เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 140 ลิขิตฟ้า!
เยี่ยเม่ยเอ่ยคำนี้ความจริงก็เพื่อทำลายความสงสัยขององค์หญิงอันหยาง เพื่อกันไม่ให้แม่นางน้อยผู้นี้กังวลถึงผลลัพธ์ที่นางปฏิเสธงานแต่งงานจะเกิดขึ้นอย่างที่ฮ่องเต้ทรงกังวล ทันทีที่เซี่ยโหวเฉินกับจงซานร่วมมือกันก่อกบฏ สำหรับราชสำนักเป่ยเฉินนับเป็นมรสุมครั้งใหญ่ แม่นางน้อยผู้นี้ย่อมไม่อาจรับได้
ไม่ว่าอย่างไร จากที่ได้ยินตามคำบอกของซือหม่าหรุ่ย องค์หญิงอันหยางผู้นี้ทำเพื่อความสุขของราษฎรมาโดยตลอด
องค์หญิงอันหยางไม่ใช่คนโง่ หลังจากฟังความหมายของเยี่ยเม่ยแล้ว เอ่ยปากถามตรงๆ “ความหมายของพี่สะใภ้ก็คือ ไม่ว่างานสมรสนี้จะเป็นอย่างไร ใต้เท้าจงซานก็ไม่มีทางร่วมมือกับเซี่ยโหวเฉิน ใช่หรือไม่”
“ใช่!” เยี่ยเม่ยไม่อาจบอกเหตุผล ได้แต่รับคำอย่างหนักแน่น
องค์หญิงอันหยางถามขึ้นอีก “เช่นนั้น…เซี่ยโหวเฉิน…”
เยี่ยเม่ยยิ้มๆ เอ่ยปากว่า “อีกอย่างข้าก็มั่นใจว่า หากเซี่ยโหวเฉินคิดก่อกบฏจริง ต่อให้เจ้าแต่งงานกับเขา ก็ช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!”
ทันทีที่องค์หญิงอันหยางฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย พลันเข้าใจขึ้นมาได้
ดังนั้นพี่สะใภ้สี่มั่นใจว่า งานแต่งงานนี้ไม่ว่าจัดการเช่นไรก็ไม่มีกระทบต่อราชสำนัก คนที่จะก่อกบฏอย่างไรก็ยังก่อกบฏ ที่ไม่ร่วมมือก็ไม่มีทางร่วมมือ ดังนั้นนางคิดจะฝังความสุขชั่วชีวิตของตัวเอง ทั้งทำให้คู่รักคู่หนึ่งไม่อาจกลายเป็นสามีภรรยากันได้อย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดเช่นนี้ องค์หญิงอันหยางเอ่ยปากว่า “พี่สะใภ้สี่คงเป็นสหายของแม่นางจงใช่หรือไม่”
นางมองออกว่าพี่สะใภ้สี่กำลังช่วยคนอยู่ อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบพี่สะใภ้สี่ ดังนั้นพี่สะใภ้สี่ไม่น่าทำเพื่อตัวเอง
เยี่ยเม่ยเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยต่อว่า “ไม่ผิด พวกเราเป็นสหายกัน! เพียงแต่ข้ารู้สึกว่า หากงานแต่งงานนี้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ดีต่อเซี่ยโหวเฉิน ดีต่อจงรั่วปิง ซ้ำยังดีกับเจ้าด้วย!”
องค์หญิงอันหยางคิดแล้วคิดอีก พยักหน้า “ท่านพูดไม่ผิด หลิวอวี่ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ เอาความสุขชั่วชีวิตของตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวก็คงไม่ดีต่อข้านัก ข้าเป็นถึงองค์หญิงเหตุใดต้องทำให้ตัวเองทรมานด้วย”
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็เอ่ยกับเยี่ยเม่ย “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สี่มีวิธีให้เสด็จพ่อถอนรับสั่งหรือไม่”
เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “วิธีการก็มี แต่เจ้ากล้าฟังหรือเปล่า”
“พี่สะใภ้สี่เชิญเอ่ย!” เป่ยเฉินหลิวอวี่รู้อยู่แก่ใจ เรื่องนี้เกรงว่าคงไม่อาจจัดการได้โดยสันติ หากพี่สะใภ้สี่มีวิธี ดูท่าก็คงเป็นวิธียากลำบาก ดังนั้นนางต้องเตรียมใจให้พร้อม
หลังจากเยี่ยเม่ยเล่าแผนการที่วางไว้จนหมดสิ้น เป่ยเฉินหลิวอวี่ก็อยู่ในอารามตะลึงงัน!
นางปิดปากตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ ถามเยี่ยเม่ยว่า “ท่านบอกว่า…ท่านบอกว่า…ให้ ข้า…”
ใบหน้าเป่ยเฉินหลิวอวี่แดงก่ำ
นางกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ในราชสำนักเป่ยเฉิน ชายหญิงไม่อาจลอบพบหน้ากันก่อนแต่งงาน พี่สะใภ้จะช่วยข้าเลือกสามีที่…ที่เหมาะสมให้กับข้าได้อย่างไร!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “เจ้าลองคิดดู ถ้าหากจงรั่วปิงและเซี่ยโหวเฉินไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แล้วพวกเขาจะมีใจตรงกันได้อย่างไร ข้ากับเสด็จพี่สี่ของเจ้า หากไม่ได้พบหน้ากันมาก่อน ทั้งยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ชายแดนก็คงไม่มีพวกเราในวันนี้ อีกอย่างไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ดังนั้นข้าไม่ฝืนบังคับเจ้า ทั้งยังไม่เกลี้ยกล่อมให้เจ้าทำตามความคิดของข้า ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าเอง!”
เยี่ยเม่ยมีความเห็นเป็นของตัวเองก็จริงอยู่ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม องค์หญิงอันหยางก็เป็นคนยุคโบราณ ถึงแม้ความคิดสมัยโบราณจะล้าสมัยไปบ้าง แต่อย่างไรนางก็ต้องเคารพ
การเคารพความคิดของผู้หญิงถึงเป็นวิธีการแสดงออกถึงสิทธิสตรีอย่างถูกต้อง หาใช่ว่าตัวเองคิดอย่างไร คนอื่นก็ต้องเห็นด้วย อีกทั้งบีบบังคับให้ผู้อื่นมีแนวคิดเช่นเดียวกันตนเพราะคิดว่าเป็นการทำเพื่อผู้อื่น นั่นคือการแสดงออกของผู้หญิงเอาแต่ใจ
ดังนั้นนางเพียงแค่บอกความคิดออกไป แต่ไม่อาจกระตุ้นการตัดสินใจใดๆ ขององค์หญิงอันหยาง
องค์หญิงอันหยางฟังแล้วก็นิ่งไปอยู่พักใหญ่ สุดท้ายยังตัดสินใจไม่ได้
นางเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “คือว่า พี่สะใภ้สี่ เรื่องนี้…เรื่องนี้เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้ข้ากลับไปใคร่ครวญดูให้ดีก่อนสักสองสามวันเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว!”
ความจริงนางหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากแต่งกับคนที่ไม่ได้รักตัวเอง และไม่อยากแทรกกลางระหว่างความรักของผู้อื่น แต่สำหรับนางที่ได้รับการอบรมสั่งสอน อ่านคุณธรรมสอนหญิงและจารีตสตรีมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็ยังชวนให้ขัดเขินอับอายอยู่บ้าง
“ดี!” เรื่องนี้หาได้อยู่เหนือความคาดหมายของเยี่ยเม่ย นางเอ่ยต่อว่า “หลังจากเจ้ากลับไป จะบอกฮองเฮาว่าอยากมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ ก็ได้ อย่างไรเสียก็เป็นจวนของพี่ชาย แวะมาได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หลังจากเจ้าใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว หากว่าเห็นด้วย เช่นนั้นวันที่สิบห้าเดือนนี้เจ้าก็มาเยี่ยมพระชายาองค์ชายสี่ ข้าจะเตรียมการให้พวกเจ้าได้พบหน้ากัน!”
องค์หญิงอันหยางขบริมฝีปาก เอ่ยละล่ำละลักว่า “ได้! หากข้าไม่มา…”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ยิ้มตอบว่า “หากเจ้าไม่มา ข้าจะเข้าใจว่าเจ้าเลือกอะไร ข้าไม่ฝืนบังคับเจ้า ทั้งไม่โทษเจ้าด้วย!”
“ขอบคุณพี่สะใภ้!” องค์หญิงอันหยางตกปากรับคำทันที
เวลานี้เยี่ยเม่ยก็คลายใจได้เปลาะหนึ่ง เล่าเรื่องทั้งหมดให้องค์หญิงอันหยางเข้าใจชัดเจนถึงจะดี กันไม่ให้เมื่อถึงเวลากระทำเรื่องนี้ลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว ทำให้แม่นางน้อยผู้นี้รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางถูกหลอกลวง
หลังจากองค์หญิงอันหยางเงียบไปนาน จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอีกด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่า “เช่นนั้นไม่ทราบว่าคนที่พี่สะใภ้สี่จะแนะนำข้าคือคุณชายท่านไหน”
เรื่องนี้เยี่ยเม่ยยังไม่รู้จริงๆ
นางตอบว่า “เรื่องนี้จงรั่วปิงกับจงซานกำลังหารือกัน คิดว่าคืนนี้คงให้คำตอบข้า!”
“แต่ว่าหลิวอวี่ออกจากวังมานานแล้ว สมควรกลับเสียที!” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายท่านไหนแล้ว
เยี่ยเม่ยยิ้มๆ เอ่ยปากว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงเวลาข้าจะหาวิธีส่งข่าวไปให้เจ้าในวัง แบบนี้ก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ”
องค์หญิงอันหยางรีบพยักหน้า “อืม!”
รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจว่าจะทำเช่นนี้หรือไม่
เมื่อเอ่ยจบ
เยี่ยเม่ยก็กำชับอีกประโยค “อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นการขัดพระประสงค์ของเสด็จพ่อ ดังนั้น…”
เป่ยเฉินหลิวอวี่รีบเอ่ยปาก “พี่สะใภ้สี่วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่บอกกับเสด็จแม่ สักคำเดียวก็จะไม่พูดออกไป!”
นางเองไม่ใช่คนโง่ เรื่องหากให้เสด็จแม่รู้เรื่อง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญว่าจะได้หรือไม่แล้ว ภายหน้าคิดออกจากวังก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ทั้งยังหาเรื่องให้พี่สะใภ้สี่ ใต้เท้าจง จงรั่วปิงอีกด้วย
เยี่ยเม่ยเห็นอีกฝ่ายรับปากทันที นางก็อดทอดถอนใจจากใจจริงไม่ได้ “แม่นางที่ฉลาดเฉลียวเช่นเจ้า ช่างชวนให้คนรักชอบนัก!”
นิสัยของเยี่ยเม่ยเย็นชาแข็งกระด้าง ไม่ชอบแม่นางน้อยอ่อนแอ แต่ว่าหากเป็นอย่างเป่ยเฉินหลิวอวี่ที่เข้าใจผู้อื่น ฉลาดเฉลียว ทั้งยังจิตใจเมตตา คิดถึงและรักชาวบ้านราษฎร ก็ยากนักที่จะไม่ชอบนางได้
นางแอบคิดว่า บางทีที่นางเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วยย่อมถูกแล้ว สำหรับแม่นางอย่างเป่ยเฉินหลิวอวี่ชีวิตภายหน้าสมควรแต่งงานกับบุรุษที่รักถนอมนางจากใจจริง หากแต่งกับเซี่ยโหวเฉินที่มีคนอื่นในใจ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ใช้ได้ที่ไหนกันเล่า
….
ได้ฟังว่าเยี่ยเม่ยชมตัวนาง เป่ยเฉินหลิวอวี่ก้มหน้าลงด้วยความอาย เอ่ยอย่างขัดเขินว่า “พี่สะใภ้สี่ชมเกินไปแล้ว หากพี่สะใภ้ชอบข้าจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นต่อไปข้าจะหมั่นมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ !”
“ดี!” เยี่ยเม่ยเองก็ไม่ปฏิเสธ หยอกเล่นว่า “แต่เจ้าอย่าเลือกวันที่สิบห้าเดือนนี้มาเยี่ยมข้าก็แล้วกัน พอถึงเวลานั้นข้าพบเจ้าแล้วจะพลอยไม่รู้ว่าเจ้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของพวกเรา หรือว่ามาเยี่ยมข้าเฉยๆ เมื่อถึงตอนนั้นเข้าใจผิดพานจะกระอักกระอ่วนกันไปใหญ่!”
เป่ยเฉินหลิวอวี่กลับยิ้มเขินๆ เรียกเชิงโกรธๆ “พี่สะใภ้!”
เยี่ยเม่ยหัวเราะไม่พูดต่ออีก
เมื่อสองคนคุยกันไปได้พอสมควร เป่ยเฉินหลิวอวี่อยู่บนหลังคาเอนกายลงอย่างสบายใจ สัมผัสถึงความรู้สึกบนแผ่นหลังที่แม้แต่ในยามฝันยังไม่อาจรับรู้ได้มาก่อน แล้วค่อยลงไปด้านล่าง นางกลับวังไปพร้อมกับนางกำนัลอย่างไม่เต็มใจ เดินไปหนึ่งก้าวหันกลับมามองถึงสามครั้ง
นางอิจฉาชีวิตของพี่สะใภ้สี่เหลือเกิน อยากทำอะไรก็ทำ คิดนอนบนหลังคาก็กระโดดขึ้นหลังคา แต่ไหนแต่ไรไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะตำหนิเรื่องสตรีควรทำไม่ควรทำ ซ้ำยังเอ่ยปากไล่เสด็จพี่สี่ให้ไสหัวไปได้ด้วย
เทียบกับตัวนางแล้ว เป่ยเฉินหลิวอวี่รู้สึกว่าชีวิตช่างจืดชืดไร้รสชาติ คล้ายกับมีชีวิตเสียเปล่า เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งหวั่นไหวกับข้อเสนอของเยี่ยเม่ยมากขึ้น
ระหว่างนั่งอยู่ในรถม้ากลับวัง
นางกำนัลเห็นท่าทางครุ่นคิดของเป่ยเฉินหลิวอวี่ พลันเอ่ยปากถามว่า “องค์หญิง เมื่อครู่บนหลังคา พระชายาองค์ชายสี่พูดอะไรกับท่านหรือ”
นางเห็นท่าทางประเดี๋ยวตกใจประเดี๋ยวเขินอายขององค์หญิงอันหยาง แต่ว่าเนื้อหาที่คุยกัน นางกลับไม่ได้ยินชัดเจนเลยสักคำหนึ่ง หลังจากกลับไปแล้วจะรายงานฮองเฮาอย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่เลียบเคียงจาก องค์หญิงอันหยางแล้ว
องค์ญิงอันหยางได้ฟังคำถามนี้ก็ตอบออกมาตรงๆ “พี่สะใภ้สี่เล่าเรื่องสนุกๆ ระหว่างนางกับเสด็จพี่สี่ให้ข้าฟัง แล้วยังบอกข้าด้วยว่า นางชอบไล่ให้เสด็จพี่สี่ไสหัวไปอยู่เรื่อยๆ เสด็จพี่สี่รักและเอาใจพี่สะใภ้มาก พี่สะใภ้ยังบอกว่าข้าฉลาดเฉลียว จิตใจเมตตา นางชอบข้ามาก นางคิดว่าต่อไปข้าจะหาสามีที่ข้าชอบ ดีกับข้าเหมือนอย่างที่เสด็จพี่สี่ปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ แถมยังบอกข้าว่าให้มาเที่ยวที่จวนบ่อยๆ ด้วย “
ตอนนี้นางกำนัลพบว่าทุกอย่างก็ถูกต้อง
ลองคิดดู องค์หญิงเล่าว่าพระชายาสี่เล่าเรื่องไล่ให้องค์ชายสี่ไสหัวไป สีหน้าตื่นตระหนกขององค์หญิงก็น่าจะเป็นตอนนั้น ก็พอรับฟังได้
จากนั้นพระชายายังเอ่ยถึงสามีในอนาคตขององค์หญิง เช่นนั้นสีหน้าขวยเขินขององค์หญิงก็พอรับฟังได้เช่นกัน
กอรปกับพระชายาองค์ชายสี่ออกมาส่งองค์หญิงอย่างอารมณ์ดี ซ้ำยังถามองค์หญิงว่าจะให้ไปส่งถึงวังหลวงหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าพระชายาชื่นชอบองค์หญิง บอกให้องค์หญิงมาเที่ยวจวนบ่อยๆ ก็พอรับฟังได้
เช่นนั้นตอนที่พวกนางอยู่บนหลังคาคงไม่ได้คุยเรื่องอื่นอีกแล้ว นางกำนัลคิดได้ดังนี้ก็คลายใจ รู้ว่าหลังจากกลับถึงวังหลวงจะรายงานฮองเฮาอย่างไร
ในเวลานี้เอง
รถม้าพลันกระตุก หยุดลง
นางกำนัลผู้นั้นคิ้วขมวดในทันที แหวกผ้าม่านออก ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
คนขับรถม้ามองไปก็เห็นว่า ล้อรถชนหินก้อนใหญ่ทำให้ล้อเสียแล้ว จึงรีบเอ่ยปากว่า “คุณหนู ท่านลงจากรถม้าก่อนเถิด ล้อรถเกิดปัญหา ข้าน้อยจะเปลี่ยนล้อก่อน”
อย่างไรก็ตามที่นี่คือนอกวังหลวง เพื่อความปลอดภัยของเป่ยเฉินหลิวอวี่ จึงเรียกนางว่าคุณหนู
เป่ยเฉินหลิวอวี่รีบลงจากรถม้า
นางกำนัลกลับตำหนิด้วยความไม่พอใจ “ขับรถยังขับไม่ดีเลย เจ้ามีประโยชน์อันใดบ้าง”
คนขับรถสำนึกผิด
เป่ยเฉินหลิวอวี่ปราม “พอแล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจ อย่าตำหนิเขาเลย”
ครั้นพวกนางลงจากรถม้า คนขับก็รีบเปลี่ยนล้อทันที
ด้วยว่าเป่ยเฉินหลิวอวี่ไม่อยากออกจากวังแบบกระโตกกระตากนัก ดังนั้นจึงไม่ได้นำองครักษ์ออกมา มีแค่นางกำนัลสองสามคนกับคนขับรถม้าเท่านั้น ทำเช่นว่าคุณหนูลูกขุนนางออกมาข้างนอก ดังนั้นเวลานี้จึงมีคนขับรถม้าคนเดียวที่เปลี่ยนล้อรถ
เขาออกแรงลากด้วยความยากลำบาก
ในเวลานี้เองก็มีคุณชายชุดเขียวหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งขี่ม้าผ่านมาพร้อมกับผู้ติดตาม เห็นคนขับรถเปลี่ยนล้ออย่างทุลักทุเลเพียงลำพัง ก็มุ่นคิ้วลงจากม้า เข้ามาช่วยเหลือ
กลับเป็นผู้ติดตามด้านหลังเขาที่ต้องกุมขมับ “ใต้เท้า ทำไมท่านถึง…ในเมืองหลวงมีเรื่องตั้งมากมาย ทุกครั้งที่เจอเรื่องท่านก็ช่วยเหลือ ท่านช่วยได้หมดหรือ”
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาหันกลับมามอง ตำหนิว่า “เลิกพูดเหลวไหล รีบมาช่วยเร็ว”
เป่ยเฉินหลิวอวี่มองคุณชายท่านนั้นด้วยความตะลึง เห็นเขาม้วนแขนเสื้อ คุกเข่าช่วยเหลือ เหงื่อไหลเต็มหน้าแต่กลับไม่บ่นเหนื่อยยากเลย ตั้งอกตั้งใจช่วยเหลือ รูปโฉมของเขาก็น่ามองอย่างมาก ไม่รู้เพราะอะไร นางรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเเรงขึ้นไม่น้อย
โดยเฉพาะองครักษ์ยังบอกว่า คุณชายผู้นี้มักช่วยเหลือคนอยู่เรื่อยๆ ดูแล้วก็เป็นคนใจดี ทั้งยังเรียกว่าใต้เท้า ไม่รู้ว่าเป็นใต้เท้าท่านไหน
ผู้ชายสามคนช่วยกันเปลี่ยนล้อรถ ผ่านไปไม่นานก็เปลี่ยนล้อเสร็จเรียบร้อย
คนขับรถขอบคุณติดๆ กันหลายครั้ง
เป่ยเฉินหลิวอวี่ก็ก้าวเข้าไปกล่าวขอบคุณด้วย ในตอนนี้เองมีเด็กสองคนวิ่งเข้ามา เด็กน้อยที่วิ่งตะบึงอยู่ข้างหน้าพลันฝีเท้าไม่มั่นคงล้มลง มือถลอกเลือดไหล ร้องไห้ออกมา
เป่ยเฉินหลิวอวี่ไม่พูดพร่ำ รีบพยุงเด็กน้อยขึ้นมา ทั้งบอกนางกำนัลด้านหลังว่า “ไปเอายาบนรถม้ามาเร็ว”
ถึงนางกำนัลไม่เห็นด้วยที่นางชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ก็ยังไปหยิบยา
เป่ยเฉินหลิวอวี่ลงมือทำแผลให้เด็กน้อยเอง ส่วนคุณชายที่ช่วยเหลือพวกนางเปลี่ยนล้อรถก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป เห็นเช่นนี้เขามองเป่ยเฉินหลิวอวี่อึ้งๆ นางช่วยทำแผล ซ้ำยังปลอบเด็กๆ ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ใบหน้างดงามของนางยิ่งดูอ่อนโยน รวมถึงรอยยิ้มพิมพ์ใจบนดวงหน้านั้นยิ่งทำให้คนไม่อาจละสายตาไปได้
รอเป่ยเฉินหลิวอวี่ทำแผลเสร็จแล้วเงยหน้ามองคุณชายผู้นั้น สายตานางทอเป็นประกาย หน้าแดงขึ้นทันที
คุณชายผู้นั้นรู้ตัวว่าสายตาของตนเช่นนี้เสียมารยาทแล้ว ก็รีบถอนสายตากลับมาทันที
เป่ยเฉินหลิวอวี่เอ่ยปาก “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ!”
“เรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง เชิญคุณหนู!” เมื่อคุณชายท่านนั้นเอ่ยจบก็ขยับไปด้านข้างเปิดทางให้
เป่ยเฉินหลิวอวี่เป็นแม่นางคนหนึ่งก็ไม่กล้าชวนคุยยืดเยื้อ จึงตรงขึ้นรถม้าไป รถม้าเคลื่อนไปด้านหน้า นางอดใจไม่ไหวเลิกม่านขึ้น หันกลับไปมองเห็นคุณชายท่านนั้นยืนอยู่ที่เดิม มองส่งรถม้าของตัวนางห่างออกไป ยามนี้นางปิดผ้าม่านลงด้วยความอาย
หน้าค่อยๆ แดงเรื่อแล้ว เอ่ยเบาๆ ประโคหนึ่งว่า “ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายบ้านไหนถึงได้มีเมตตาถึงขนาดนี้!”
นางกำนัลตอบอย่างไม่ทันคิดมาก “ก่อนหน้าข้าเคยเห็นเขาในวังไกลๆ เหมือนกับว่าจะเป็นเย่จื่อหนานจอหงวนใหม่ของปีนี้ ใต้เท้าเย่!”