เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 147 ใครคือคนถ่อย / ตอนที่ 148 คุมตัวไว้
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 147 ใครคือคนถ่อย / ตอนที่ 148 คุมตัวไว้
ตอนที่ 147 ใครคือคนถ่อย
เย่ซังอิ๋นเบือนหน้ามององค์ชายรอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “องค์ชายรอง ท่านไม่รู้จักข้าไม่ใช่หรือ อย่างไร ตอนนี้รู้จักข้าแล้วหรือ”
สีหน้าองค์ชายรองหมองลงทันที
เขารีบหันมองผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ทันที เอ่ยว่า “ใส่ร้าย นางผู้นี้ต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งขโมยของดูต่างหน้าของเสด็จแม่มาใส่ร้ายข้าแน่!”
เย่ซังอิ๋นรีบเอ่ยปากว่า “ของในจวนองค์ชายรอง เหตุใดจึงขโมยได้ง่ายดายนัก ข้าเป็นแค่สตรีอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ องค์ชายรองกำลังล้อเล่นอย่างนั้นหรือ”
คราวนี้ผู้พิพากษาค่อยเข้าใจความร้ายแรงของปัญหานี้แล้ว
เขากวาดสายตามององค์ชายรอง “องค์ชายรอง ดูแล้วเรื่องนี้ท่านคงต้องเขียนคำให้การ ให้ผู้น้อยนำถวายกับฝ่าบาทแล้ว! ในเมื่อพบตัวนักร้องหญิงที่ด้านหลังจวนท่าน ตอนนี้ในมือนางมีสิ่งของของท่าน หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ผู้น้อยเชื่อ แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อาจไม่มีใครเชื่อ”
เยี่ยเม่ยเองก็เอ่ยเสียงนิ่งว่า “องค์ชายรอง ถึงเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่ ท่านไม่พอใจก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าอภัยที่ข้าเอ่ยตามตรง ท่านใช้วิธีการเช่นนี้ทำร้ายองค์ชายใหญ่ ถือว่าทำเกินไปแล้ว”
เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางเชื่อคำพูดของนักร้องหญิง
สีหน้าองค์ชายรองเขียวคล้ำในฉับพลัน หันมองเยี่ยเม่ย ตวาดตำหนิ “เยี่ยเม่ย เจ้าเป็นสตรีมีสิทธิ์อะไรเอ่ยคำพูดพวกนี้ในศาล สตรีควรอยู่ฝ่ายใน เรื่องของบุรุษ เจ้ามาแส่ทำไม”
เขาไม่พอใจที่เยี่ยเม่ยเป็นสตรีเข้าร่วมงานราชสำนักนานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ย เมื่อคิดว่าไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย
มาตอนนี้ เยี่ยเม่ยกลับช่วยคนถ่อยนี่เอ่ยวาจาให้ร้ายเขา
เขาจะทนให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาถึงโพล่งความไม่พอใจในตัวเยี่ยเม่ยออกมาในทีเดียว
เมื่อสิ้นเสียง
หน้าประตูก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังเข้ามา ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาด้านใน ท่วงท่าสง่างามดุจแมวเปอร์เซียเผยความสูงศักดิ์ออกมา แต่เมื่อองค์ชายรองได้ยินเสียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับถูกสกัดจุด ร่างกายชะงักแข็งราวกับซากศพ ไม่กล้าขยับเลยสักน้อย
จากนั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินเข้ามา แววตาชั่วร้ายกวาดมององค์ชายรอง เอ่ยเสียงนุ่ม “เสด็จพี่รอง พูดต่อสิ! เหตุใดไม่พูดแล้วเล่า ท่าทางที่เสด็จพี่รองเอ่ยเมื่อครู่ช่างสง่างามยิ่งนัก คล้ายกับเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีมานี้ ที่เยี่ยนเห็นเสด็จพี่รองตำหนิคนอย่างอาจหาญ เหตุใดไม่กล่าวต่อเล่า”
องค์ชายรองกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เขาก็อยากเอ่ยต่อ!
แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือใคร ปีศาจเลื่องชื่อของราชสำนักเป่ยเฉิน เขาจะกล้าพูดหรือ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เรื่องที่แม้แต่เสด็จพ่อยังถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเตะลงจากบัลลังก์แล้ว ตอนนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หากยังตำหนิเยี่ยเม่ยอีก ชีวิตของเขาคงจบเห่แล้ว
เขาหัวเราะเจื่อนๆ เอ่ยว่า “เมื่อครู่ผู้พี่พูดผิดไปแล้ว แต่เมื่อเห็นน้องสะใภ้ไม่เชื่อข้า กลับไปเชื่อคนถ่อยผู้หนึ่งก็อดพูดจาเหลวไหลไม่ได้ ขอให้น้องสี่และน้องสะใภ้อย่าได้ถือสา”
องค์ชายรองเอ่ยตอบเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเสียงนุ่ม ตอบเนิบๆ ว่า “คนถ่อย? คนถ่อยบางคนในโลกนี้ มักไม่รู้ถึงความต่ำช้าของตน กลับเรียกคนที่ไม่กระทำเรื่องต่ำช้าร่วมกับตนว่าคนถ่อย ไม่ทราบว่าคนถ่อยที่เสด็จพี่รองเอ่ยนั่นคือใครกันแน่”
ตอนที่ 148 คุมตัวไว้
สีหน้าองค์ชายรองเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดเซียว เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนลอบด่าเขาเป็นคนถ่อย
ให้เขายอมรับต่อหน้าทุกคนว่าเป็นคนถ่อย เขารู้สึกบังคับขืนใจเหลือเกินจริงๆ
แต่ว่า…
เขาเพิ่งลบหลู่เยี่ยเม่ยไปต่อหน้าสาธารณชน หากไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนถ่อย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
ตัวเขาหาใช่คู่มือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่พักนี้สงบเสงี่ยมลงมา เพื่อปกป้องพระชายาอาจทำเรื่องนอกเหนือกฎเกณฑ์ขึ้นมาอีกก็ได้ อย่างเช่นบีบคอเขาตาย
ดังนั้นเขาจึงสะกดความอดสูยอมรับว่า “ฮี่ฮี่ น้องสี่คิดว่าพี่รองเป็นคนถ่อย พูดก็ถูกแล้ว พี่รองยังจะกล้าต่อปากกับเจ้าอีกหรือ ขอเพียงน้องสะใภ้สี่และน้องสี่ไม่โมโหพี่รองอีก พี่รองยอมรับว่าเป็นคนถ่อยก็ไม่มีอะไรลำบากยากเย็น”
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครไม่รู้จักนิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบ้าง
ดังนั้นในใจทุกคนเข้าใจการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคนขององค์ชายรองเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีความดูแคลนอยู่ในใจบ้าง อย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ชาย ทำเช่นนี้ช่างไร้ศักดิ์ศรี
เยี่ยเม่ยกลับไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ เช่นกัน
นางรู้ว่าตัวนางเป็นขุนนางในราชสำนัก มีคนจำนวนมากที่ไม่พอใจ เช่นนั้นครั้งนี้ก็ใช้องค์ชายรองเป็นตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดู
เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงนิ่งว่า “เสด็จพี่รองดูแคลนสตรี น่าเสียดายที่เรื่องชายแดนเป็นสตรีอย่างข้าที่ใช้เวลาสองสามเดือนทำให้สงบลงมาได้ ในเมื่อเสด็จพี่รองเก่งกาจเช่นนี้ ไม่สู้วันหน้าหากมีศึกสงครามอีก เยี่ยเม่ยจะทูลขอฝ่าบาท ให้ส่งเสด็จพี่รองไปเป็นทัพหน้ารับศึกดีหรือไม่ หากเสด็จพี่รองยอมรับปาก ในการศึกนั้นท่านมีความสามารถเหนือกว่าข้า สามารถเอาชนะศึกกลับมาภายในระยะเวลาเช่นเดียวกับข้า เยี่ยเม่ยก็จะรีบสละตำแหน่งขุนนางจากไปทันที ในทางกลับกัน…เสด็จพี่รองไม่อาจเอาชนะได้ในระยะเวลาที่กำหนดก็ยอมสละยศฐานะบรรดาศักดิ์เกียรติยศในฐานะองค์ชายไปเสีย ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร”
คราวนี้องค์ชายรองพลันสีหน้าถมึงทึง
เขาจะกล้ารับปากเช่นนี้ได้หรือ อย่าว่าแต่ที่แล้วมาเขาไม่เคยเข้าร่วมศึกใหญ่จริงๆ มาก่อน ที่ผ่านมาก็แค่จัดการศึกเล็กๆ อีกทั้งยังมักอยู่ในกระโจมสั่งการเป็นพิธีเล็กน้อย ที่สำคัญก็คือแผนการของบรรดาแม่ทัพทั้งหลายแล้ว
ต่อให้เขามีความสามารถนำทัพจับศึกจริง เกรงว่าแม่ทัพที่มีประสบการณ์ศึกนับร้อยก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมารับปากว่า ตัวเองสามารถสงบการศึกได้ภายในเวลาเพียงสองสามเดือนเท่านั้นหรอกกระมัง
อย่างไรเสียการศึกอย่างตอนนั้น ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้ว มีครั้งไหนบ้างที่ไม่กินเวลาหลายปีถึงสิ้นสุดลงบ้าง อย่างเร็วก็หนึ่งปีครึ่งปี การศึกของเยี่ยเม่ยครั้งนั้นช่างรวดเร็วเป็นอย่างมากจริงๆ!
หลังจากสีหน้าเขาแข็งค้างอยู่นาน ค่อยเอ่ยว่า “ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เหตุใดต้องพนันกันด้วย”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง “เสด็จพี่รอง ข้าเป็นขุนนางในราชสำนักได้ นั่นก็เพราะความสามารถของข้า หากท่านไม่กล้าพนันก็พิสูจน์ว่าท่านไม่อาจเทียบสตรีนางหนึ่งได้ เช่นนั้นต่อไป…ก็อย่าเอ่ยวาจาเหลวไหลประเภทนี้อีก ทำให้ข้าไม่ยินดีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในความคิดข้า ถ้าสตรีทั่วหล้าได้ยินคำพูดของท่านก็ล้วนไม่พอใจกันทั้งนั้น”
คำพูดนี้ตรงกับเสียงคัดค้านในใจของชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่มาชมการไต่สวนอยู่หน้าประตู
โดยเฉพาะเหล่าสตรี
นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง ถึงมีสตรีจำนวนมากไม่เห็นด้วย แต่ก็มีสตรีจำนวนไม่น้อยที่ยึดถือนางเป็นแบบอย่างและเป้าหมายในการต่อสู้ ทุกคนไม่คิดว่าสตรีจำเป็นต้องอาศัยอยู่แต่หลังจวนอีก เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชายรองในเวลานี้ พวกนางล้วนไม่ยินดี
องค์ชายรองหันไปมอง เห็นบรรดาสตรีทั้งหมดจ้องตนเองอย่างดุร้าย มุมปากก็พลันกระตุก ไม่กล้าเอ่ยปากมากความ
ได้แต่ยอมรับว่า “ถือว่าข้าพูดผิดไปแล้ว”
เวลานี้ใต้เท้าทั้งหลายในที่นี้ที่เดิมไม่พอใจที่สตรีอย่างเยี่ยเม่ยมีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าตนพลันไม่กล้าพูดอะไร
ดูเอาเถิด ขนาดองค์ชายรองยังต้องยอมสยบ เห็นสีหน้าสตรีชาวบ้านด้านนอกทั้งหลาย ภายหน้าหากหยิบยกเรื่องฐานะเยี่ยเม่ยขึ้นมา เกรงว่าจะปลุกความเดือดดาลของชาวบ้านแล้ว ไม่แน่จะกลายเป็นศัตรูของสตรีทั่วหล้า ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครยังกินอิ่มนอนหลับว่างงาน หาเรื่องใส่ตัวเองกันเล่า
เห็นองค์ชายรองยอมรับอย่างขี้ขลาด เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ไม่มองเขาอีก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นภรรยาคลายโทสะ ก็คร้านจะถือสาเอาความองค์ชายรองอีก หาที่นั่งนั่งลงด้านข้าง เอ่ยว่า “เยี่ยนได้ยินว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสด็จพี่ทั้งสองจึงมาร่วมฟังการไต่สวนด้วย ท่านผู้พิพากษาศาลต้าหลี่มีความเห็นอะไรหรือไม่”
“ไม่มี!” ผู้พิพากษาได้ยินปีศาจตนนี้เรียกตัวเองก็รีบตอบกลับไปด้วยไหวพริบอย่างว่องไว
เรื่องที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตัดสินใจแล้ว ใครกล้ามีความเห็นอื่น เบื่อชีวิตกันแล้วหรือ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าด้วยความพอใจ
จากนั้นการไต่สวนก็ดำเนินต่อ
ผู้พิพากษามองเย่ซังอิ๋นถาม “ในเมื่อการใส่ร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษประหาร เจ้ายังคงยืนยันคำให้การเดิมหรือไม่”
เย่ซังอิ๋นเอ่ยปาก “ใต้เท้า คำพูดของข้าน้อยเป็นจริงทุกคำ”
คราวนี้องค์ชายรองร้อนรนแล้ว เขาขบฟันแน่น คิดพูดความจริงออกไปหลายครั้ง แต่ก็รู้ว่าความจริงนี้ไม่อาจพูดออกไปเด็ดขาด
เพียงแต่กล่าวว่า “ใส่ร้าย นี่มันเป็นการใส่ร้ายข้าชัดๆ!”
ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่เอ่ย “ในเมื่อเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันอย่างใหญ่หลวง ข้าได้แต่ขอให้ใต้เท้าทุกท่านร่วมกันทูลขอความเห็นให้ฝ่าบาททรงตัดสิน แต่ว่าองค์ชายรอง โปรดอภัยที่ข้าต้องล่วงเกิน ตอนนี้ได้แต่คุมตัวท่านเอาไว้ชั่วคราวก่อนแล้ว!”