี้
ดังนั้นจึงมีคนอดไม่ได้ถามว่า “พระชายาองค์ชายสี่ ท่านหญิงทำผิดอะไรหรือ ท่านถึงลงโทษให้นางคุกเข่า”
“อือ เมื่อครู่ข้าถามคำถาม นางกลับไม่ยอมตอบข้า ดังนั้นข้ากำลังอบรมมารยาทนางอยู่” เยี่ยเม่ยตอบอย่างขอไปที สาวใช้ในจวนไม่กล้าล่วงเกินเยี่ยเม่ยเช่นกัน รีบยกน้ำชาขึ้นมาให้นาง
ทุกคนได้ฟังคำตอบก็พยักหน้า สีหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว คนที่ไม่รู้จักมารยาทถูกสั่งสอนก็เป็นเรื่องสมควร
เยี่ยเม่ยรีบเสริมขึ้นอีกประโยคด้วยความรวดเร็วว่า “แต่ว่านะ อบรมมารยาท เหตุผลนี้….ข้าคิดขึ้นมาส่งเดช กลับกันหลังจากข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการนาง ดังนั้นเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก”
ทุกคน “…?”