เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 159 หยิบยื่นน้ำใจ
ซือถูจ้าว “…”
ไม่ต้องพยุงเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เขาตายไปเลยก็ได้ เขาเหนื่อยใจเหลือเกิน
ซือถูจ้าวเข้าใจแล้วเช่นกันว่าฮ่องเต้ช่างพระทัยดำจึงผละออกจากฮ่องเต้ ยิ้มจอมปลอมพลางกล่าวว่า “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงห่วงใย ในเมื่อเป็นเช่นนี้กระหม่อมขอทูลลาก่อน”
เขาคิดว่าฮ่องเต้สมควรฟังความไม่พอใจในประโยคของเขาออก
แต่สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะตรัสว่า “อย่างไรก็ให้หมอหลวงตรวจดูอาการก่อนเถอะ ทำเช่นนี้ข้าถึงจะวางใจได้”
ฮ่องเต้ยังคงไม่ตระหนักถึงความไม่พอใจของเขา
ทว่าเป็นซือถูจ้าวเองที่ตอนนี้พลันตระหนักได้แล้ว ฮ่องเต้หาได้ไม่ตระหนักถึงความไม่พอใจของเขา เพียงแต่…เขาไม่มีทางปลุกคนที่กำลังแสร้งหลับอยู่ขึ้นมาได้ พระองค์เข้าใจเขาดี เพียงแต่ไม่อยากตอบรับคำพูดเขา ทั้งพระองค์ไม่จะคิดเข้าใจด้วย
ซือถูจ้าวปฏิเสธ “ฝ่าบาทมิต้องกังวลใจ กระหม่อมทูลลาแล้ว”
ครั้นฮ่องเต้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่รับน้ำพระทัยจากพระองค์เลยสักนิด ชั่วพริบตาก็เกิดโทสะ คร้านจะสนใจซือถูจ้าวอีก พระองค์ไม่ตรัสมากความอีก คลายมือออกปล่อยให้ซือถูจ้าวเดินจากไป
เรื่องนี้บอกกับเหล่าขุนนางทั้งหลายในที่นี้ว่า ภายหน้าทางที่ดีพูดให้ตรงกับใจ อย่าเลียนแบบซือถูจ้าว ใช้วิธีถอยเพื่อรุก ผลสุดท้ายแผนการไม่สำเร็จยังพอว่า ซ้ำยังถูกฝ่าบาทฉวยโอกาสปลดเขาอีกด้วย
ซือถูจ้าวตบเท้าจากไป
ในท้องพระโรงก็เริ่มประชุมต่อ
หลังจากฮ่องเต้แต่งตั้งจงซานเป็นเสนาบดีแล้วก็ตรัสขึ้นต่ออย่างรวดเร็วว่า “ไม่รู้ว่ามีขุนนางท่านไหนจะเสนอชื่อใครมาแทนตำแหน่งใต้เท้าจงบ้าง”
คราวนี้ทุกคนต่างก็เกิดความปรารถนาในตำแหน่ง
กลับเป็นจงซานเสนอออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสนอคนผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยเม่ยใจเต้นตึกตัก ดูท่าคงเป็นเย่จื่อหนาน
ฮ่องเต้ตรัส “เจ้าว่ามาเถิด”
เป็นดังคาด จงซานกล่าวว่า “กระหม่อมขอเสนอใต้เท้าเย่จื่อหนาน”
คราวนี้อย่าว่าแต่คนฝั่งจงซานเลย คนทั้งหลายต่างตระหนกตกใจ แม้กระทั่งตัวเย่จื่อหนานยังพานตกตะลึงไปด้วย
เสียงในใจของคนฝั่งจงซานทั้งหมด ‘ใต้เท้าเล่นอะไรกันแน่ มีเรื่องดีไม่คิดถึงพวกเรา กลับวิ่งไปสนับสนุนเย่จื่อหนาน ใต้เท้าท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เย่จื่อหนานไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับพวกเราเลยสักหน่อย’
เย่จื่อหนานเป็นคนไม่เลือกฝั่ง เหตุใดจงซานต้องสนับสนุนเขาด้วย
ฮ่องเต้เองก็ทรงอึ้งไปเช่นกัน ถึงระยะนี้พระองค์ให้ความสนใจกับเย่จื่อหนานมาก ทั้งคิดจะสนับสนุนเขา ทว่าเหตุใดพระองค์จะไม่รู้ คนเรามักหาเหตุผลมาสนับสนุนผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น
ต่อให้จงซานจงรักภักดีต่อพระองค์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเลยสักน้อย
เย่จื่อหนานก็ตะลึงตะลานเช่นกัน
นับตั้งแต่เข้ารับราชการในราชสำนัก เขาไม่เคยพึ่งใบบุญจงซานมาก่อน ทั้งจงซานก็ไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาไปเข้าพวกด้วย เหตุใดในเวลานี้กลับออกหน้าให้เขาเป็นการใหญ่ในท้องพระโรง
เขาตกตะลึงและงุนงงในขณะเดียวกัน
ฮ่องเต้ทรงนิ่งไปชั่วครู่ใหญ่ ทอดพระเนตรมองเย่จื่อหนาน ตรัสว่า “ถึงข้าจะพอใจขุนนางเย่เป็นอย่างมาก ไม่ว่ากระทำเรื่องใดก็สำเร็จเสร็จสิ้น แต่ว่ายังอ่อนประสบการณ์ไปบ้าง ตอนนั้นใต้เท้าจงใช้เวลาสี่ปีเพื่อรับตำแหน่งต้าซือคง ข้าคิดว่าควรให้เวลาขุนนางเย่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักระยะ”
ประโยคนี้ของฮ่องเต้หาได้อยู่เหนือการคาดการณ์ของเยี่ยเม่ย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จู่ๆ เย่จื่อหนานขยับตำแหน่งข้ามมาหลายขั้น ก็ไม่มีเหตุผลมากพอ ไม่อาจทำให้ทุกคนยอมรับ ดังนั้นฮ่องเต้ไม่มีทางเห็นด้วย
เวลานี้ขุนนางคนอื่นๆ ค่อยวางใจได้ ซ้ำยังเริ่มมีความปรารถนาหวังว่าตัวเองจะมีโอกาส
ส่วนจงซานไม่เอ่ยอะไรอีก
ถัดมาฮ่องเต้รับสั่งให้เจ้ากรมการคลังขึ้นรับตำแหน่งต้าซือคง เหล่าขุนนางที่อกสั่นขวัญแขวนเพราะการจากไปของซือถูจ้าวได้ฟัง ในที่สุดก็สงบใจลงได้ เพราะว่าเจ้ากรมการคลังเดิมทีเป็นคนฝั่งเสนาบดี นั่นก็หมายความว่าฝั่งตนคงไม่พังครืนลงไม่เป็นท่าแล้ว
เพื่อเป็นการปลอบใจเย่จื่อหนาน ฮ่องเต้จึงพระราชทานตำแหน่งต้าเสวียซื่อให้กับเขา
ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเย่จื่อหนานก็ยังได้เลื่อนขั้นกลายเป็นขุนนางระดับสองครึ่งขั้น
จากนั้นก็เป็นอันเลิกประชุมเช้า
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร น้ำใจนี้ของจงซาน เย่จื่อหนานก็รับไว้ไม่ไหว ดังนั้นหลังจากออกจากประตูวังแล้ว เย่จื่อหนานก็เร่งฝีเท้าตามจงซานไป เอ่ยปากว่า “วันนี้ขอบคุณใต้เท้าจงที่สนับสนุน”
จงซานยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเย่และข้าต่างก็ทำเพื่อราชสำนักเช่นกัน ใต้เท้าเย่มีความสามารถ ข้าก็แค่ประทับดอกไม้ลงผ้าทอ ใต้เท้าเย่ไยต้องเก็บมาใส่ใจ”
เย่จื่อหนานกลับแย้งว่า “ใต้เท้าจงมิต้องเอ่ยเช่นนี้ บุญคุณของท่าน เย่จื่อหนานจะจดจำเอาไว้”
ถึงแม้เขาเป็นคนไร้พรรคไร้พวก แต่เพราะเขาไม่เลือกเข้าข้างใคร รวมถึงเขามิได้ทำเพื่อฮ่องเต้ทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงยากได้โอกาสเลื่อนขั้น
เขาร่ำเรียนหนังสือมานาน เข้ารับราชการเป็นขุนนาง แต่ไรมามิได้ทำเพื่อตอบแทนราชสำนัก ทั้งมิได้ทำเพื่อความภักดีต่อฮ่องเต้ เพียงแต่ทำเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร นั่นก็เพราะเขารู้อยู่ในใจว่า ฮ่องเต้พระองค์นี้หาใช่ฮ่องเต้คู่ควรแก่การจงรักภักดีด้วย
ถึงเรื่องที่ราชสำนักจงเจิ้งถูกล้างด้วยเลือดในปีนั้นจะไม่เกี่ยวพันกับเย่จื่อหนาน แต่ในฐานะคนนอกอย่างเขายังแตกตื่นตกใจ เห็นความใจดีและเย็นชาของฮ่องเต้ คนเช่นนี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะเห็นใจประชาชนได้เท่าไรเชียว
แต่ราชสำนักในยามนี้มีเสินเซ่อเทียนและเป่ยเฉินอี้ ราชสำนักเป่ยเฉินจึงยากแก่การถูกโค่นล้ม ดังนั้นเขาได้แต่เข้ามาในปลักน้ำโคลนนี้ ทุ่มเทแรงกายทำอะไรเพื่อชาวบ้านบ้าง
เวลานี้ได้เลื่อนตำแหน่งราชการ เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นไม่ว่าเพื่ออนาคตของตัวเอง หรือเพื่อปณิธานอันแรงกล้า วันนี้ก็นับว่าจงซานได้ช่วยเขาครั้งหนึ่งแล้ว
ครั้นจงซานได้ฟังก็ยิ้มออกมาทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าอยากเป็นสหายกับท่าน ใต้เท้าเย่คิดว่าอย่างไร”
ทันทีที่เย่จื่อหนานได้ฟัง สีหน้าพลันเจือความระแวงขึ้นมาหลายส่วน
ไม่อย่างไรเขาก็รู้ชัดแจ้งว่าจงซานจงรักภักดีกับฮ่องเต้ เขาช่วยสนับสนุนองค์ชายใหญ่เพราะได้รับคำสั่งของฮ่องเต้ ส่วนเย่จื่อหนานไม่เพียงไม่เห็นความดีของฮ่องเต้ ทั้งไม่เห็นความดีขององค์ชายใหญ่ ในสายตาเขาฮ่องเต้ทำอะไรเกินเหตุ ทั้งไม่มีความจริงใจ อีกทั้งใจคอคับแคบสุดจะบรรยาย
ดังนั้นการเป็นสหายกับจงซาน จะหมายความว่าร่วมมือกับจงซานช่วยเหลือฮ่องเต้หรือเปล่านะ
พูดตามจริงแล้ว เย่จื่อหนานไม่ยินยอม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเล จงซานก็ยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้าจงไม่ต้องคิดมาก ข้าบอกว่าเป็นสหายก็คือคบหาเป็นสหายเป็นการส่วนตัว หาได้ต้องการให้ใต้เท้าเย่เปลี่ยนจุดยืน วันที่สิบห้าเดือนนี้ ข้าคิดจัดงานเลี้ยง ไม่ทราบว่าใต้เท้าเย่จะให้เกียรติมาร่วมชื่นชมแลกเปลี่ยนบทกวีกันหรือไม่”
หากเขาไปร่วมงานเลี้ยง เกรงว่าจะถูกสงสัยว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับจงซาน ทำให้คนนอกเข้าใจผิด แต่ว่า…
จงซานช่วยตนเช่นนี้ เขาไม่ร่วมงานเลี้ยง การคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของเขา
ดังนั้นเย่จื่อหนานจึงตกลง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมไปร่วมแน่”