เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 157 ตำแหน่งลอยๆ กินเงินเบี้ยหวัดเปล่า
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 157 ตำแหน่งลอยๆ กินเงินเบี้ยหวัดเปล่า
ในเมื่อทุกคนต่างมีความเห็นตรงกัน ฮ่องเต้ก็ทรงไม่ยืนหยัดความคิดฝ่ายเดียว พระองค์ต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ อีกอย่างระยะนี้หลังจากที่พระองค์สังเกตแล้ว เยี่ยเม่ยก็นับว่าจงรักภักดีต่อพระองค์จริงๆ ต่อให้เป่ยเฉินเสียงออกจากกองทหารองครักษ์ คงไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่โต
เมื่อฮ่องเต้รับสั่ง คนทั้งหมดก็กล่าว “ฝ่าบาททรงปรีชา”
กลุ่มคนที่ไม่รู้ความจริงย่อมกล่าวว่าฝ่าบาททรงปรีชา ส่วนคนที่ไม่อยากล่วงเกินเยี่ยเม่ยก็เอ่ยเช่นเดียวกัน ส่วนซือถูจ้าวเพียงผู้เดียวกลับเป็นคนที่ไม่เชื่อเยี่ยเม่ย อีกอย่างเขาคิดว่าเรื่องนี้มีปัญหา
ซือถูจ้าวอดไม่ไหวกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่สมควรตัดสินใจเช่นนี้ อีกอย่างองค์ชายใหญ่ในค่ายทหาร ต่อให้ไม่อาจได้ใจจากทหารอีก แต่ก็เป็นแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น เมื่อผ่านไปสักพักทุกอย่างก็จะดีเอง”
คราวนี้แม่ทัพฉินกลับหันไปแย้ง “ท่านเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว การที่องค์ชายใหญ่อยู่ในค่ายทหารก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าเรื่องนี้อย่าว่าแต่ผ่านไปสักพักเดียว ผ่านไปอีกพักใหญ่ก็ไม่ดีขึ้น ข้ายังคิดว่าฝ่าบาททรงทำตามพระประสงค์เดิม ให้องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหารองครักษ์เถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างที่ท่านเสนาบดีคิดเช่นนี้ หรือเป็นเพราะไม่เชื่อความสามารถของเหอซั่วอ๋องกัน”
แม่ทัพฉินไม่ใช่คนของเยี่ยเม่ย เขาก็แค่มีนิสัยเถรตรง อีกทั้งมีการคบหากับแม่ทัพหวังที่ถูกองค์ชายใหญ่พลั้งมือสังหาร ดังนั้นความรังเกียจที่มีต่อเป่ยเฉินเสียงมากเกินกว่าจะใช้คำพูดมาบรรยายได้ ยามนี้เขาก้าวออกมาย่อมไม่มีความเกรงใจเลยสักครึ่งเดียว
อีกอย่างตัวเขาเห็นแล้วจริงๆ เพราะเรื่องนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในค่ายทหาร ดังนั้นไม่ว่าเพราะส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาไม่มีทางยินยอมเห็นเงาของเป่ยเฉินเสียงอยู่ในค่ายทหารองครักษ์อีกแล้ว
ในยามนี้จึงจงใจลากเยี่ยเม่ยลงปลักน้ำด้วย ความจริงทำเพื่อให้เยี่ยเม่ยคอยเป็นเป้า หากเสนาบดียังคงยืนกรานไม่ให้องค์ชายใหญ่ออกจากค่ายทหาร นั่นก็เท่ากับว่าสงสัยในความสามารถของเยี่ยเม่ย แต่ว่าอย่างไรเสียแม่ทัพฉินก็เป็นคนเถรตรง ดังนั้นตอนที่เขาลากเยี่ยเม่ยลงน้ำ ในใจพลอยรู้สึกผิดต่อนาง มองนางด้วยสายตาขอโทษ
เยี่ยเม่ยจึงถูกแม่ทัพฉินลากออกมาเป็นโล่กันธนูเช่นนี้ อีกทั้งยังได้รับสายตาอัดแน่นไปด้วยความขอโทษของแม่ทัพฉินอีกด้วย ยามนี้นางรู้สึกน่าขันนัก อันที่จริงแล้วนางต่างหากที่เป็นคนลากแม่ทัพฉินลงมาด้วย แต่แม่ทัพฉินกลับหลงคิดว่าตัวเองพลอยทำให้นางลำบากไปด้วย
นางเองจึงไม่พูดมากอีก
ซือถูจ้าวกลับชะงักกึกเพราะคำพูดประโยคนี้ของแม่ทัพฉิน เขากระแอมไอ เอ่ยปากว่า “กระหม่อมไม่กล้าไม่เชื่อความสามารถของเหอซั่วอ๋อง เพียงแต่ในเรื่องนี้องค์ชายใหญ่เกิดเรื่อง สุดท้ายคนที่ได้รับผลประโยชน์กลับเป็นเหอซั่วอ๋อง กระหม่อมไม่อาจไม่คิดมากได้ ไม่อาจไม่สงสัยว่าเรื่องนี้เหอซั่วอ๋องเป็นคนเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง”
เขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยกลับหัวเราะออกมา แย้งเสียงนิ่ง “ท่านเสนาบดี ท่านช่างมีจินตนาการกว้างไกลเสียเหลือเกิน ข้ารู้สึกชื่นชมท่านนัก เพียงแต่คำพูดในท้องพระโรงต้องมีหลักฐาน อาศัยเพียงจินตนาการเกรงว่าจะใช้ไม่ได้ ท่านป้ายสีข้าผู้เป็นอ๋องเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้เสด็จพ่อคืนความยุติธรรมให้กับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ซือถูจ้าวก็แค่เอ่ยความในใจออกไป ความจริงเขาสงสัยมาตลอดว่าเป้าหมายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่ว่าเขาพยายามแสดงออกมาตั้งนานแล้วไม่มีใครยอมเชื่อเขาแม้แต่คนเดียว
ในเวลานี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป แสดงความเห็นออกมาอีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่ากลับถูกเยี่ยเม่ยจับจุดว่าเขาไร้หลักฐาน แต่ว่า…ต่อให้ไร้หลักฐาน ต่อให้เยี่ยเม่ยบอกว่าเขาปรักปรำนาง แต่อย่างน้อยคำพูดของตนในวันนี้คงจะฝังเป็นต้นกล้าแห่งความระแวงสงสัยไว้ในพระทัยของฝ่าบาท คงไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวใช่หรือไม่
เมื่อคิดเช่นนี้ซือถูจ้าวยืดตัวตรง ไม่รู้สึกเสียใจกับคำพูดของตนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ต่อให้ฝ่าบาทลงโทษว่าเขาใส่ร้ายขุนนาง เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่า
ที่คิดไม่ถึงก็คือ
ฮ่องเต้ทรงสดับฟังคำพูดของเยี่ยเม่ยกลับมุ่นพระขนง ทอดพระเนตรซือถูจ้าว ทรงตำหนิว่า “ท่านเสนาบดี ข้ารู้ว่าท่านรักองค์ชายใหญ่ที่เป็นหลานชายผู้นี้มาก แต่ว่าท่านก็ไม่อาจกล่าววาจาเหลวไหล ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ที่องค์ชายใหญ่ถูกองค์ชายรองให้ร้าย เยี่ยเม่ยเป็นคนสืบออกมาได้ หากนางคิดให้ร้ายเป่ยเฉินเสียงจริง ไฉนต้องหาตัวนักร้องหญิงคนนั้นออกมาด้วย หากนางลอบฆ่านักร้องหญิงไปเสีย ความผิดของเป่ยเฉินเสียงยังจะลบล้างได้อีกหรือ”
คำพูดของฮ่องเต้สมเหตุสมผลยิ่ง
เพียงแต่…ในเมื่อเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับนักร้องหญิงนางนั้น ย่อมไม่อาจคืนคำพูด อีกอย่างสิ่งที่นางต้องการคืออำนาจเบ็ดเสร็จในค่ายทหารองครักษ์ รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ด้วย ส่วนการทำให้เป่ยเฉินเสียงมีโทษฆ่าคนหาได้ส่งผลดีกับนางทั้งนั้น
หากเป่ยเฉินเสียงถูกตัดสินโทษ ไม่แน่ว่าภายใต้คำพูดไม่กี่คำของซือถูจ้าว อาจทำนางปลุกความระแวงของฮ่องเต้ขึ้นมาได้ ดังนั้นนักร้องหญิงจำเป็นต้องออกมา
ซือถูจ้าวฟังคำของฮ่องเต้พลันสะอึกไป
ความจริงแล้ว เขารู้อยู่แก่ใจ เรื่องนี้ไม่ว่ามองอย่างไร เขาจะสงสัยเช่นไร แต่เมื่อมองจากเปลือกนอกอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว เยี่ยเม่ยไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น
เพียงแต่เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดของเขา ไม่เกิดความระแวงสงสัยเลยสักน้อย จุดนี้ยังทำให้ซือถูจ้าวได้รับการโจมตีอย่างร้ายกาจอีกด้วย
ฮ่องเต้ยังตรัสว่า “เสนาบดี ท่านเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่ง ไม่มีหลักฐาน กลับให้ร้ายเหอซั่วอ๋องในท้องพระโรง ท่านรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด”
เมื่อเสนาบดีฟังแล้วพลันรู้สึกว่าหัวใจรัดเกร็ง
เป้าหมายที่เขาคิดจะเตือนฮ่องเต้ไม่เพียงไม่สำเร็จ แต่ว่าตัวเขาเตรียมตัวถูกลงโทษอยู่แต่แรก
ชั่วขณะนั้น เขาเกิดความคิดอยากลาเกษียณกลับบ้านเกิด
เขารู้สึกว่าในท้องพระโรงแห่งนี้ ในบรรดาคนที่เขาจงรักภักดีไม่มีใครสักคนที่มีสมองเลย เขาเหนื่อยใจมาก เสนาบดีจ้าวคุกเข่าลงเอ่ยในทันที “กระหม่อมยอมให้ฝ่าบาทลงโทษ”
ฮ่องเต้ทรงนิ่งไปสักพัก คิดถึงการกระทำในระยะนี้ของซือถูจ้าว นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับราชสำนักมา ซือถูจ้าวก็ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับพวกเขาสองคน
ไม่คล้ายกับสิ่งที่เสนาบดีควรกระทำเลยสักนิดเดียว ไม่ช่วยพระองค์แบ่งเบาภาระ และไม่วางแผนเพื่อชาวประชา คล้ายกับว่าเพ่งสายตาและความสนใจทั้งหมดไปที่การเป็นปรปักษ์กับเยี่ยเม่ย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทรงเลิกพระขนง ตรัส “ท่านเสนาบดี ท่านเป็นเช่นนี้ ข้าเริ่มคิดว่าท่านคู่ควรกับตำแหน่งเสนาบดีหรือไม่แล้ว”
หากทุกครั้งเอาแต่ความปรารถนาของตน ความโกรธแค้นส่วนตัว ไม่เป็นห่วงบ้านเมือง ครองตำแหน่งลอยๆ กินเงินเบี้ยหวัดสูญเปล่า ฮ่องเต้จะทนได้อย่างไร
คราวนี้จงซานยังทนไม่ไหว เลิกคิ้วมองซือถูจ้าวด้วยความเห็นใจ
ซือถูจ้าวเลือกภักดีต่อฮ่องเต้ เกรงว่าเวลานี้ในใจคงเหมือนถูกมีดทิ่มแทงกระมัง
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อซือถูจ้าวฟังแล้ว หัวใจหม่นหมองสิ้นหวัง “ฝ่าบาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอให้พระองค์อนุญาตให้กระหม่อมเกษียณกลับบ้านเกิดด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”