เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 167 เหตุผลผีสาง
เย่จื่อหนานได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ไกลออกไป หันกลับมองด้วยสายตาแปลกใจ แต่ตรงนั้นมืดมาก เห็นเพียงแต่ใบไม้ไม่กี่ใบไหวติง คิดว่าคงเป็นเพราะลมพัดเขาจึงไม่ใส่ใจมาก
เยี่ยเม่ยเดินลอยชายไปเรื่อยๆ อยู่ในสวน นางจำเป็นต้องเดินเพราะว่าช่วงนี้เป็นต้นฤดูร้อน หากยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน อาจถูกยุงกัดจนแทบร้องขอชีวิต
ขณะนี้เองนางเห็นเป่ยเฉินหลิวอวี่วิ่งร้องไห้ออกมา
เยี่ยเม่ยตะลึงเล็กน้อย มองอีกฝ่ายคราหนึ่ง ถามด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรไปแล้ว”
“พี่สะใภ้พวกเราไปกันเถอะ” เป่ยเฉินหลิวอวี่พูดพลางดึงเยี่ยเม่ยวิ่งออกมา
เยี่ยเม่ยถูกนางทำเอางุนงงไปหมด
หลังจากขึ้นรถม้า เป่ยเฉินหลิวอวี่ร้องไห้อย่างเจ็บช้ำ เยี่ยเม่ยงุนงงอยู่บ้าง หรือว่าเย่จื่อหนานปฏิเสธแล้ว
เป่ยเฉินหลิวอวี่ไม่พูดจา เยี่ยเม่ยก็ไม่เอ่ยปากถาม
รอจนแม่หนูร้องไห้พอประมาณแล้ว นางค่อยเอ่ยปากว่า “สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดถึงร้องไห้กลับมา เจ้าไม่ใช่บอกเองหรือว่าวันนั้นพวกเจ้าบังเอิญพบกันบนถนน เจ้ารู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกัน”
ยามนี้เป่ยเฉินหลิวอวี่ยิ่งเสียใจ
ปาดน้ำตาเอ่ยว่า “เขามีคนในดวงใจแล้ว ข้าเป็นฝ่ายคิดไปเอง”
“หา” เช่นนั้นนี่ก็เป็นเรื่องน่าโศกเศร้าจริงๆ
แต่อารมณ์ของเป่ยเฉินหลิวอวี่ในเวลานี้ยิ่งหมดอาลัยขึ้นอีก “พี่สะใภ้ ท่านว่าเพราะอะไรกัน เพราะอะไรพวกเขาถึงไม่ชอบข้า เพราะอะไรพวกเขาต้องทำกับข้าเช่นนี้ เพราะอะไร… เซี่ยโหวเฉินไม่ชอบข้า เย่จื่อหนานก็ไม่ชอบข้า ข้าไม่ดีตรงไหนกันแน่ ข้ามีอะไรที่สู้คนอื่นไม่ได้”
คราวนี้เยี่ยเม่ยถึงได้รับรู้ว่า ที่แท้เซี่ยโหวเฉินชอบจงรั่วปิงสำหรับเป่ยเฉินหลิวอวี่ถือเป็นการทำร้ายอย่างหนึ่ง
ถึงแม่นางผู้นี้ไม่ชอบเซี่ยโหวเฉิน แต่หลังจากรู้ว่าฮ่องเต้มีประสงค์พระราชทานสมรส ในใจอย่างไรก็ต้องมีความสับสนตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่นี่ยังไม่ทันเริ่ม นางก็บอกความจริงกับเป่ยเฉินหลิวอวี่ก่อน
ครั้นเป่ยเฉินหลิวอวี่ตัดสินใจดิ้นรนเพื่อตัวเองสักครั้ง ประจวบกับได้พบเย่จื่อหนาน คราวนี้หวั่นไหวจริงๆ ทั้งตกหลุมรักเข้าให้แล้ว
นางออกจากวังมาด้วยความคาดหวังเปี่ยมล้น ซ้ำยังวางยาสลบนางกำนัลที่คอยจับตาดูนาง เพื่อได้พบเขา นางเฝ้ารอความรักครั้งใหม่นี้ด้วยความยินดี แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายที่รอมากลับเป็นความว่างเปล่าอีกครั้ง
เยี่ยเม่ยตบบ่านาง ถามอีกประโยคว่า “เขาบอกเจ้ากับปากเองหรือ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า”
ฟังเรื่องเล่าของเป่ยเฉินหลิวอวี่ก่อนหน้า เย่จื่อหนานคล้ายจะคิดอะไรกับนางจริงๆ
อีกทั้งระยะนี้เยี่ยเม่ยเป็นขุนนางร่วมราชสำนักกับเขา ก็พอเข้าใจเย่จื่อหนานบ้าง เขาไม่เหมือนคนหลายใจ ดังนั้นเรื่องนี้มีปัญหาอะไรแฝงอยู่หรือไม่
นั่นก็เป็นเพราะไม่ว่าจะฟังอย่างไรเยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คล้ายจะแปลกพิกลนัก
เป่ยเฉินหลิวอวี่ส่ายหน้า เล่าว่า “เขาไม่ได้พูดอะไรกับข้า ข้ายังไม่ทันเข้าใกล้เขาเลย ก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า เขาชอบญาติผู้พี่ของข้า ชอบลูกสาวของซือถูจ้าวท่านอาของข้า คู่หมั้นของเสด็จพี่ใหญ่ ข้าได้ยินอย่างชัดเจน”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
เป็นไปไม่ได้กระมัง
งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งก่อน คู่หมั้นองค์ชายใหญ่ก็เข้าวังแล้ว ถึงเยี่ยเม่ยไม่ค่อยยุ่งเรื่องคนอื่นเท่าไร แต่ว่านางก็สังเกตเรื่องราวรอบๆ ตัวอย่างชัดแจ้ง นางไม่เห็นจำได้เลยว่าตอนนั้นเย่จื่อหนานมองว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่ด้วยสายตาต่างออกไป
เหตุใดเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน คนผู้นั้นกลายเป็นคนที่เย่จื่อหนานชอบไปได้
เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลมาก
ไม่ช้านางก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จ้องเป่ยเฉินหลิวอวี่เอ่ยว่า “ในเมื่อพูดเช่นนี้ เจ้าจำได้หรือไม่ว่า ครั้งก่อนตอนเจ้ากลับวัง ใช้รถม้าของญาติผู้พี่เจ้าหรือไม่”
“ฮึก…” เป่ยเฉินหลิวอวี่ที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดพลันชะงักลง ย้อนคิดดูก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่ว่าเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องในเวลานี้ด้วยเล่า
นางสะอื้นเอ่ย “ถูกต้อง ท่านอย่าบอกว่าครั้งที่แล้วที่ข้าคิดว่าเขามีความรู้สึกดีๆ ให้ นั่นก็เพราะว่าข้านั่งรถม้าของญาติผู้พี่หรอกนะ อย่างไรเสียญาติผู้พี่ก็เป็นคนในดวงใจเขา ตอนนั้นเขาจึงยอมมองข้า”
เยี่ยเม่ย “…” นี่มันเหตุผลผีสางอันใด
มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุก จากนั้นเอ่ยว่า “ข้าสงสัยว่า เพราะว่าเจ้านั่งรถม้าของญาติผู้พี่ ดังนั้นเขาถึงเข้าใจผิด คิดว่าเจ้าเป็นญาติผู้พี่เจ้าแล้ว”
เป่ยเฉินหลิวอวี่ที่ร้องไห้อย่างปวดใจ พลันทึ่งไปแล้ว เหม่อมองเยี่ยเม่ย “นี่…เป็นไปได้หรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง “เขาชอบว่าที่พระชายา เรื่องเหลวไหลรนหาที่ตายแบบนี้ยังเป็นไปได้ แล้วเขาจำคนผิดจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ”
ในสถานการณ์ทั่วไป ไม่มีใครกล้าเฝ้าคะนึงถึงสะใภ้ของราชวงศ์หรอก
ต่อให้คิดคะนึงถึงก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา เย่จื่อหนานไม่เพียงพูดออกมา ซ้ำยังวิจารณ์กับผู้ติดตามข้างกาย เรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้ยังเกิดขึ้นแล้ว กับอีกแค่เรื่องจำคนผิดเหตุใดจะเกิดขึ้นไม่ได้กันเล่า
เป่ยเฉินหลิวอวี่ถูกคำพูดของเยี่ยเม่ยทำให้อึ้งไปแล้ว
นางละล้าละลังเอ่ยว่า “เช่น…เช่นนั้น…”
เช่นนั้นทำอย่างไรดี
แต่ว่านี่คงเป็นไปไม่ได้ จะมีเรื่องบังเอิญเข้าใจผิดแบบนี้ที่ใดกัน นางคิดเช่นนี้ ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่
เยี่ยเม่ยคิดๆ แล้วก็เอ่ยว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน อีกเดี๋ยวเย่จื่อหนานออกมา ข้าจะไปถามเขา เจ้ารออยู่บนรถห้ามออกมา”
“นี่…” เป่ยเฉินหลิวอวี่ลังเล พยักหน้าตอบว่า “เช่นนั้นก็ได้”
คนทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้าเป็นเวลานาน
ในที่สุดเหล่าขุนนางทั้งหลายก็ร่วมงานเลี้ยงของจงซานจนจบ เดินออกมาพร้อมๆ กัน เยี่ยเม่ยได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายนอก ก็ลงจากรถม้า
ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า เยี่ยเม่ยกลับยังไม่จากไป
ขณะที่ทุกคนเตรียมเข้ามาทักทาย เยี่ยเม่ยก็ยิ้มเอ่ยให้พวกเขาว่า “ใต้เท้าทุกท่าน ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้ามีคำพูดไม่กี่ประโยค คิดสนทนาเพียงลำพังกับใต้เท้าเย่จื่อหนาน”
เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็แยกย้ายกันไปอย่างรู้งาน
แต่ทุกคนต่างงุนงง ผ่านมานานแล้วน้อยนักที่เหอซั่วอ๋องจะผูกความสัมพันธ์ดีงามกับขุนนางคนไหน วันนี้ไฉนมาพบที่จวนจงซาน ซ้ำยังคิดพบหน้าเย่จื่อหนานด้วย หรือว่ากำลังจะทำเรื่องอันใดกันแน่
ทุกคนล้วนสงสัย ปากกลับไม่กล้าเอ่ยออกมาส่งเดช ต่างคนต่างกลับบ้านไปนอนกับภรรยาแล้ว
กลับกันเย่จื่อหนานอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ออกว่าเยี่ยเม่ยมีเรื่องอะไรจะพูดกับเขา แต่ในเมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยแล้ว เขาย่อมไม่กล้าขัดขืน ได้แต่รอให้ใต้เท้าทั้งหลายจากไป เดินไปหยุดเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยอย่างยำเกรง
เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าเหอซั่วอ๋องหาข้ามีเรื่องอันใดจะสั่งการ”
เย่จื่อหนานชื่นชมเยี่ยเม่ย สตรีนางหนึ่งมีความสามารถเช่นนี้ เขาจะไม่ชื่นชมได้อย่างไร เพียงแต่องค์ชายสี่ช่าง…น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเขารู้สึกว่า ไม่สู้ไปอยู่ฝ่ายองค์ชายสี่จะดีกว่า อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็เป็นสตรีที่มีความสามารถโดดเด่น คู่ควรกับการเป็นมารดาของแผ่นดิน