เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 162 ใครเป็นคนก่อเรื่องอยู่เบื้องหลัง / ตอนที่ 163 คนเราน่ะ ควรมีเมตตา
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]
- ตอนที่ 162 ใครเป็นคนก่อเรื่องอยู่เบื้องหลัง / ตอนที่ 163 คนเราน่ะ ควรมีเมตตา
ตอนที่ 162 ใครเป็นคนก่อเรื่องอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นต่อให้คิดสังหารเสินเซ่อเทียน ทุ่มเทกำลังครั้งเดียวเพื่อวันข้างหน้า เยี่ยเม่ยในตอนนี้ก็ได้แต่ข่มใจไว้
นางหันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง “เรื่องที่ข้าให้ท่านไปสืบ ท่านเตรียมจะสืบให้ข้าเมื่อไร”
นับว่านางเข้าใจแล้ว หวังให้เจ้าคนนี้คิดได้ด้วยตัวเอง เกรงว่าจะยากเย็นมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้นางถามตรงๆ มีบางคนไร้สมองก็ทำอะไรไม่ได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว สีหน้าแทบแข็งค้างไปเขาหลงคิดว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ เวลาผ่านไปนานเข้า บางทีนางอาจยุ่งจนลืมก็ได้ คิดไม่ถึงว่านางไม่ลืมเลยสักนิด อย่างนั้นเมื่อคิดเช่นนี้ ระยะนี้ที่นางไม่สนใจเขา บางทีไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาพูดจาหักหน้านางวันนั้นแล้ว
เพราะเรื่องนั้นทำให้นางคิดว่า เขาไม่เอาใจใส่เรื่องของนางมากพอ
หลังจากเขานิ่งไปสักครู่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มน่ามอง เอ่ยเสียงนุ่มว่า “แน่นอนว่าเป็นวันนี้ เยี่ยนไปตำหนักเขาหลิงซานอย่างไร้เหตุไร้ผล ไปสืบเรื่องนี้กับเสินเซ่อเทียน อาจทำให้เขาระแวงสงสัยได้ วันนี้เขาลงจากเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่พอดี เยี่ยนฉวยโอกาสสืบกับเขา ไม่ใช่ความคิดที่ดียิ่งหรอกหรือ”
เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบเช่นนี้ เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความสงสัย “ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ”
“แน่นอน” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “หากเยี่ยนมิได้คิดเช่นนี้ จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะชิงมาก่อนเยี่ยนก้าวหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับไปเถอะอีกเดี๋ยว เยี่ยนคุยกับเขาเองก็พอแล้ว หากเขาพบว่าเจ้าอยู่ คำพูดบางอย่างอาจไม่กล่าวออกมาง่ายๆ ”
ทันทีที่เยี่ยเม่ยได้ฟัง พยักหน้าตอบ “เช่นนั้นก็ดี ทางที่ดีที่สุดคืนนี้ท่านให้คำตอบกับข้า”
นางอยู่ที่นี่ ยากที่เสินเซ่อเทียนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะเล่าสิ่งที่รู้ออกมา ดังนั้นนางจึงก้าวเท้าจากไปโดยไม่ลังเล
นางกลับไม่รู้ว่า
ชั่ววินาทีที่นางหมุนตัวจากไป ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แต่เดิมของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคร่งขรึมลง กระทั่งเผยความซีดเซียวออกมาหลายส่วนด้วยซ้ำ
เขาหงายมือออกก็พบว่าระหว่างบทสนทนาเมื่อครู่ กลางฝ่ามือของเขาถึงกับมีเหงื่อซึมออกมา
……
คุกหลวง
เสินเซ่อเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูห้องคุมขังองค์ชายรอง ฟังองค์ชายรองเล่าเรื่องที่เกี่ยวพันกับปิ่นปักผมอันนั้น
หลังจากองค์ชายรองเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก็ถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลย บาปกรรมที่ก่อไว้ในตอนนั้น สุดท้ายจะย้อนคืนกลับมาด้วยวิธีการเช่นนี้ กรรมอย่างไรก็ตามสนอง ถึงข้ารู้สึกอยุติธรรมนัก แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า นังคนชั้นต่ำนี่จะใช้วิธีนี้ทำร้ายข้า”
เมื่อพูดถึงเย่ซังอิ๋น วันที่ฮ่องเต้ทรงประกาศคำตัดสินออกมา หลังจากนางเงยหน้าหัวเราะด้วยความสะใจแล้วก็เอาศีรษะโชกกำแพงฆ่าตัวตาย ปิดโอกาสให้องค์ชายรองพลิกคดีทั้งหมด
ดังนั้นข้างห้องคุมขังองค์ชายรองในยามนี้จึงว่างเปล่า
เสินเซ่อเทียนฟังเรื่องเล่าขององค์ชายรองจบแล้ว น้ำเสียงน่าเกรงขามเขาเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉน…”
เดิมเขาคิดถามว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนไม่เล่าเหตุผลที่แท้จริงให้ฮ่องเต้ฟัง
เมื่อเอ่ยมาได้ครึ่งหนึ่ง เสินเซ่อเทียนก็ตระหนักได้ เรื่องนี้ต่อให้เล่าสาเหตุออกไป องค์ชายรองก็ยากหนีโทษตายได้ อย่างไรเสียคนตระกูลเยว่หลายชีวิต จบสิ้นลงในมือขององค์ชายรอง ขอเพียงเรื่องนี้แพร่ออกไป กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็มีแต่จะยิ่งเป็นที่จับจ้อง
ถึงตอนนั้นองค์ชายรองก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัยเช่นเดิม ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะพูดหรือไม่คล้ายไม่มีอะไรแตกต่าง
องค์ชายรองในเวลานี้ รู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ กลับมองความเป็นตายเบาบางยิ่งนัก จ้องมองเสินเซ่อเทียน “แต่ว่าจวินซ่าง ข้าอยากรู้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง”
ตอนที่ 163 คนเราน่ะ ควรมีเมตตา
แม้ต้องตาย เป่ยเฉินอวี้ก็รู้สึกว่าเขาควรตายอย่างเข้าใจชัดเจน
เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังจัดฉากให้ร้ายเขา หากไม่อาจรู้ผล เกรงว่าเขาคงตายตาไม่หลับแล้ว
เสินเซ่อเทียนได้ฟังกลับถามเขาประโยคหนึ่งว่า “ท่านคิดว่าเป็นใคร”
องค์ชายรองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตอบว่า “หรือว่าจะเป็นน้องสาม ตอนนั้นข้าและเสด็จพี่ใหญ่ต่างก็เกิดเรื่อง คนที่สมใจที่สุดก็คือเขา”
เสินเซ่อเทียนนิ่งเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่งถามว่า “เหตุใดท่านไม่สงสัยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย”
องค์ชายรองได้ฟังคำถามนี้ ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “เพราะว่าเสด็จพ่อไม่ชอบน้องสี่ นั่นเพราะคำทำนายที่เกี่ยวกับตัวน้องสี่ เชื่อว่าถึงจะผ่านมาหลายปีแล้วเสด็จพ่อไม่มีวันลืมได้ง่ายๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมรู้ดี เสด็จพี่ไม่มีทางยกบัลลังก์ให้เขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะวางแผนให้ร้ายข้าเหตุใดกัน”
คำพูดนี้ทำให้เสินเซ่อเทียนครุ่นคิด
จริงด้วย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉลาดปานนั้น เหตุใดอ่านความคิดจิตใจของฝ่าบาทไม่ออก เหตุใดจะไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทไม่มีทางยกบัลลังก์ให้เขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการบัลลังก์ล่ะก็…
จะใช้แผนการแบบไหนกัน
แค่คุมกำลังทหารไม่มาก ทำให้ฝ่าบาทเห็นความสำคัญของเขาง่ายๆ นั้นจริงหรือเปล่า หรือว่าเขาไม่คิดถึงเรื่อง…ก่อกบฏเลย
ครั้นเห็นเสินเซ่อเทียนตรึกตรอง องค์ชายรองนึกว่าเสินเซ่อเทียนเห็นด้วยกับคำพูดของตน ดังนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นแม้ว่าเรื่องนี้คนที่ได้ผลประโยชน์คล้ายจะเป็นเยี่ยเม่ยและน้องสี่ ข้าก็ไม่ระแวงสงสัยพวกเขา”
เขาคิดเช่นนี้จริงๆ ถึงไม่เคยครุ่นคิดมาก่อนว่าจะสงสัยสองคนนั่น
อย่างไรเสียในใจของเสด็จพ่อ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่อาจเป็นตัวเลือกในการสืบทอดครองบัลลังก์
เรื่องมาถึงตรงนี้ เสินเซ่อเทียนครุ่นคิดแล้วก็ถามองค์ชายรองเรื่องอื่นว่า “ท่านเสียใจหรือไม่”
องค์ชายรองก็เงียบไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นเขาพลันยิ้มออกมา “ความคิดผิดพลาดชั่วขณะของข้าในปีนั้น กลัวว่าคนตระกูลเยว่ทำลายอนาคตจึงเกิดจิตคิดสังหาร ในวันนี้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็คือรนหาที่เอง บอกว่าเสียใจ…คล้ายกับไม่มีสิทธิ์เสียใจ แต่ว่า เวลาสามารถย้อนกลับไปอีกครั้ง ข้าจะไม่เลือกทำเช่นนี้อีกแน่ คนเราน่ะ สมควรมีเมตตาบ้าง”
เมตตา เป่ยเฉินอวี้รู้สึกว่าชั่วชีวิตเขา มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ เกรงว่าเพิ่งจะเรียนรู้ศีลธรรมนี้ได้ลึกซึ้งอย่างที่สุดแล้ว
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วกลับไม่ตอบอะไร เพียงลุกขึ้น เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านได้รับโทษตามความผิด ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ ท่านรักษาตัวให้ดี”
องค์ชายรองพยักหน้า ไม่รู้สึกผิดหวังเท่าไร
นับตั้งแต่ต้นเขาก็คาดเดาได้แล้ว ตัวเขาคงต้องตายสถานเดียว เสินเซ่อเทียนมาสอบถาม ที่เขายอมเล่านั่นก็เป็นเพราะว่า เขาไม่ได้เป็นคนทำร้ายเป่ยเฉินเสียงจริง ทว่ามาตอนนี้เขาถูกตัดสินโทษตายกลับเป็นเพราะเขาทำร้ายเป่ยเฉินเสียง
จะมากจะน้อย เขายังรู้สึกว่าในเรื่องนี้ เขาได้รับความไม่เป็นธรรมยิ่ง ดังนั้นความอยุติธรรมในใจเขาต้องการช่องทางหนึ่งเพื่อได้ระบายออกมา ส่วนการมาของเสินเซ่อเทียนประจวบกับการเป็นช่องทางนั้นพอดี
องค์ชายรองเอ่ย “น้อมส่งจวินซ่าง”
เสินเซ่อเทียนจากไปแล้ว
ส่วนเป่ยเฉินอวี้หลังจากใคร่ครวญไปครู่หนึ่ง พลันเบือนหน้าไปมองห้องขังที่เยว่ซังอิ๋นจบชีวิตตัวเอง บนกำแพงยังมีรอยเลือดอยู่ เลือดนั้นเป็นร่องรอยที่ทิ้งไว้ตอนเยว่ซังอิ๋นโขกหัวฆ่าตัวตาย
เวลานี้ ห้วงความคิดเขาเริ่มฉายภาพย้อนกลับไปในปีนั้น ครั้งแรกที่ได้พบเยว่ซังอิ๋น
สตรีนางนั้นสวมชุดแดง สีสันสวยสดเช่นเดียวกับรอยเลือดที่อยู่บนกำแพง ในเวลานั้นเขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวเร็วขึ้น รู้สึกว่านางคือนางฟ้าที่เดินออกมาจากรูปภาพ
ในชั่วชีวิตมีครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวที่เขาเกิดความคิดเช่นนั้น
ถูกแล้ว มาจนถึงวันนี้เขาก็ตระหนักอย่างแท้จริงว่าในชั่วชีวิตนี้ มีครั้งนั้นครั้งเดียวจริงๆ ที่เขาเกิดความรักอย่างแท้จริง ส่วนที่ว่าไม่รักแล้วเล่า
เวลาล่วงเลยนานเกินไปแล้ว นานจนเขาจำโฉมหน้าของนางแทบไม่ได้อีก แน่นอนว่า…เขาจำเหตุผลไม่ได้ว่าเหตุใดตอนนั้นถึงปล่อยมือ และก็จำไม่ได้แล้วว่า เหตุใดตอนที่ได้พบใบหน้านั้นอีกครั้งไม่อาจก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจได้อีก
ท้ายที่สุด
พวกเขาเดินมาถึงจุดนี้ เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความผิดของเขา
นับตั้งแต่ต้นเขาไม่ควรไปยุ่งกับนาง หลังจากได้ตัวนางแล้วก็ไม่รับผิดชอบจนถึงที่สุด กลับกันเขายังตำหนินางไม่รู้ความ ตำหนินาง…..สุดท้ายทำให้เขาหมดทางเลือก ลงมือสังหารอย่างเจ็บปวด
หากในปีนั้นเขาไม่เจอนางก็คงดี
เป่ยเฉินอวี้หัวเราะเบาๆ มองกำแพงคราหนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันโขกหัวใส่กำแพง เสี้ยววินาทีที่เลือดไหลออกมา เขาคล้ายจะมองเห็นเงาร่างของเยว่ซังอิ๋น ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ยื่นมือออกมาให้เขา
เขาได้ยินนางพูด ‘ตอนนั้นท่านบอกว่า จะเป็นจะตายพวกเราก็อยู่ร่วมกัน ตอนนี้ข้ามารับท่านไปด้วย’
เลือดสดๆ ทำให้ภาพตรงหน้าเขาเลือนราง สุดท้ายเขายังหัวเราะออกมา มองภาพความทรงจำที่ไม่รู้ว่าเป็นปรากฎขึ้นมาจากภาพลวงตาหรือเปล่า และคล้ายจะเป็นความจริงใจของคนใกล้ตาย เขาได้ยินเสียงตัวเองเบาๆ “ความจริง ซังอิ๋น…ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้ามาตลอด…”
หากปีนั้นเขามีเมตตาสักครั้ง ไม่เกิดความคิดชั่วร้าย เขาอาจไม่ถูกบีบมาจนถึงจุดนี้
เขามองเห็นเลือดตัวเองนองเต็มพื้น
เขาคือองค์ชาย มีความภาคภูมิอย่างองค์ชาย แทนที่จะถูกประหาร เขาเลือกฆ่าตัวตาย
มาวันนี้เขาติดค้างนาง ไม่ว่าชดเชยได้จนหมดหรือไม่ ก็ขอให้จบที่นี่เถอะ…
คนเราน่ะ สมควรมีเมตตา
……
เมื่อเสินเซ่อเทียนเดินออกมาจากประตูคุกก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน คล้ายเป็นเสียงกระดูกแตก ฝีเท้าของเขาค่อยๆ ชะงัก ครุ่นคิดเล็กน้อย จากการคาดเดา เกรงว่าเป่ยเฉินอวี้จะจบชีวิตตัวเองแล้ว
ดังนั้น เขาจึงไม่หันกลับไปมอง
ชีวิตของเป่ยเฉินอวี้จบสิ้นแล้ว เขาก่อเรื่องชั่วร้ายเช่นนั้น ต่อให้เสินเซ่อเทียนมีความสามารถก็ไม่ยอมช่วยเขา ในเมื่อจบชีวิตแล้วยังตายอย่างครบสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากใส่ใจอีก
หลังเดินออกจากคุกหลวงเขาเดินออกมาด้านนอกอีกสองสามก้าว น้ำเสียงน่าเกรงขามค่อยดังขึ้นมา “เตรียมให้ข้าเชิญเจ้าออกมาด้วยหรือเปล่า”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วหัวเราะเบาๆ เดิมทีเขาไม่คิดจะพรางกายอยู่แล้ว ย่อมไม่แปลกใจที่เสินเซ่อเทียนหาเขาพบ
เขาเดินออกมา มองเสินเซ่อเทียน เสียงน่าฟัง “เยี่ยนเดาว่า สถานการณ์นี้เยี่ยนไม่มา ท่านก็คงไปหาเยี่ยนแล้ว เพราะว่าท่านมีคำถามมากมายอยากถาม”
เสินเซ่อเทียนตอบตามตรง “ไม่เลว ข้ามีคำถามอยากถามเจ้าจริงๆ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หาที่คุยกันเถอะ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ชิงนำทาง
เสินเซ่อเทียนเองก็ไม่มากความ ติดตามไปในไม่ช้า
โรงเตี๊ยม
ในห้องรับรองหนึ่ง มีเพียงเขาสองคนนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะมีสุราวางอยู่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเนิบๆ “ที่นี่เก็บเสียงได้ดีมาก จวินซ่างคิดอยากถามอะไรก็เชิญถามมาได้เลย”
เสินเซ่อเทียนกลับมองเขาทีหนึ่ง ยิ้มแต่ไม่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่า ข้าไม่แย่งเยี่ยเม่ยกับเจ้า เจ้าจะเปลี่ยนไปเรียกข้าว่าอาจารย์ วันนี้ข้าไม่ได้แย่งนางกับเจ้าแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา สีหน้ายิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นัยน์ตากลับฉายอายมารออกมา เอ่ยเนิบๆ “ถูกแล้ว แต่ว่าตอนนั้นท่านเป็นฝ่ายรามือเลิกแย่งเยี่ยเม่ยเองหรืออย่างไร เยี่ยเม่ยเลือกเยี่ยนเองต่างหาก”
คำพูดนี้ทำให้เสินเซ่อเทียนหลุดหัวเราะ
สุดท้ายกลับไม่พูดมากอะไร
เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับสู่หัวข้อสนทนาหลัก “คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่า ข้าอยากถามอะไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมายกการินสุราให้กับเขาสองคน ในขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “หากรู้ก็พูดมาเถิด เมื่อพูดแล้วก็ต้องพูดให้จบ”
คำพูดนี้หมายความว่า ในเมื่อเสินเซ่อเทียนคิดถามก็ถามมา ไม่ว่าถามอะไร เขาก็จะตอบ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เสินเซ่อเทียนเอ่ยถามตามตรง “ข้าอยากรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองครั้งนี้ เจ้ากับเยี่ยเม่ยบงการอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ปฏิเสธ
อยากให้เสินเซ่อเทียนไม่สงสัย ย่อมต้องได้รับความไว้ใจจากเขาก่อน ทำให้เสินเซ่อเทียนนึกว่า ตัวเขาเชื่อใจเสินเซ่อเทียน ไม่มีอะไรแอบแฝงปิดบัง
เรื่องนี้หากปฏิเสธ เสินเซ่อเทียนรังแต่จะยิ่งสงสัย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจความคิดดี รู้ว่าจำเป็นต้องยอมรับ
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย เพียงแต่ที่เขาแปลกใจก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมรับตรงๆ เช่นนี้
เขายังถามอีกว่า “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่คิดไม่ตก เหตุใดเซี่ยฉุนเหวยถึงช่วยเหลือพวกเจ้า”
ตั้งแต่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เซี่ยฉุนเหวยก็เป็นคนฝั่งฮ่องเต้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นแค่รัชทายาท ก็จงรักภักดีมาโดยตลอด คนเช่นนี้จะยอมทรยศฮ่องเต้อย่างง่ายๆ ได้หรือ เซี่ยฉุนเหวยรู้ดีกว่าใคร ลาภยศสรรเสริญที่เขามีทั้งหมดล้วนเพราะความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ทั้งนั้น
ดังนั้นจุดนี้ เสินเซ่อเทียนจึงคิดไม่ตก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรินสุราแล้วก็วางกาลง ตอบไปตามจริง “เซี่ยชูมั่ว นางล่วงเกินเยี่ยเม่ย เซี่ยฉุนเหวยต้องการปกป้องนางจึงยอมช่วยพวกเราเรื่องหนึ่ง”
เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบในสิ่งที่รับรู้ ทั้งยังเล่าออกมาอย่างละเอียด เสินเซ่อเทียนรู้สึกว่า ที่เขาสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความคิดเป็นอื่น สงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลัง…เขาใจแคบไปหรือเปล่า
หลังจากเขาชะงักไป ก็เอ่ยว่า “เมื่อครู่องค์ชายรองเตือนสติข้าขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เขาคิดว่าเจ้าไม่น่าเป็นคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง เหตุผลก็คือเพราะคำทำนาย ฝ่าบาทมีใจป้องกันเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดขึ้นครองบัลลังก์ด้วยวิธีไหน หากฝ่าบาทไม่ยอมยกให้จะก่อกบฏหรือไม่”
เขายอมรับเงียบๆ ได้แล้วว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคิดแย่งชิงบัลลังก์ แต่เขายังยอมช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ว่า…นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาเห็นด้วยกับการก่อกบฏ นั่นก็เพราะหากเป็นเช่นนี้ คนที่มีอันตรายก็คือฝ่าบาทแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับยกจอกสุราขึ้น มองเสินเซ่อเทียนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม เอ่ยว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก คนที่เสด็จพ่อใช้งานได้ในยามนี้ ก็มีลูกชายสี่แล้ว เสด็จพี่รองเกิดเรื่อง วันนี้เสด็จพี่ใหญ่ก็เหมือนอยู่ในคลื่นลมมรสุม เยี่ยนก็แค่ลงมือต่อเนื่อง กำจัดเสด็จพี่ใหญ่ จากนั้นหาโอกาสกำจัดเสด็จพี่สาม ก็เท่ากับว่าหมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ ต่อให้เสด็จพ่อไม่ชอบเยี่ยน แล้วจะทำอย่างไรได้ หรือเสด็จพ่อจะยกราชบัลลังก์ให้กับคนนอกกัน”